ผู้คนต่างมองไปที่หน้าอกของผู้าุโตระกูลจื่ออย่างตกตะลึง เพราะตรงหน้าอกได้มีตราประทับรูปไม้กางเขนปรากฏขึ้นเด่นชัด และมีเืซึมออกมาจากตราประทับอย่างเชื่องช้า
“ใครกันนะที่บอกว่า ผู้ที่อยู่ขอบเขตแห่งจิติญญาไม่สามารถทำลายผู้ที่อยู่ขอบเขตลี้ลับได้”
ที่หลินเฟิงกล้ากล่าวเช่นนี้ขึ้นมาได้ เพราะหลินเฟิงได้แสดงให้เห็นแล้วว่า ด้วยพลังของขอบเขตแห่งจิติญญาก็สามารถทำร้ายผู้าุโตระกูลจื่อผู้อยู่ขอบเขตลี้ลับได้ ไม่เพียงแต่าเ็เล็กน้อยเท่านั้น แต่เขาได้สร้างาแฉกรรจ์และเกือบคร่าชีวิตของผู้าุโตระกูลจื่อไปแล้ว เื่ที่เกิดขึ้นยิ่งทำให้ผู้คนยากที่จะเชื่อ
ผู้าุโก้มหัวลงมองตราประทับไม้กางเขนที่ปรากฏเด่นชัดอย่างไร้คำพูด จู่ๆ เจินหยวนเกิดการผันผวนขึ้นมา จนเืที่ไหลซึมออกจากตราประทับและาแพลันหยุดลง ขณะที่เขาเงยหน้ามองหลินเฟิง ในดวงตาของผู้าุโเต็มไปด้วยจิตสังหารที่รุนแรงไร้ที่สิ้นสุด เขาไม่เคยอยากสังหารใครถึงขนาดนี้มาก่อน
“ข้าจะทำให้เ้าได้ตายอย่างทรมาน!”
เสียงของผู้าุโตระกูลจื่อฟังดูน่าหวาดกลัวอย่างมาก
“หึ!”
หลินเฟิงส่งเสียงเย้ยหยันครั้งหนึ่งขณะจับมือต้วนซินเยี่ยและก้าวถอยหลัง สิ่งที่เกิดขึ้นทำให้สีหน้าของผู้าุโตระกูลจื่อเปลี่ยนไป จากนั้นเขาก็ะโออกมาว่า “เ้ากล้าดียังไง!”
ด้านหลังของหลินเฟิงในขณะนี้ มีรูปปั้นขนาดั์ตั้งอยู่ และเื้ัรูปปั้นยังเป็ทางเข้าเขตต้องห้าม ประตูเข้าสู่เขตต้องห้ามยังคงเปิดไว้เช่นนั้นโดยที่ยังไม่มีใครเข้าไป
เมื่อหลินเฟิงเห็นสีหน้าของผู้าุโตระกูลจื่อ มุมปากของเขาก็ยกขึ้นด้วยความสะใจ เพียงพริบตาเดียวร่างของเขาและต้วนซินเยี่ยก็หายไปราวกับเงา รู้สึกตัวอีกทีทั้งสองก็กำลังพุ่งเข้าไปในเขตต้องห้ามเสียแล้ว
สีหน้าของผู้าุโตระกูลจื่อเปลี่ยนไปอีกครั้ง ขณะที่เห็นพวกหลินเฟิงเข้าสู่เขตต้องห้าม
ร่างเงาของผู้าุโตระกูลจื่อหายวับเพื่อไล่ตามไป ทว่าขณะที่เขากำลังจะผ่านประตูกลับมีคลื่นดาบพุ่งออกมาอย่างรุนแรง ผลักเขาจนกระเด็นออกไป
เกิดเสียงดังสนั่นไปทั่วบริเวณ ในขณะเดียวกันประตูเขตต้องห้ามก็ปิดตัวลงต่อหน้าของผู้าุโตระกูลจื่อ
“อ๊าก!!!”
