พรรคเทพหมาป่า์!
เงื่อนไขหนึ่งที่กระจกสะกดแสงจะสะกดผู้อื่นได้คือการที่เงาร่างของคนผู้นั้นปรากฏอยู่บนบานกระจก ศิษย์ทุกคนอยู่ในที่เปิดโล่ง ดังนั้นแสงเงาก็ต้องสะท้อนบนกระจกเป็ธรรมดา แต่มีอยู่หนึ่งคนที่ต่างออกไป นั่นก็คือจางเจิ้งเต้าที่มุดอยู่ใต้ดิน
จางเจิ้งเต้ากำลังง่วนอยู่กับการขุดสุสานบรรพบุรุษของพรรคเทพหมาป่า์ กระจกสะกดแสงจึงส่องมาไม่ถึง เพราะงั้นมันจึงไม่ถูกสะกด
จางเจิ้งเต้ายามนี้กำลังยืนเงยหน้ามองชั้นดินบางๆ จุดสุดท้ายอยู่ในอุโมงค์แคบสายหนึ่งด้วยความอาทรร้อนใจ
“หวังเค่อ เ้าลูกตัวบัดซบ อย่าได้ทำลายของรักของข้าเชียว! แม้ว่าจะช้าไปสักนิด แต่ข้าก็มาเคาะระฆังล่มสลายให้เ้าแล้ว!” จางเจิ้งเต้าเอ่ยด้วยสีหน้ากังวลไม่หาย
ด้านนอกยังมีสามดวงธาตุทองคำอยู่ ใครที่เข้าใกล้ล้วนต้องถูกปะาไม่ละเว้น? ในใจจางเจิ้งเต้าขมวดพันกันยุ่งเหยิง เดี๋ยวถ้าตนเคาะระฆัง จะต้องถูกสามดวงธาตุไล่ฆ่าอย่างไม่ต้องสงสัยแน่ แล้วตนจะหนีได้แน่หรือ?
จางเจิ้งเต้ายกมือปาดเหงื่อบนใบหน้า กำถุงมิติของตนเองไว้แน่น
“ประมุขพรรครุ่นก่อนของพรรคเทพหมาป่า์ ประเดี๋ยวพอข้าออกตัววิ่งแล้ว รบกวนพวกท่านช่วยถ่วงเวลาสามดวงธาตุทองคำที่เฝ้าระฆังให้ข้าที ข้าไหว้ล่ะ ลูกศิษย์ลูกหาของพวกท่านคงไม่ปล่อยพวกท่านเอาไว้ตามลำพังหรอกใช่ไหม?” จางเจิ้งเต้าคล้ายกำลังสวดภาวนาต่อถุงมิติ
หลังจากภาวนาเสร็จ มันก็แข็งใจถีบตัวขึ้นจากพื้น
ชั้นดินบางๆ ตรงนั้นพลันะเิตัวออกทันที จางเจิ้งเต้าพุ่งขึ้นฟ้าไปอย่างรวดเร็ว ตรงดิ่งเข้าหาระฆังล่มสลายของพรรคเทพหมาป่า์
“ตูม!”
เมื่อชนถูกระฆังล่มสลายก็คล้ายกับเป็การเปิดใช้งาน ทันใดนั้นเสียงเหง่งหง่างก็ดังทะลุทะลวงไปทั่วบริเวณ
“โหม่ง~~~~~~~~~~~~~~!”
