ซย่านีคิดอย่างถี่ถ้วนมาแล้ว หากว่าเธอตัวคนเดียวก็คงสามารถผูกขาดธุรกิจนี้เอาไว้ได้ แต่ทว่าข้างกายของเธอยังมีทารกน้อยวัยหกเดือนที่ยังไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้อยู่น่ะสิ
เวลาที่เธอทำการค้า หรือกำลังทำสินค้าอย่างหนังยางรัดผมอยู่นั้น มันยากมากๆ เพราะเธอจะต้องคอยพะวงเลี้ยงดูลูกน้อยไปด้วย ดังนั้นสิ่งสำคัญตอนนี้ก็คือการหาหุ้นส่วน
หากเป็หุ้นส่วนกันล่ะก็ คงจะสามารถสลับกันทำหนังยางรัดผมออกไปขายได้ แถมยังสามารถช่วยเธอดูแลเด็กน้อยตอนที่เธอออกไปขายของได้อีก
หลังจากคิดแล้วคิดอีก พี่สะใภ้เซี่ยงเหมยก็ถือว่าเป็ตัวเลือกที่ดีที่สุด
พี่สะใภ้เซี่ยงเหมยไม่เพียงแต่ช่วยจัดหาสถานที่ทำงานให้เธอ แต่ยังให้เธอยืมจักรเย็บผ้าทำงานด้วย ซ้ำเธอยังชอบเด็กเล็กมากๆ และเธอเป็คนดีคนหนึ่ง ซย่านีคิดว่าพี่สะใภ้เซี่ยงเหมยต้องเป็หุ้นส่วนที่ดีที่สุดของเธออย่างแน่นอน
และเซี่ยงเหมยเองก็เป็คนทำอะไรรวดเร็ว ใจของเธอแค่ลังเลเล็กน้อยเท่านั้น แต่สุดท้ายก็ตอบตกลงทันที “ได้ งั้นฉันทำกับเธอก็แล้วกัน!”
หลังจากนั้นซย่านีก็เริ่มสอนเซี่ยงเหมยถึงวิธีการทำหนังยางรัดผมวงใหญ่
เซี่ยงเหมยพลิกผ้าที่ซย่านีได้มาพลางร้องอุทานว่า “โอ้ ์ วัสดุดีขนาดนี้เลย! นี่คือผ้าแพรสินะ? แล้วนะ...นี่...นี่คือผ้าขนสัตว์งั้นสิ? แถมยังมีผ้าลูกไม้ด้วยหรือนี่? แล้วนี่ล่ะ คือวัสดุอะไร?”
ซย่านีตอบ “นี่คือผ้าฉลุลายค่ะ ผ้าฉลุลายชนิดนี้น่าจะเป็ของหายาก ฉันเดาว่ามันน่าจะเป็ผ้าฉลุลายที่ถูกนำเข้ามาใน่ทศวรรษที่ 1930-1940 ถ้าพวกเราใช้ผ้าฉลุลายนี่ทำหนังยางรัดผมวงใหญ่ล่ะก็ ฉันคิดว่าน่าจะขายได้ชิ้นละหนึ่งหยวนเลยนะ”
เซี่ยงเหมยร้องอุทานด้วยความใ “อะไรนะ? หนึ่งหยวนเลยหรือ?!” เซี่ยงเหมยรู้สึกว่าซย่านีนั้นตั้งราคาสินค้าเกินเหตุไปหน่อย เธอคิดแล้วก็นึกแปลกใจขึ้นมา มันจะมีคนโง่ที่ไหนยอมใช้เงินหนึ่งหยวน เพื่อซื้อของที่กินไม่ได้หรือดื่มไม่ได้กันเล่า?
ซย่านีตอบกลับเซี่ยงเหมยไปด้วยความมั่นใจ “พี่สะใภ้ พอถึงเวลานั้นแล้ว พี่ก็คอยดูก็แล้วกัน ฉันจะต้องขายเครื่องประดับผมพวกนี้ได้อย่างแน่นอน!”
เซี่ยงเหมยส่ายหน้าอย่างจนปัญญา “ได้ ถ้าเธอขายได้จริงๆ แล้วล่ะก็ พี่สะใภ้อย่างฉันจะเลี้ยงข้าวเธอเอง”
ซย่านียิ้ม “พี่สะใภ้ ถือว่าเราตกลงกันแล้วนะ ถึงตอนนั้นพี่จะโกงไม่ได้ล่ะ!”