ผู้าุโตระกูลจื่อคำรามออกไปขณะจ้องมองประตูบานนั้น เนื่องจากสิ่งที่เขากังวลมากที่สุดมันได้เกิดขึ้นแล้ว
เมื่อครู่นี้ตอนที่หลินเฟิงอยู่ใกล้เขตต้องห้าม ผู้าุโไม่ได้ทำตัวแปลกๆ ออกไป เขาพยายามโจมตีหลินเฟิงให้ล่าถอย ทว่ามันกลับยิ่งทำให้หลินเฟิงเข้าใกล้เขตต้องห้ามมากกว่าเดิม ที่เขาทำเช่นนั้นก็เพื่อไม่ให้ใครสงสัยเกี่ยวกับเขตต้องห้าม และไม่ให้หลินเฟิงเข้าไปในนั้น แต่สุดท้ายแล้วหลินเฟิงก็เข้าไปในเขตต้องห้ามจนได้
ผู้าุโตระกูลจื่อคงไม่กังวลขนาดนี้ ถ้าคนที่หลุดเข้าไปในเขตต้องห้ามไม่ใช่หลินเฟิง ซึ่งเป็ผู้เยาว์ที่มีพร์อันสูงส่ง หากหลินเฟิงอยู่ในนั้นเป็เวลาราวๆ สองถึงสามปีล่ะก็ ถ้าเขาออกมาแล้วผู้าุโคงไม่อาจประมือกับหลินเฟิงได้
ยิ่งไปกว่านั้นในเขตต้องห้ามมีสิ่งลึกลับบางอย่าง ที่แม้แต่พวกเขาตระกูลจื่อเองก็ไม่อาจเข้าใจมันได้ แต่ด้วยการหยั่งรู้ของหลินเฟิงล่ะก็ ใครจะรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นหรือบางทีเขาอาจใช้เวลาเพียงไม่กี่ปีก็รับรู้ถึงมันก็เป็ได้
จื่ออิ่งถึงกับหน้าถอดสีและยืนนิ่งอยู่เช่นนั้น ขณะเฝ้ามองเหตุการณ์ตรงทางเข้าเขตต้องห้ามอย่างเงียบงันด้วยแววตาอึมครึม
ผู้คนในบริเวณนี้ไม่ได้รีบจากไป พวกเขาล้วนสงสัยว่าภายในเขตต้องห้ามของตระกูลจื่อนั้นเป็เช่นไร แล้วเป็สุสานของบรรพบุรุษของตระกูลจื่อจริงหรือไม่?
ตระกูลจื่อมีชื่อเสียงและอิทธิพลมากที่สุดในภูมิภาคนี้ จึงไม่มีใครกล้าบุกโจมตีที่แห่งนี้ แม้กระทั่งเหล่าผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตลี้ลับในภูมิภาคอื่นๆ ก็ยังไม่ค่อยให้ความสนใจกับเขตต้องห้ามของตระกูลจื่อสักเท่าไร
ถึงอย่างไรบรรพบุรุษของตระกูลจื่อก็แข็งแกร่งจนสามารถภูมิภาคนี้ได้ แม้ต้องเผชิญหน้ากับผู้ฝึกยุทธ์ที่แข็งแกร่งของโม่เยว่ก็ยังได้รับชัยชนะ
…
บรรยากาศอันหนาแน่นภายในเขตต้องห้าม ทำให้ผู้ที่เข้าไปต้องหายใจลำบาก
ข้างในนี้ช่างเงียบสงัด เงียบสงัดจนน่าหวาดกลัว ในชั้นอากาศเบื้องบนมีแสงสีม่วงส่องลงมาบางเบา
เพราะแสงสีม่วงนี้ ทำให้ภายในเขตต้องห้ามไม่กลายเป็มืดสนิท
ต้วนซินเยี่ยยิ่งกระชับมือของหลินเฟิงแน่นขึ้น ราวกับกลัวว่าหลินเฟิงจะจากไปอีกครั้ง ดวงตาคู่งามของนางกวาดมองไปรอบๆ เขตต้องห้ามด้วยความสงสัย
ถึงแม้นางจะกลัวเล็กน้อย แต่เพราะหลินเฟิงอยู่ด้วยแล้ว ต้วนซินเยี่ยก็ค่อยวางใจได้เปราะหนึ่ง