เสียงระฆังล่มสลายก้องกังวาน เพียงเสี้ยวพริบตาเสียงนั้นก็ครอบคลุมไปตลอดทั้งพรรคเทพหมาป่า์ กระทั่งทะลุมหาค่ายกลออกไปสี่ทิศแปดทางทั่วสิบหมื่นมหาบรรพตเลยด้วยซ้ำ
“สำเร็จ!” จางเจิ้งเต้ายิ้มออกทันที
แต่ในขณะเดียวกันหางตาของมันก็จับภาพสามยอดยุทธ์ชั้นดวงธาตุทองคำที่ยืนอยู่รอบด้านได้
เพื่อไม่ให้ถูกยอดฝีมือทั้งสามรุมสับสังหาร จางเจิ้งเต้าจึงเขวี้ยงถุงมิติออกไปทันควันอย่างไม่ลังเล
“พี่น้องทั้งสาม นี่คือกระดูกของบรรพบุรุษพวกท่าน ปกป้องรักษาไว้ให้ดีๆ ล่ะ ข้าขอตัวก่อน ฮ่าฮ่าฮ่า” จางเจิ้งเต้าะเิหัวเราะอย่างผู้ชนะ
กะโหลกศีรษะสามใบกระเด็นออกจากถุงตรงเข้าหายอดฝีมือทั้งสาม จางเจิ้งเต้าคิดในใจว่านี่คือกระดูกบรรพชนของพวกมัน พวกมันจะต้องปฏิบัติเอาใจใส่ด้วยความจริงใจและความกริ่งเกรงจนล้มเลิกความคิดตามสังหารตนไปในที่สุด เพื่อให้แน่ใจว่ากระดูกบรรพบุรุษของพวกมันจะอยู่ในสภาพสมบูรณ์
จากนั้นตนก็จะฉวยโอกาสที่พวกมันกำลังปกป้องกระดูกบรรพบุรุษเผ่นหนีไปโดยไว ขอเพียงหลบหนีออกจากพรรคเทพหมาป่า์ได้สำเร็จ ตนก็จะรอดพ้นจากเื่นี้ และที่มันจะทำเป็ลำดับถัดไปก็คือให้ไอ้ลูกตัวบัดซบหวังเค่อนั่นรับผลกรรมเอาเอง ยังไงซะหวังเค่อก็คือคนดวงกุดอยู่แล้ว
จางเจิ้งเต้ากำลังจะโกยอ้าวอย่างเบิกบานสำราญใจ แต่ยังไม่ทันได้หนีกลับรู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง สามดวงธาตุทองคำไม่ได้ตามมาเอาชีวิตตน ทั้งไม่ได้พุ่งตัวไปคุ้มกันกระดูกบรรพบุรุษทั้งสามของพวกมันแต่อย่างใด แต่กลับยืนนิ่งเป็รูปปั้น แน่นิ่งไม่ไหวติงกันอยู่ตรงนั้น จะติดก็แค่ดวงตาที่ยังสามารถกลอกมาถลึงมองตนเองได้
‘แคร่ก!’ เสียงดังกังวานใส กะโหลกทั้งสามแตกหักกระจายไม่มีชิ้นดี
นี่มันสถานการณ์แบบไหนกัน? พวกเ้าถึงกับเบิ่งตามองดูกระดูกบรรพบุรุษตัวเองแตกออกเป็เสี่ยงๆ หน้าตาเฉย? ไม่มีความเคารพต่อผู้เฒ่าผู้แก่กันบ้างเลยรึไร?
แล้วก็…ทำไมพวกมันถึงไม่ขยับกันสักนิดเลยเล่า!?
“ไม่ถูกต้อง! ทำไมแม้แต่ข้าเองก็ขยับไม่ได้เหมือนกันล่ะเนี่ย?” จางเจิ้งเต้าเปลี่ยนสีหน้าทันควัน
จางเจิ้งเต้าที่ตั้งใจไว้แต่เดิมว่าจะทำการหลบหนีออกไปเร็วไวดังสายฟ้าแลบได้เผยตัวออกสู่ที่โล่งแจ้งในเวลานี้ ดังนั้นจึงถูกกระจกสะกดแสงผนึกการเคลื่อนไหวเอาไว้
จางเจิ้งเต้าจะหนีก็หนีไม่ได้ จำต้องยืนเด่นอยู่ใต้หอระฆังภายใต้สายตามรณะเคลือบแคลงสามคู่ บรรยากาศเปลี่ยนเป็หดหู่อึมครึมขึ้นมาทันตา
หนีไม่ได้? ทำไมถึงเป็เช่นนี้?
สามดวงธาตุทองคำจับจ้องจางเจิ้งเต้าตาไม่กะพริบ จางเจิ้งเต้าหนังศีรษะชาวาบ ตนทำอะไรลงไปบ้างแล้วนะ?
ก็มีการเคาะระฆังเบาๆ ทีหนึ่ง ขุดสุสานบรรพบุรุษพรรคเทพหมาป่า์เล่นอีกนิดหน่อย นำกระดูกประมุขพรรคเทพหมาป่า์สามสี่รุ่นออกมาพลิกดู แล้วก็ทำกระดูกของพวกมันแตกกระจายไม่มีชิ้นดีก็เท่านั้นเอง? แต่ประเด็นก็คือว่า ตนเองกลับหนีไม่ได้เสียแล้ว? แถมยังถูกจับได้พร้อมของกลางเสียด้วย?