คนทั้งสองทำงานไปด้วยพลางพูดคุยกันไปด้วย นานๆ ทีจะได้ยินเสียงหัวเราะปะปนมาบ้าง เมื่อเวลาไปผ่านจนล่วงเลยมาถึงเวลาที่เด็กน้อยเสี่ยวซิงซิงต้องตื่นจากหลับฝัน เวลานี้ พวกเขาก็ทำหนังยางรัดผมวงใหญ่ไปได้มากถึงสามสิบชิ้นแล้ว
ครั้นเห็นว่าเป็เวลาเกือบเที่ยง ซย่านีก็เดาว่าลูกอีกสองของเธอน่าจะกลับถึงบ้านแล้ว เธอจึงอุ้มลูกชายคนเล็ก และเดินกลับบ้านไป
เพิ่งจะก้าวเข้าประตูบ้าน ซย่านีก็ได้ยินเสียงเดือดดาลของแม่สามีทันที “นี่เธอไปตะลอนที่ไหนมาฮะ?! มันกี่โมงกี่ยามแล้ว? พอทำอาหารเสร็จแล้วถึงค่อยรู้จักกลับบ้านงั้นสิ? เธอไสหัวออกไปแล้วยังกล้ากลับมาเหยียบที่นี่อีกหรือ ไปตายอยู่ข้างนอกเลยไป๊!”
เมื่อคืนนี้ ซ่งเป่าเถียนผู้มีฐานะเป็พ่อสามีของซย่านีนั้นออกไปทำงานกะดึก และเขาเพิ่งจะกลับมาถึงบ้านในตอนเช้า ตอนนี้เขา กำลังนั่งดื่มชาอยู่บนโต๊ะกินข้าว ครั้นเมื่อได้ยินเสียงบ่นของภรรยาที่กำลังต่อว่าซย่านีอย่างหนักอยู่ตรงหน้า ตัวเขากลับไม่พูดอะไรสักคำเลย อีกทั้งยังไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมองคนด้วยซ้ำ
ในชาติก่อน ซ่งเป่าเถียนก็เป็คนเช่นนี้ ในบ้านหลังนี้เขาทำตัวเหมือนมนุษย์ล่องหน เขาไม่เคยมีส่วนร่วมเลยสักครั้ง ไม่ว่าจะเป็เื่อะไรก็ตาม ตราบใดที่เขายังมีอาหารให้กิน มีน้ำให้ดื่ม และไม่รบกวนการใช้ชีวิตของเขาเท่านี้ก็เพียงพอแล้ว
ซิงซิงตื่นขึ้นมาเพราะได้ยินเสียงตะคอกของหวังซิ่วอิง พอเด็กน้อยกำลังจะร้องไห้ ซย่านีก็ตบที่ตัวเด็กน้อยเบาๆ เขาจึงเงียบเสียงลง
ซย่านีเองก็เรียนรู้จากพ่อสามีมาบ้าง เธอไม่พูดอะไรสักคำ และแกล้งทำเป็ไม่ได้ยินอีกด้วย เธอหมุนตัวเดินเข้าห้องตัวเองทันที แต่ก็ยังได้ยินเสียงของหวังซิ่วอิงยืนสบถด่าอยู่นอกห้อง
ประมาณเที่ยงตรง ซ่งวั่งซูกับซ่งตงซวี่ก็เลิกเรียนและกลับมาถึงบ้านพอดี
เมื่อก่อนหลังจากที่กลับบ้านมา ลูกชายคนรองของเธอ ถ้าไม่ดึงผมเปียของพี่สาวสักครั้ง ก็จะเดินเข้ามาหยิกจมูกน้องชายเล่นหนึ่งที หากได้แกล้งคนนั้นคนนี้แล้ว วันนั้นซ่งตงซวี่มักจะร่าเริงเป็พิเศษ แต่มาวันนี้ซ่งตงซวี่กลับเชื่อฟังมากขึ้น ทันทีที่เขาก้าวเข้าประตูห้องมา เขาก็เริ่มสังเกตสีหน้าของซย่านีอย่างระมัดระวัง
“มีการบ้านไหม?” ซย่านีเอ่ยถามขึ้น
ซ่งวั่งซูส่ายหน้า “ไม่มีค่ะ ปกติตอนเที่ยงพวกเราจะไม่มีการบ้าน มีแค่ตอนเย็นเท่านั้น คุณครูถึงจะให้การบ้านค่ะ”