“ซินเยี่ย คนของตระกูลจื่อได้บอกอะไรท่านเกี่ยวกับเขตต้องห้ามแห่งนี้หรือไม่?” หลินเฟิงกล่าวถาม
“ไม่เลยสักนิด ข้าแทบไม่เคยได้ยินเื่ของที่นี่จากคนตระกูลจื่อเลย”
ต้วนซินเยี่ยกล่าวขณะส่ายหัว
“งั้นลองเดินเข้าไปลึกกว่านี้กันเถอะ”
หลินเฟิงกล่าวพร้อมจูงมือต้วนซินเยี่ย พวกเขาก้าวไปข้างหน้าเรื่อยๆ ตามแสงสีม่วงที่ส่องสว่างอยู่ตามรายทาง
ทั้งสองยังคงเดินเข้าไปเรื่อยๆ และคาดไม่ถึงว่าแสงสีม่วงจะยิ่งสว่างขึ้น ในที่สุดบริเวณรอบๆ ตัวก็สว่างจนสามารถมองเห็นได้ชัดเจน
ใต้ฝ่าเท้าของพวกเขาในตอนนี้เป็แผ่นหินที่ถูกขัดจนมันวาว กำแพงทั้งสองฝั่งก็มีภาพแกะสลักอย่างประณีต เพราะพื้นที่ที่กว้างขวาง ทำให้แต่ละก้าวที่หลินเฟิงก้าวไปนั้น ทำให้พวกเขายิ่งทิ้งระยะห่างระหว่างกันมากยิ่งขึ้น
จากนั้นไม่นานหลินเฟิงและต้วนซินเยี่ยก็ต้องประหลาดใจ เมื่อเห็นฉากตรงหน้า
สิ่งที่ปรากฏอยู่เบื้องหน้าพวกเขาก็คือทะเลสาบ แต่ว่าน้ำในทะเลสาบแห่งนี้กลับเป็สีม่วง บริเวณผิวน้ำมีคลื่นซัดกระหน่ำอย่างต่อเนื่องดูไม่มีท่าทีว่าจะหยุด
ทะเลสาบแห่งนี้ไม่ได้กว้างขวางนัก พวกเขาสามารถเห็นอีกฝั่งของทะเลสาบได้ สุดสายตามีไฟส่องสว่างและหยกแกะสลัก เมื่อเพ่งมองดีๆ แล้วมันดูคล้ายกับตำหนักหลังใหญ่ที่ตั้งตระหง่านอยู่ตรงนั้น
“มีทะเลสาบสีม่วง แล้วยังมีตำหนัก!”
หลินเฟิงถึงกับตกตะลึง ทะเลสาบแห่งนี้มีคลื่นซัดอยู่ตลอดเวลา แล้วเขาััได้ถึงบางอย่างที่คล้ายคลึงกับจิติญญาของจื่ออิ่ง แต่สิ่งที่ทำให้เขาประหลาดใจนั่นก็คือทะเลสาบแห่งนี้มีเสียงคำรามออกมาไม่มีหยุด
“พวกเราข้ามไปกันเถอะ”
เมื่อหลินเฟิงกล่าวกับต้วนซินเยี่ยดังนั้น นางก็พยักหน้าเล็กน้อย แล้วหลินเฟิงก็จับมือของนางและทะยานไปยังตำหนักที่อยู่ฝั่งตรงข้าม
อย่างไรก็ตาม ตอนที่หลินเฟิงกำลังจะร่อนลงนั้นพลันเกิดเสียงดังสนั่นไปทั่วอากาศ
ทันใดนั้นน้ำในทะเลสาบสีม่วง จู่ๆ ก็พุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้ากลายเป็น้ำวน จากนั้นมันได้ดูดร่างของหลินเฟิงและต้วนซินเยี่ยหายลงไปในทะเลสาบ
ทุกสิ่งล้วนเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วเกินจนไม่อาจตั้งตัวได้ทัน
หลินเฟิงตกตะลึงอย่างมาก ทะเลสาบสีม่วงแห่งนี้ราวกับจู่ๆ ก็มีชีวิต มันพุ่งมาหาและดูดเขาลงสู่ทะเลสาบอย่างไม่มีใครคาดคิด
ต้วนซินเยี่ยเองก็ร้องออกมาอย่างตื่นตระหนกขณะจับมือหลินเฟิงไว้แน่น ถึงตายนางก็ไม่มีวันปล่อยมือเขาเด็ดขาด ในที่สุดทั้งสองก็ถูกดูดลงทะเลสาบ
“โฮก!!!”