“ข้าเป็ใคร? ข้าอยู่ที่ไหน? ข้ากำลังจะทำอะไร?” จางเจิ้งเต้าเอ่ยรำพึงกับฟากฟ้าเสียงละห้อย
พรรคเทพหมาป่า์ ทางเข้าออกตำหนักหมาป่าบูรพา
ทุกคนต่างก็ถูกสะกดตรึงกันถ้วนหน้า ไม่ว่าจะพยายามดิ้นรนขัดขืนแทบตายยังไงก็ไม่อาจกระดิกตัวได้เลยสักกระผีกริ้น แต่แล้วกลับมีคนๆหนึ่งที่ดูจะไม่ได้รับผลกระทบอะไรเลยสักนิด
หวังเค่อไม่เพียงแต่ไม่เป็อะไร แต่ยังสามารถแย่งป้ายสั่งการมาจากมือของซุนซงได้อีกต่างหาก ทำให้แผนการฝันเฟื่องทั้งหมดของซุนซงต้องสลายเป็หมอกควันในพริบตา
“ทำไม ทำไมเ้าถึงไม่ได้รับผลกระทบอะไรเลยเล่า?” ซุนซงกรีดร้องออกมาอย่างไม่ยินยอมพร้อมใจ
ครั้งนี้ตั๊กแตนจับแมลง นกกระจิบตามหลัง แต่ด้านหลังนกกระจิบยังมีนักล่า ตนอุตส่าห์ครอบคลุมถึงทุกความเป็ไปได้ไว้ในแผนการ แต่ทำไมถึงได้มีคนโผล่มาข้างหลังนักล่าได้อีก? ทำไมเ้าถึงไม่เป็อะไรเลย? เ้าไม่ใช่ชายชู้หรอกหรือ? เื่นี้มาเกี่ยวอะไรกับเ้าด้วย? ทำไมถึงต้องเอาตัวเองออกมาเสี่ยงด้วย?
“ต่ำกว่าขอบเขตดวงธาตุทองคำล้วนต้องถูกสะกด เว้นแต่ว่ามันคือขอบเขตทารกแกนิญญา!” มู่หรงลวี่กวงอุทานอย่างตื่นตะลึง
ขอบเขตทารกแกนิญญา? ที่ผ่านมามันแสร้งทำตัวเป็สุกรคอยกินพยัคฆ์หรอกหรือนี่?
“หวังเค่อ ทำไมเ้าถึงยังขยับได้ล่ะ?” องค์หญิงโยวเยว่ถามอย่างประหลาดใจ
มีแต่องค์หญิงโยวเยว่เท่านั้นที่รู้ดีว่าหวังเค่อบรรลุเพียงขอบเขตเซียนเทียนเท่านั้น อีกทั้งยังเป็ขอบเขตเซียนเทียนธรรมดาห่างไกลจากขอบเขตทารกแกนิญญาสุดกู่
“อีกาทองคำ?” จู่ๆ จางหลี่เอ๋อร์ก็โพล่งออกมา
“อะไรนะ?” ทุกคนหันมามองจางหลี่เอ๋อร์
แต่ที่เห็นกลับเป็จางหลี่เอ๋อร์ที่กำลังเงยหน้ามองกระจกสะกดแสงบนฟ้า ขอเพียงมีคนถูกกระจกสะกดแสงส่องสะท้อน บนบานกระจกก็จะมีเงาร่างของคนผู้นั้นปรากฏอยู่ เมื่อนั้นจึงสะกดร่างมันเอาไว้ได้ ทุกคนที่นี่ต่างก็มีเงาสะท้อน นั่นรวมถึงตัวหวังเค่อเอง แต่เหนือศีรษะเงาสะท้อนของหวังเค่อกลับมีอีกาทองคำอยู่ตัวหนึ่ง
และเงาแสงนั้นก็คืออีกาทองคำสยายปีก ราวกับกำลังปกป้องคุ้มครองหวังเค่ออยู่อย่างไรอย่างนั้น
“เป็ป้ายคำสั่งอีกาทองคำ? ป้ายคำสั่งอีกาทองคำของจางเสินซวีน่ะนะ?” ซุนซงหลุดร้องออกมาพร้อมกับเปลี่ยนสีหน้าทันควัน
“ป้ายอีกาทองคำคือสิ่งที่ประมุขพรรคอีกาทองคำหลอมสร้างขึ้น ภายในบรรจุด้วยผนึกอาคมของประมุขพรรคอีกาทองคำ ประมุขพรรคอีกาทองคำคือผู้ที่อยู่ในขอบเขตทารกแกนิญญา ดังนั้น ป้ายคำสั่งอีกาทองคำนี้จึงมีฤทธิ์ต้านพลังของกระจกสะกดแสง?” จางหลี่เอ๋อร์พลันเข้าใจขึ้นมาในบัดดล
“ป้ายอีกาทองคำ?” ทุกคนล้วนตกตะลึง
คนตลอดพรรคเทพหมาป่า์ล้วนถูกตรึงอยู่กับที่ จะมีก็แต่ ‘ชายชู้’ ที่ไม่เป็อะไรเลย? ว่าแต่มันคือพวกรักร่วมเพศใช่ไหมนะ? ทุกคนแม้จะสงสัย แต่ส่วนใหญ่กลับไม่แน่ใจ