“แล้วลูกล่ะ?” ซย่านีหันไปมองซ่งตงซวี่
ซ่งตงซวี่เองก็เอ่ยตอบผู้เป็แม่ “ไม่มีครับ”
ซย่านีส่งเสียง ‘อืม’ หนึ่งที ตามความรู้สึกเธอแล้ว ในตอนเที่ยงเด็กๆ มักจะไม่ค่อยได้รับมอบหมายงานมากนัก
ซ่งวั่งซูเหลือบมองออกไปนอกหน้าต่างแล้วพูดว่า “ตอนที่หนูเพิ่งเดินเข้ามา หนูเห็นสีหน้าของย่าไม่ค่อยดีเลยค่ะ เหมือนย่ากำลังด่าใครสักคนอยู่ด้วย”
ซย่านีกล่าวตอบ “ลูกอย่าได้เอาย่าของลูกไปเป็แบบอย่างเด็ดขาดเลยนะ การด่าคนอื่นไม่ใช่สิ่งที่ถูกต้อง”
ซ่งวั่งซูรีบตอบกลับ “หนูไม่ด่าคนอื่นหรอกค่ะ คุณครูสอนพวกเราไว้ว่า การด่าคนอื่นเป็พฤติกรรมที่ต่ำและไร้มารยาท”
ซย่านียิ้มแล้วลูบหัวลูกสาว “ลูกพูดถูกแล้วจ้ะ”
ซ่งตงซวี่เห็นว่าซย่านีไม่คุยกับตนเองั้แ่กลับมาถึงบ้าน นั่นทำให้เขาเริ่มรู้สึกทนไม่ไหวจนสุดท้ายเขาก็เอ่ยถามมารดาตนว่า “แม่ คุณครูพูดอะไรกับแม่บ้าง?”
“ก็ไม่มีอะไรหรอก แค่พูดเื่พฤติกรรมของลูกตอนอยู่โรงเรียน...เอาล่ะ พวกเราอย่าเพิ่งพูดเื่นี้กันเลย รีบไปกินข้าวกันก่อน ย่าของลูกๆ ทำอาหารเสร็จแล้ว”
บนโต๊ะมีอาหารวางอยู่สองจาน จากแรกคือกะหล่ำปลีตุ๋นวุ้นเส้นที่ไม่มีหมู แต่ผักถูกตุ๋นในน้ำมันหมูจึงทำให้มีกลิ่นหอมมาก และยังมีถั่วลิสงทอดอีกหนึ่งกอง ซึ่งซ่งเป่าเถียนเอาไว้กินแกล้มเหล้า จานสุดท้ายเป็วอวอโถว [1] วางอยู่ทั้งหมดเจ็ดก้อน
ซ่งหานเจียงนั้นอยู่ที่มหาวิทยาลัย ส่วนซ่งซุนซานผู้เป็พี่สามี โจวเจี๋ยผู้เป็ภรรยาและซ่งเหม่ยอวิ๋นผู้เป็น้องสามีของซย่านีนั้นต่างก็ออกไปทำงานกัน ภายในบ้านจึงเหลือเพียงพ่อสามี แม่สามี ลูกทั้งสองคนของพี่สามี และซย่านีกับลูกๆ อีกสามคน ส่วนซิงซิงยังเด็กมากจึงไม่นับ ดังนั้นคนที่กินข้าวจึงมีด้วยกันเจ็ดปากท้อง
วอวอโถวเจ็ดก้อนก็ฟังดูเหมือนจะสมเหตุสมผลดี แต่อันที่จริงแล้วในแต่ละมื้อ พ่อสามีของซย่านีจะต้องกินวอวอโถวสี่ก้อน ดังนั้นหวังซิ่วอิงจึงไม่ได้ทำอาหารเผื่อพวกเราสามคนแม่ลูกเลย!
ซย่านีไม่สนใจเื่นี้ หลังจากดึงให้พวกเด็กๆ นั่งลงบนโต๊ะแล้ว เธอก็รีบหยิบวอวอโถวบนจานออกมาสามก้อน แล้วแจกจ่ายให้ลูกของเธอคนละชิ้น
หวังซิ่วอิงไม่ทันได้มองจึงปล่อยให้ซย่านีฉกวอวอโถวไปได้ ทันใดนั้นเธอก็เดือดดาลขึ้นมาอีกครั้ง “กินๆๆ ! รู้จักแต่กิน! งานการก็ไม่รู้จักทำยังจะมีหน้ามากินข้าวอีก!”
