เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว
ตู้เ้าฮุยเงียบหายไปจากชีวิตของเซี่ยเสี่ยวหลาน ซึ่งเธอเองก็ไม่ได้สนใจเขาสักเท่าไร
ตู้เ้าฮุยมีงานที่เผิงเฉิงต้องสะสางดังนั้นเขาไม่สามารถอยู่ปักกิ่งตลอดได้ แม้เซี่ยต้าจวินจะช่วยชีวิตเขาเอาไว้ แต่ตู้เ้าฮุยคิดว่าตนได้ชดเชยให้เซี่ยต้าจวินอย่างเหมาะสมแล้ว คนที่ยอมตายเพื่อเขามีตั้งมากมาย ต่อให้เขา้าตอบแทนเซี่ยต้าจวินก็คงไม่ถึงขั้นเอาอกเอาใจราวกับเป็พ่อบังเกิดเกล้าได้ แม้แต่ตู้เชิงหรงผู้เป็พ่อแท้ๆ ตู้เ้าฮุยเองยังไม่ให้ความเคารพสักเท่าไรเลย ทว่าหากตู้เชิงหรงส่งมอบกิจการของตระกูลตู้ทั้งหมดให้กับตู้เ้าฮุยในตอนนี้ เขาคงเปลี่ยนสีเร็วยิ่งกว่ากิ้งก่าแน่นอน!
หากถามว่าตู้เ้าฮุยยังติดใจเื่ไหน อย่างไรก็คงไม่ใช่เื่ที่เซี่ยเสี่ยวหลานเป็คนสวยจัด แต่แน่นอนว่าเป็เื่ที่เซี่ยเสี่ยวหลานขัดใจคุณชายใหญ่อย่างเขาต่างหาก
เซี่ยเสี่ยวหลานให้ผลประโยชน์อะไรกับเขาไม่ได้ ทั้งยังทำให้เขารู้สึกไม่พอใจอีกด้วย ดังนั้นเขาย่อมจดจำเซี่ยเสี่ยวหลานได้เป็อย่างดี อย่างไรก็ตามเซี่ยเสี่ยวหลานได้เปรียบที่เธอหน้าตาดี เพราะคุณชายใหญ่ตู้มักใจกว้างกับสาวสวยมากกว่าปกติ
รองหัวหน้าหวังอยากงัดข้อกับเขา แต่ก็ถูกเขาใช้เงินฟาดหน้ากลับไป
ดังนั้นที่เซี่ยเสี่ยวหลานได้ศึกษาเล่าเรียนอย่างไม่มีเื่รบกวนใจก็เพราะตู้เ้าฮุยใจกว้างกับสาวสวยเป็พิเศษ และในความเป็จริง แผนการลงทุนที่เผิงเฉิงก็ผ่านการอนุมัติแล้ว เมื่อโครงการทั้งหมดกำลังจะเริ่มดำเนินการ ตู้เ้าฮุยในฐานะผู้รับผิดชอบจึงไม่สามารถอยู่ปักกิ่งต่อได้
เซี่ยเสี่ยวหลานเป็คนเดียวที่ทำให้ตู้เ้าฮุยรู้สึกตาเป็ประกาย เจอก่อนย่อมได้เปรียบ เพราะนอกจากเซี่ยเสี่ยวหลานแล้วก็ไม่มีใครในปักกิ่งที่เข้าตาคุณชายใหญ่ตู้อย่างเขาเลยสักคน
ความจริงเขาอยากทำความรู้จักกับพวกดาราสาวของแผ่นดินใหญ่สักหน่อย ทว่าไกด์ได้อธิบายวัฒนธรรมของประเทศให้คุณชายใหญ่ตู้ฟังอย่างขะมักเขม้นว่านักแสดงหญิงของแผ่นดินใหญ่นั้นไม่เหมือนกับที่ฮ่องกง เนื่องจากพวกเธอสังกัดหน่วยงานรัฐอย่างถูกต้อง ได้รับเงินเดือนประจำ ถ้าถ่ายละครก็จะได้เงินค่าตอบแทนเพิ่มมาด้วยอีกส่วน ไม่มีคำว่าดาราใหญ่หรือดาราปลายแถว เพราะอย่างไรก็เป็เพียงอาชีพหนึ่งที่ต้องตั้งใจทำงานเท่านั้น
ตู้เ้าฮุยอยากจีบดาราสาวเล่นๆ แต่พวกเธอ้าหาคู่ครองที่มั่นคง หากจีบติดแล้วคง ‘บอกเลิก’ ลำบาก
ความสนใจของตู้เ้าฮุยดับหมอดลงทันที เขารู้สึกได้ถึงความน่าเบื่อ ก่อนจะเดินทางกลับเผิงเฉิง
ไม่มีหลิวเทียนเฉวียนคอยเป็ตัวถ่วง กิจการทั้งหมดของเครือเชิงหรงที่เผิงเฉิงจึงอยู่ภายใต้การดูแลของตู้เ้าฮุยเพียงผู้เดียว คนที่มีประโยชน์กับธุรกิจ ตู้เ้าฮุยย่อมยินดีให้เกียรติ หลังกลับมาเผิงเฉิงเขาก็ได้ทำความรู้จักและผูกมิตรกับคนอื่นไปทั่ว แค่ระยะเวลาสั้นๆ ก็สามารถเอาชนะความพยายามตลอดสองปีของหลิวเทียนเฉวียนไปได้ โชคดีที่ปัจจุบันหลิวเทียนเฉวียนไม่ได้ดูแลธุรกิจที่เผิงเฉิงแล้ว มิเช่นนั้นคงอกแตกตายเป็แน่
ตอนนี้หลิวเทียนเฉวียนมีชีวิตชีวายิ่งนัก เพราะเขากำลังวางแผนเส้นทางการค้าของเถื่อนแห่งใหม่ให้กับตระกูลตู้!