“ป้ายคำสั่งอีกาทองคำเป็ของพรรคอีกาทองคำข้า รีบส่งมาเดี๋ยวนี้เลยนะ!” จางหลี่เอ๋อร์ะโอย่างร้อนใจ
“รีบนำป้ายสั่งการของกลอสนี์ปะามารคืนมาให้ข้าเดี๋ยวนี้! แล้วข้าจะทำเหมือนกับว่าที่เ้าล่วงเกินข้าก่อนหน้านี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน!” มู่หรงลวี่กวงเองก็ร้อนใจไม่ต่างกัน
“คืนป้ายสั่งการมาให้ข้าเดี๋ยวนี้ ไม่อย่างนั้นท่านมารอริยะจะต้องไม่ปล่อยเ้าไปแน่!” ซุนซงคำรามออกมาอย่างโมโหระคนตื่นกลัว
หวังเค่อคือโอกาสรอดเพียงหนึ่งเดียวของพวกมัน หากมันเอนเอียงไปทางใคร คนผู้นั้นก็จะได้เป็ผู้กุมชัยชนะในตอนท้าย ทุกคนจึงต่างคนต่างะโแหกปากกันอย่างไม่มีใครยอมใคร
หวังเค่อปรายตามองคนทั้งหมด แต่มองข้ามหัวจางหลี่เอ๋อร์ไปโดยปริยาย ล้อกันเล่นรึไง? ขืนข้ายอมคืนป้ายอีกาทองคำให้เ้า งั้นข้าไม่ต้องถูกตรึงเป็ไม้กางเขนอยู่ตรงนี้พอดีรึ? ให้ข้าพลีชีพเพื่อส่วนรวม? เ้าเห็นข้าโง่รึยังไง!
สำหรับซุนซง? นั่นยิ่งไม่ต้องไปพูดถึงเลยด้วยซ้ำ ตัวเ้าคือมารอสูร แต่กลับจะให้ข้าเอนเอียงไปทางเ้า? เห็นข้า หวังเค่อ เป็พวกตาขาวหรือไง?
สำหรับมู่หรงลวี่กวง นี่กลับทำให้หวังเค่อต้องนิ่วหน้า อย่างไรซะ ในภายภาคหน้าหวังเค่อยังมีความคิดที่จะตีมึนเข้าไปในพรรคเทพหมาป่า์อยู่ ไม่ๆ ฝากตัวเข้าเป็ศิษย์พรรคเทพหมาป่า์ต่างหาก ถึงยังไงเ้าหมอนี่ก็เป็ถึงศิษย์พี่ใหญ่เชียวนะ! จะทำยังไงดี? เห็นทีจะต้องใช้กลยุทธ์ธนาคารล้มกับมันเสียแล้ว![1]
ส่วนความปลอดภัยน่ะหรือ? ที่จริงหวังเค่อเบาใจลงอักโข ระฆังล่มสลายส่งเสียงออกมาแล้ว อีกไม่นานประมุขพรรคเทพหมาป่า์ก็จะกลับมา ตนเองทั้งช่วยชีวิตองค์หญิงโยวเยว่ไว้และกำลังจะกอบกู้วิกฤตให้พรรคเทพหมาป่า์อีกด้วย ไหนจะมีองค์หญิงโยวเยว่คอยให้การรับรองอยู่ทั้งคน ถึงตอนนั้นต่อให้ตนเอ่ยข้อเรียกร้องแบบได้คืบจะเอาศอกก็คงไม่นับว่าเกินเลยไปหรอกกระมัง?
“นำป้ายสั่งการคืนข้ามาเร็วเข้า ข้าจะเป็ผู้ปราบมารพวกนี้เอง!” มู่หรงลวี่กวงมองหวังเค่ออย่างคาดหวัง
หวังเค่อส่ายหน้าน้อยๆ
“ไอ้หนู เ้าตั้งใจจะตั้งตัวเป็ศัตรูกับพรรคเทพหมาป่า์ข้ารึ?” มู่หรงลวี่กวงขู่คาด
“เปล่า ข้ากำลังคิดว่าในเมื่อซุนซงผู้นี้คือมารอสูรที่ตบตาคนทั้งหมดมาได้ แล้วถ้าเกิดว่าเ้าเองก็ใช่ล่ะ? หากข้าส่งป้ายสั่งการคืนเ้าไป ไม่กลายเป็ว่าข้าให้การส่งเสริมเหล่ามารร้ายกันพอดีหรือ? งั้นไม่เท่ากับว่าข้าต้องทำให้เหล่าบรรพบุรุษของพรรคเทพหมาป่า์ต้องผิดหวังกันหมดหรือ?” หวังเค่อกล่าว
“ข้า? มารอสูร?” มู่หรงลวี่กวงเผยสีหน้าเ็า
ทุกคนเองก็ตะลึงไป บรรพบุรุษของพรรคเทพหมาป่า์? เกี่ยวบ้าอันใดกับเ้าด้วย? พวกมันต้องผิดหวังในตัวเ้ากันด้วยรึ? ข้อแก้ตัวนี้ของเ้าสุดโต่งเกินไปแล้วกระมัง!