ตอนนี้ซ่งวั่งซูและซ่งตงซวี่ถูกหวังซิ่วอิงทำให้ใกลัวเสียแล้ว พวกเด็กๆ ไม่กล้าขยับตัวหยิบวอวอโถวกินเลย
ซย่านีหยิบตะเกียบขึ้นมาคีบผักวางลงบนก้อนวอวอโถวที่อยู่บนจานของเด็กๆ แล้วกระซิบปลอบว่า “ลูกๆ กินเถอะ”
ทว่าซย่านีกลับคิดในใจว่าเธอไม่อาจอยู่บ้านหลังนี้ได้อีกต่อไปแล้วจริงๆ ทุกๆ วันเอาแต่ร้องะโอยู่อย่างนั้น การกระทำพวกนี้ล้วนแต่ส่งผลเสียต่อเด็กๆ มันไม่เอื้อต่อการเจริญเติบโตที่ดีของพวกเขาเลย
เป็ครั้งแรกที่ซ่งวั่งซูรู้สึกว่าแม่ของตัวเองนั้นตัวสูงใหญ่และพึ่งพาได้ เธอกัดก้อนวอวอโถวอย่างเชื่อฟัง ครั้นซ่งตงซวี่เห็นพี่สาวลงมือกินข้าวแล้ว เขาจึงเริ่มกินอาหารกับก้อนวอวอโถวตามบ้าง
หวังซิ่วอิงเห็นซย่านีและคนในบ้านทั้งสี่ไม่สนใจคำพูดของเธอ เธอจึงโกรธยิ่งกว่าเดิม “กินอะไรกันฮะ! หยุดกันให้หมดทุกคนเลย!”
หวังซิ่วอิงตะคอกใส่ซ่งวั่งซูและซ่งตงซวี่เสียงดังลั่น แต่ไม่สามารถทำอะไรลูกของซย่านีได้ ผลสุดท้ายเสียงของเธอกลับทำให้ลูกของพี่สามีใกลัวแทนแล้ว
่เี่ิยังเด็ก พอเห็นภาพเช่นนั้นก็เตรียมจะร้องไห้ หวังซิ่วอิงรีบปลอบโยนและปาดน้ำตาให้เขาเบาๆ “โอ๋ๆ เด็กดีของย่า ย่าไม่ได้พูดถึงหนู ย่าว่าพวกผีหิวกลับชาติมาเกิดนั่นต่างหาก รู้จักแต่กิน ไม่รู้จักทำการทำงานบ้างเลย!” หวังซิ่วอิงพูดพร้อมกับถลึงตาจ้องซย่านีและเด็กทั้งสามคนอย่างดุร้าย
ซย่านีกินเร็วมาก เธอกินวอวอโถวสองสามคำแล้ววางตะเกียบลงโต๊ะ “แม่คะ แม่หมายความว่าอะไรกัน? แม่ด่าฉันก็แล้วไปเถอะ แต่มาด่าลูกๆ ของฉันนี่มันหมายความว่าอย่างไร? ลูกๆ ของพี่ใหญ่เองก็ไม่เคยทำงานเหมือนกันนี่คะ ไม่ใช่ว่าตอนนี้พวกเขาก็ยังได้อยู่ดีกินดีหรอกหรือ แล้วทำไม พอลูกๆ ของฉันไม่ทำงานแล้วกินข้าวบ้าง ถึงได้โดนด่าว่า เป็ผีหิวกลับชาติมาเกิดได้ล่ะคะ?”
“ทำไมกัน ลูกชายของพี่ชายใหญ่เป็หลานแท้ๆ ของแม่ แต่ลูกของฉันไม่ใช่หลานแท้ๆ ของแม่งั้นหรือคะ?”
“หุบปากให้หมด!” ซ่งเป่าเถียนที่เงียบมาตลอดจู่ๆ ก็ตบโต๊ะเสียงดังลั่น แล้วหันไปพูดกับหวังซิ่วอิง “จะกินข้าวก็กินไปซะ เธอจะะโอะไรกันนักกันหนาฮะ? ยังมีวอวอโถวอีกไหม? ทำแค่ไม่กี่ชิ้น ใครมันจะไปพอกินกันเล่า?”
หวังซิ่วอิงอยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่เมื่อเธอสบตากับซ่งเป่าเถียนแล้ว เธอก็กลืนคำพูดกลับลงคอไป ถึงขั้นที่หดคอลงอย่างรู้สึกผิด จากนั้นก็รีบกลับไปที่ห้องครัวแล้วอุ่นวอวอโถวมาเพิ่มให้ซ่งเป่าเถียนทันที
พอเห็นภาพทั้งหมดตรงหน้า ดวงตาของซย่านีก็เป็ประกายขึ้นมา
[1] วอวอโถว(窝窝头) ถือเป็อาหารประเภทแป้งอย่างหนึ่งของคนจีน โดยทำจากแป้งข้าวโพดและถั่วเหลือง อุดมด้วยใยอาหาร
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้