ทะเลสาบสีม่วงในขณะนั้นราวกับคลุ้มคลั่งขึ้นมา มันโหมกระหน่ำและคำรามอย่างบ้าคลั่ง ของเหลวสีม่วงที่ก่อตัวรวมกันพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าอย่างต่อเนื่อง และซัดไปทางหลินเฟิงและต้วนซินเยี่ยอย่างต่อเนื่อง
ในชั่วพริบตาแขนเสื้อของหลินเฟิงและต้วนซินเยี่ยพลันหายวับไป เพราะถูกละลายโดยของเหลวสีม่วง จากนั้นพวกเขาเพิ่งตระหนักได้ว่าเสื้อผ้าของพวกเขาก็ถูกละลายไปด้วยเช่นกัน ซึ่งโชคดีที่ร่างของพวกเขาทั้งสองอยู่ในทะเลสาบสีม่วง ไม่อย่างนั้นล่ะก็ ทั้งคู่คงอึดอัดจนวางตัวไม่ถูก
เพราะปรากฏการณ์ประหลาดที่เกิดขึ้นอย่างไม่คาดคิดนี้ ทำให้พวกเขาไม่เสียเวลามาสนใจเื่พวกนี้นัก
ในตอนนี้หลินเฟิงและต้วนซินเยี่ยมีเพียงศีรษะกับแขนที่ยื่นออกมาเท่านั้น ซึ่งแขนของทั้งสองก็แนบชิดอย่างมาก ขณะนั้นของเหลวสีม่วงได้คำรามออกมาเสียงหนึ่ง แล้วพุ่งมาเกาะแขนของพวกเขา มันไหลไปตามท่อนแขนจนกระทั่งแทรกเข้าสู่ร่างกาย
ยังไม่จบเพียงแค่นั้น ของเหลวสีม่วงยังไหลไปตามร่างกายของพวกเขาและซึมเข้าสู่ิัอย่างต่อเนื่องราวกับมันกำลังร่างกายพวกเขา
“หลินเฟิง ข้าเจ็บ!”
ใบหน้าของต้วนซินเยี่ยซีดลงจนผิดปกติ ตอนนี้นางรู้สึกเหมือนร่างกายกำลังขยายขึ้นเรื่อยๆ มองของนางที่กระชับแขนของหลินเฟิงไว้แน่นพลันคลายออกช้าๆ อย่างไร้เื่แรง
หลินเฟิงเองก็รู้สึกไม่ค่อยสู้ดีนัก ของเหลวสีม่วงนั่นกำลังโจมตีร่างกายเขา
อย่างไรก็ตามในขณะนั้นได้มีลมปราณที่รุนแรงพุ่งออกมา ทันใดนั้นด้านหลังของต้วนซินเยี่ยก็ปรากฏประตูสีดำให้เห็น
ประตูทั้งสามบานนี้ เหมือนกับอยู่มาั้แ่โบราณ
“ประตูปิดผนึก!”
ร่างของหลินเฟิงถึงกับสั่นระริก นี่คือประตูปิดผนึก ซึ่งสายเืของตระกูลต้วนได้จิติญญาแห่งนักรบ นั่นก็คือจิติญญาทางสายเื
“กึก! กึก! กึก!”
ประตูปิดผนึกทั้งสามบานเคลื่อนไหว แต่ว่าร่างของต้วนซินเยี่ยได้ถูกผนึกเอาไว้ จากนั้นได้มีตราประทับแบบดั้งเดิมปรากฏออกมา ทันใดนั้นของเหลวสีม่วงก็ไม่จู่โจมนางอีก มิหนำซ้ำมันยังค่อยๆ ถอยออกไปช้าๆ
ประตูปิดผนึก ได้ป้องกันการบุกรุกจากของเหลวสีม่วง!
ต้วนซินเยี่ยค่อยๆ ปิดตาลง อย่างไรก็ตามลมปราณที่เงียบสงบลง ทำให้หลินเฟิงรู้สึกผ่อนคลาย ส่วนต้วนซินเยี่ยก็แค่เป็ลมไปเท่านั้น นางไม่ได้เป็อะไรมาก ในทางกลับกับมันกลับเป็เขาที่เ็ปไปทั่วทั้งร่าง เพราะของเหลวสีม่วงยังคงวิ่งพล่านอยู่ในร่างกาย ซึ่งมันได้สร้างความทรมานให้แก่หลินเฟิงเป็อย่างมาก
อย่างไรก็ตามในขณะนั้น ความรู้สึกที่คุ้นเคยได้ปรากฏขึ้น จึงทำให้หลินเฟิงสั่นเทาเล็กน้อย เมื่อด้านหลังเขาได้ปรากฏเงาของจิติญญาขึ้น
นั่นก็คือจิติญญากลืน์ที่กำลังหลับใหลอยู่…