“เพื่อไม่ให้เกิดโศกนาฏกรรมขึ้นซ้ำสอง ข้าหวังเค่อยินดีประจันหน้ารับความเสี่ยงกับมารร้ายพวกนี้เอง ไหนๆ แล้วข้าก็จะกำราบปราบมารเพื่อพวกท่านทุกคนไปด้วยเลย ช่วยคืนความสงบสุขให้ใต้หล้า!”
มู่หรงลวี่กวงกับจางหลี่เอ๋อร์ต่างมองหวังเค่อกันตาโต เ้าไม่มีเกียรติให้ต้องรักษาบ้างเลยสักนิดใช่ไหม? อย่างเ้านี่เขาเรียกเอาดีเข้าตัว ไม่แบ่งเหลือเผื่อใครต่างหาก!
“ไอ้หนู เ้าเองก็คิดจะฮุบกลืนผลกุศลปราบมารไว้เพียงลำพังงั้นหรือ?” จางหลี่เอ๋อร์เขม่นมอง
เดิมทีหวังเค่อไม่คิดเหลือบแลจางหลี่เอ๋อร์ แต่ในใจกลับพยักหน้าถี่รัว มารดามันเถอะ แม้จะไม่รู้ว่ากุศลปราบมารที่ว่าคือของเล่นปาหี่อันใดกันแน่ แต่ในเมื่อทุกคนต่างก็ยื้อแย่งกันเสียขนาดนี้ แล้วอาศัยอะไรข้าถึงไม่เอากับเขาด้วย? ข้าไม่สนว่าแตงลูกนี้จะหวานฉ่ำหรือไม่ ลองผ่าออกมาก่อนแล้วที่เหลือค่อยว่ากันอีกที
“ไอ้หนู เ้าใช้งานป้ายสั่งการของกลอสนี์ปะามารได้รึเปล่าเถอะ?” มู่หรงลวี่กวงยังคงเอ่ยอย่างเกรี้ยวกราด
“นี่มีตรงไหนยาก? มันก็คือรีโมตที่ทำงานเหมือนกับเมาส์นั่นแหละ ข้าก็แค่ต้องเลื่อนเมาส์ไปบนหน้าจอ จากนั้นก็แค่คลิกลงไปทีหนึ่ง ไม่เชื่อดู!” หวังเค่อพูดจบก็สั่งให้ป้ายสั่งการเริ่มทำงาน
“ตูม!”
อสนีบาตสายหนึ่งแล่นวาบลงมาจากฟ้าก่อนจะฟาดเข้าใส่ร่างของมู่หรงลวี่กวงอย่างรุนแรง
“อ้ากก ไอ้ทารก เ้าบังอาจ!” มู่หรงลวี่กวงคำรามอย่างดาลเดือดปนตื่นกลัว
“ขออภัยๆ เมื่อกี้ข้ากดพลาดไปน่ะ เ้าดู ข้าเองก็เจ็บตัวเหมือนกัน ตอนที่สายฟ้าผ่าใส่เ้าเมื่อกี้ก็ผ่าเอาสะเก็ดหินมาถากโดนผิวข้าด้วยเหมือนกัน ข้าเองก็เืตกยางออกนะ! ข้าเองก็หลั่งเืเพื่อพรรคเทพหมาป่า์เช่นกัน!” หวังเค่อกล่าวขอขมาลาโทษทันที
เมื่อกี้มันแค่มือลื่นจริงๆ แต่ขณะเดียวกันก็พิสูจน์ว่าหวังเค่อเองก็สามารถสั่งให้ป้ายสั่งการทำงานได้เช่นกัน
“งั้นเ้าไม่ต้องทำอะไรทั้งนั้น อีกเดี๋ยวศิษย์พรรคเทพหมาป่า์ข้าก็จะกลับมากันแล้ว ไม่จำเป็ต้องให้เ้าลงมือปราบมารแต่อย่างใด!” มู่หรงลวี่กวงเอ่ยอย่างฉุนเฉียวปนหวาดหวั่น
มารอสูรเยอะแยะปานนี้ กุศลเยอะแยะปานนี้ มู่หรงลวี่กวงไม่อาจกอบโกยได้อีกต่อไป แต่มันเองก็ไม่คิดจะปล่อยให้เ้าคนนอกผู้นี้ได้ไปง่ายๆ เช่นกัน
“ไม่ใช่ว่าเมื่อกี้พวกเ้าเพิ่งจะบอกว่าอิทธิฤทธิ์ของกระจกสะกดมารอยู่ได้แค่วันเดียวหรือไง? แล้วถ้าอีกหนึ่งวันศิษย์พรรคเทพหมาป่า์ยังไม่กลับมากันล่ะ งั้นมารอสูรพวกนี้ก็จะออกอาละวาดกันอีกน่ะสิ? ยิ่งถ้าเกิดว่าด้านนอกมีมารอสูรกลุ่มอื่นบุกมาอีกเล่าจะทำยังไง? ไม่ได้ ไม่ได้เด็ดขาด! แบบนี้ไม่ถูกต้อง! เมื่อเผชิญหน้ากับมารอสูร หลักการของข้าคือไม่ขอยอมทน! ต้องขออภัยด้วย ต่อให้สุดท้ายนี้ข้าต้องถูกทุกคนรุมด่าว่าประณาม แต่ข้าก็ยังต้องกวาดล้างมารอสูรเหล่านี้ให้หมดไปให้จงได้ นำความสงบสุขคืนสู่สังคมใต้หล้า!” หวังเค่อโต้อย่างไม่ยอมอ่อนข้อ
มู่หรงลวี่กวง จางหลี่เอ๋อร์เบิ่งตามองหวังเค่อตรงหน้า เ้าทารกนี่ทำตัวไร้ยางอายให้มันน้อยๆ หน่อยได้หรือไม่? เ้ายืนกรานจะฮุบกลืนกุศลทั้งหมดไว้เพียงคนเดียวให้ได้เลยใช่ไหม?
“เริ่มจากใครดีน้อ จริงสิ ขอข้าดูก่อน!” หวังเค่อเดินมาหยุดอยู่หน้าซุนซง
“เ้า ถ้าเ้ากล้าฆ่าข้าละก็ ท่านมารอริยะจะต้องไม่ปล่อยเ้าไปแน่!” แม้จะตื่นตระหนกแต่ซุนซงยังคงขู่หวังเค่อไม่เลิก
แต่หวังเค่อไหนเลยจะฟังเข้าหู มันกำลังจับจ้องข้อมือของซุนซงด้วยสายตาเจิดจ้าอยู่ต่างหาก พูดให้เจาะจงคือกำลังมองกำไลมิติบนข้อมือของซุนซง
ของดี! ตอนแรกที่ตนออกจากเมืองจูเซียนมา แม้แต่กระดาษชำระก็ตัดใจทิ้งไว้ไม่ลง กำไลวิเศษนี้อาจจะถูกทำลายไปพร้อมกับอสนีบาตก็ได้นี่นา? จะปล่อยให้เป็แบบนั้นไม่ได้หรอก!
หวังเค่อกุมข้อมือขวาของซุนซงไว้โดยพลัน จากนั้นก็ทำการปลดกำไลมิติมาอย่างคล่องแคล่วก่อนเก็บซ่อนไว้ในชายแขนเสื้อภายใต้สายตางุนงงของทุกคน
“เ้าคิดจะทำอะไร?” ซุนซงเอ่ยอย่างครั่นคร้าม
หวังเค่อปลดกำไลมิติของซุนซงมาแล้วก็จริง แต่ก็ดูจะยังไม่สาแก่ใจ จึงเริ่มออกค้นตัวซุนซงไปทั่ว เพียงไม่นานก็พบว่าในอกเสื้อมีถุงมิติอยู่ใบหนึ่ง
“คิดไว้ไม่ผิด เ้ามารร้าย ถึงกับหมกเม็ดไว้เชียวหรือ” หวังเค่อลงมือค้นตัวต่ออย่างตื่นเต้น
หวังเค่อหันหลังให้กับทุกคน ดังนั้นจึงไม่มีใครมองเห็นการเคลื่อนไหวของมันได้ชัด แต่องค์หญิงโยวเยว่กลับมองเห็นทุกอย่างได้ชัดเจนเพราะข้อได้เปรียบทางองศา
“หวังเค่อ เ้ากำลัง เ้ากำลัง...!” องค์หญิงโยวเยว่อุทานอย่างใ
“ชู่ว!” หวังเค่อขยิบตามาทางองค์หญิงโยวเยว่เป็เชิงว่าให้นางเงียบเสียงไว้
องค์หญิงโยวเยว่อ้าปากอย่างโง่งม หวังเค่อเสียสติไปแล้วหรือ? แม้แต่เงินทองบนตัวมารร้ายอย่างนี้ก็ยังไม่เว้น?
“ไอ้หนู เ้ากำลังทำอะไรของเ้า?” มู่หรงลวี่กวงไม่อาจเข้าใจภาพตรงหน้า
นอกจากองค์หญิงโยวเยว่แล้ว ไม่ว่าใครก็ไม่อาจมองเห็นภาพที่หวังเค่อริบเอากำไลกับถุงมิติไปจากซุนซงได้ อย่างไรเสีย หวังเค่อก็เป็ผู้เชี่ยวชาญด้านนี้ ปกปิดอำพรางได้หมดจด หากมันคิดจะฮุบสมบัติไว้แต่เพียงผู้เดียว แล้วมีหรือจะปล่อยให้ทุกคนจับได้?
“ข้ากำลังค้นตัวมันอยู่!” หวังเค่อตอบโดยไม่เหลียวหลัง
“ค้นตัว?” จางหลี่เอ๋อร์ไม่เข้าใจ
“หลักการของข้าคือไม่เบียดเบียนสาธุชน ไม่ละเว้นทรชน! ถ้าเกิดว่ามันไม่ใช่มารร้ายขึ้นมาล่ะ? ข้าก็เลยต้องลองตรวจดูสักหน่อย หากว่ามันคือมารร้ายตัวจริงเสียงจริง งั้นข้าก็จะผ่ามันซะ! ถ้าเกิดผ่าผิดตัวขึ้นมาก็แย่สิถูกไหม?” หวังเค่อยังคงหันหลังให้กับทุกคน
“มัน? นี่ยังต้องพิสูจน์กันอีกหรือ? เ้าปัญญานิ่มหรือยังไง? หากมันไม่ใช่มารร้ายแล้วใครถึงจะใช่?” มู่หรงลวี่กวงพลันถลึงตาอย่างมีโทสะ
เมื่อกี้เพิ่งจะสงสัยว่าข้าคือมารร้ายอยู่หลัดๆ แต่ตอนนี้เ้ากลับสงสัยว่าซุนซงอาจไม่ใช่มารร้ายแล้วก็ได้ สรุปแล้วพวกเ้าเป็พวกเดียวกันใช่หรือไม่?
จางหลี่เอ๋อร์ทางด้านข้างนิ่วหน้าลงเล็กน้อย “ทำไมข้าถึงได้รู้สึกเหมือนกับว่ามันกำลังเอาเปรียบซุนซงอยู่เลยเล่า?”
“อ๋า?” ทุกคนหันมามองจางหลี่เอ๋อร์เป็ตาเดียว
“มัน มัน มันเป็พวกรักร่วมเพศจริงๆ หรือนี่? ก่อนที่จะเริ่มปราบมาร เลยมันอยากหาความสำราญเข้าตัว?” จางหลี่เอ๋อร์ปากอ้าตาค้าง
ทุกคนหันสายตากลับมามองหวังเค่อ จริงอย่างที่ว่า หวังเค่อตอนนี้กำลังลูบคลำซุนซงไปทั่วทั้งตัว แถมดูจากสีหน้าด้านข้างแล้วนั่นไม่ใช่สีหน้าของคนที่กำลังหื่นกระหายเริงร่า (กระเหี้ยนกระหือรือ) อยู่หรอกรึ?
เป็เื่จริงหรือนี่? เ้าหนูนี่เป็พวกรักร่วมเพศจริงๆ?
“พอได้แล้ว!” ซุนซงที่ทนความอัปยศไม่ได้ะโออกมาอย่างเหลืออด
หวังเค่อพลันผละออกห่าง “ฮึ่ม ข้าทำการตรวจค้นเสร็จเรียบร้อยแล้ว เ้าก็คือมารอสูรไม่ผิดแน่ ตอนนี้ก็ถึงเวลาลงทัณฑ์ปราบมารร้ายสักที เ้ามารร้าย ไปตายซะ!”
“ตูมม!”
อสนี์หลากหลายสายพุ่งตัวลงมาจากฟากฟ้า เพียงเสี้ยวพริบตา ซุนซงก็ถูกห่าอสนีกลืนกินไป ต่อให้มีพลังบำเพ็ญขั้นดวงธาตุทองคำก็เปล่าประโยชน์ กลอสนี์ปะามารอันน่าพรั่นพรึงเตรียมไว้เพื่อจัดการกับยอดฝีมือขั้นดวงธาตุทองคำอยู่แล้ว
“อ้าก!”
หลังจากที่อสนีบาตผ่านพ้นไป ซุนซงที่กรีดร้องโหยหวนก็ะเิกระจุย ขณะเดียวกันแสงสีทองลำหนึ่งพุ่งตรงขึ้นไปบนฟ้า กลืนหายไปในกระจกสะกดแสง
ทุกคนไม่ได้สังเกตเห็นถึงกุศลสีทองสายนั้น แต่กำลังเบิ่งตามองดูหวังเค่ออย่างโง่งมกันอยู่ต่างหาก
“พอเสพสุขเสร็จแล้วก็ฆ่าทิ้งทันที? ไม่มีความอาลัยอาวรณ์แม้แต่นิดเดียว นี่แหละพวกวิตถารตัวจริง!” จางหลี่เอ๋อร์มองดูหวังเค่ออย่างตกตะลึง
ผู้คนโดยรอบเองก็มองดูหวังเค่ออย่างตกตะลึงไม่ต่างกัน เป็เหมือนอย่างที่จางหลี่เอ๋อร์ว่ามาจริงหรือ? คนผู้นี้เทียบกับมารอสูรแล้วยังเลวร้ายกว่าเสียอีก!
หวังเค่อไม่สนใจท่าทีของพวกมัน แต่กลับเดินตรงไปหานางมารที่มีไอดำคุกรุ่นอยู่ตลอดร่างอย่างกระเหี้ยนกระหือรือแทน รอยยิ้มกระตือรือร้นของหวังเค่อถูกพวกจางหลี่เอ๋อร์ตีความหมายเป็รอยยิ้มวิตถารไปอีกหน
“อย่ากระดิกตัว ให้ข้าสำรวจค้นตัวเ้าสักประเดี๋ยวว่าเ้าใช่มารร้ายหรือเปล่า เคี๊ยกๆๆ!” หวังเค่อะเิหัวเราะอย่างตื่นเต้น
เมื่อกี้ทำการรื้อค้นขยะขั้นดวงธาตุทองคำไปหนึ่งชิ้น มันถึงกับโกยเงินได้เป็ถุงเป็ถัง รอบนี้เป็รอบที่สอง มันจะได้ผลกำไรขนาดไหนกันนะ~ พอคิดได้เช่นนี้แล้วจะไม่ให้หวังเค่อยิ้มออกนอกหน้าได้ยังไง จะไม่ให้มันตื่นเต้นยังไงไหว?
แต่รอยยิ้มนี้ในสายตาของทุกคนกลับมีความชั่วร้ายสุดประมาณสอดแทรกเข้ามาด้วย
“เ้าคิดจะทำอะไร? เ้าจะทำอะไรข้า? อย่านะ!” นางมารที่มีไอดำท่วมตัวผู้นั้นร้องออกมาทันที
แต่หวังเค่อไม่แยแส คนพลันรวบหัวรวบหาง เริ่มทำการค้นตัวฝ่ายตรงข้ามโดยไม่รั้งรอ
“อย่ามาแตะต้องตัวข้า!” นางมารผู้นั้นอุทานอย่างดาลเดือดระคนตื่นกลัว
“วิตถาร เดรัจฉาน แม้แต่นางมารมันก็ยังจะไม่เว้น!” จางหรี่เอ๋อร์ก่นด่าจนหน้าดำหน้าแดง
“ตรวจค้นเสร็จเรียบร้อย ผลออกมาว่าเป็มาร ให้ข้าได้ลงทัณฑ์เ้าในนามแห่งความถูกต้องเถอะ มารร้าย ยอมรับความตายแต่โดยดี!” หวังเค่อตวาด
“ตูมม!”
นางมารหญิงอีกตนหนึ่งถูกอสนี์ผ่าตาย แสงกุศลอีกสายหนึ่งถูกกระจกสะกดแสงดูดกลืนไป แต่หวังเค่อได้กำไรเป็กอบเป็กำ ชายหนุ่มะโโลดเต้นไปทางมารร้ายที่มีไอดำท่วมตัวอีกตนหนึ่ง มารร้ายที่อยู่ตรงหน้าหวังเค่อตนนั้นพลันเผยสีหน้าสิ้นหวังออกมาทันที
“อย่าเข้ามา ข้าบอกว่าอย่าเข้ามาไง!”
“อย่ากระดุกกระดิกสิ มาน่า ให้ข้าลองตรวจค้นร่างเ้าสักนิด เคี๊ยกๆๆ!” หวังเค่อเพียงแค้นใจที่ไม่อาจชักมือออกได้ไวกว่านี้
เดิมทีเหตุการณ์บนลานจัตุรัสตำหนักหมาป่าบูรพาคือเดิมพันเสี่ยงเป็เสี่ยงตายกันระหว่างสองขั้วธรรมะอธรรม บรรยากาศอบอวลไปด้วยความจริงจังหาใดเปรียบ แต่เป็เพราะเสียงหัวเราะแปลกประหลาดของหวังเค่อที่ทำให้บรรยากาศอันเคร่งขรึมต้องพังลงเหมือนรถคว่ำไม่เป็ท่า
[1] Bank run หรือธนาคารล้ม คือการที่ลูกค้าจำนวนมากของธนาคารตื่นตระหนกแห่ถอนเงินฝากในเวลาเดียวกัน เนื่องจากความกลัวว่าจะไม่ได้รับเงินฝากคืน