—--------------------------------------------
เพียงชั่วพริบตาก็ถึงปลายเดือนมกราคม ด้วยเงินทุนและแรงงานที่เพียงพอ การตกแต่งร้านทั้งสามแห่งที่ปักกิ่งจึงเริ่มเป็รูปเป็ร่าง
หลิวหย่งอยู่ที่ปักกิ่ง อีกทั้งเงินในมือก็มีอยู่เหลือเฟือ เขาจึงใช้โอกาสนี้จัดระเบียบบ้านที่หนานหลัวกู่เสียเลย
เขาไม่ได้ยกเครื่องตกแต่งใหม่ทั้งหมด เพราะเขาไม่มีประสบการณ์ด้านการปรับปรุงสิ่งปลูกสร้างสมัยโบราณ อีกทั้งเซี่ยเสี่ยวหลานเองก็กำลังยุ่งกับการแข่งขันและการสอบปลายภาคจึงทำให้เธอไม่มีเวลามาออกแบบให้ หลิวหย่งได้ทำการรื้อถอนห้องเล็กๆ ที่ถูกต่อเติมขึ้นอย่างไม่เป็ระเบียบออกทั้งหมด คืนโฉมเดิมให้กับเรือนสี่ประสานแห่งนี้
จากนั้นเขาก็หาคนงานมาเปลี่ยนกระเื้ัคา ทาสีกรอบหน้าต่างให้เป็สีเดียวกัน ก่อนจะซื้อเครื่องเรือนที่จำเป็ต่างๆ มาวางไว้ที่บ้าน พอให้คนสามารถอาศัยอยู่ได้
ถึงอย่างไรคนงานที่พามาครั้งนี้หลิวหย่งก็ให้พวกเขาพักที่บ้านของตัวเองทั้งหมด ดังนั้นเถ้าแก่หลิวผู้มัธยัสถ์ย่อมประหยัดเงินค่าที่พักไปได้อีกจำนวนหนึ่ง
เรือนสี่ประสานที่สือช่าไห่ได้รับการรักษาสภาพบ้านเอาไว้ได้ดีกว่า หลิวหย่งจึงทำแค่ตรวจสอบกระเื้ัคา และไม่ได้แตะต้องสิ่งอื่นเลย
เซี่ยเสี่ยวหลานบอกว่าจะเก็บเรือนหลังนี้ไว้ ‘ทำการบ้าน’ ในอนาคต ความรู้ที่ได้เรียนตอนปีหนึ่งเป็แค่เื่ผิวเผินเท่านั้น เนื่องจากอาจารย์ยังไม่สั่งให้ทุกคนลงมือปฏิบัติ พอขึ้นปีสองแล้วจะได้เรียนอย่างเจาะลึกยิ่งขึ้น เซี่ยเสี่ยวหลานจึง้าลงมือทำจริง
การปรับปรุงสิ่งปลูกสร้างโบราณกับการปรับปรุงสิ่งปลูกสร้างทั่วไปนั้นแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ตอนนี้เซี่ยเสี่ยวหลานยังไม่มีความสามารถมากพอ เื่ค่าใช้จ่ายและเวลาเองก็ยังไม่พร้อมเช่นกัน จึงตัดสินใจปล่อยบ้านไว้แบบเดิมชั่วคราว
“บ้านของลุงก็ทิ้งไว้แบบนี้ก่อนเถอะ ตอนนี้เก็บกวาดง่ายๆ ให้คนสามารถอยู่ได้ก็พอแล้ว”
หลิวหย่งสมเป็คุณลุงแท้ๆ เขาตามใจเซี่ยเสี่ยวหลานอย่างไร้เงื่อนไข เธอว่าอย่างไรก็ทำอย่างนั้น หากบอกให้รื้อทิ้งแล้วสร้างใหม่เขาก็จะทำอย่างแน่นอน!
วันที่ 20 มกราคม เซี่ยเสี่ยวหลานเห็นข่าวการแข่งขันภาษาอังกฤษรอบชิงชนะเลิศระดับประเทศบนหน้าหนังสือพิมพ์ ตอนนี้กระทรวงศึกษาธิการได้เริ่มทำการประชาสัมพันธ์การแข่งรอบชิงชนะเลิศแล้ว
ปัจจุบัน รายการภาษาอังกฤษที่ค่อนข้างได้รับการยอมรับจากประชาชนคือรายการ《follow me》ของสถานีวิทยุโทรทัศน์ส่วนกลาง หนังสือแบบเรียนที่โด่งดังที่สุดคือหนังสือเรียน《ภาษาอังกฤษ》ระดับมหาวิทยาลัยของนักประพันธ์อย่างสวีกั๋วจาง ั้แ่ยุค 60 จนถึงทุกวันนี้ พวกนักศึกษาอย่างเซี่ยเสี่ยวหลานยังคงใช้แบบเรียนของอาจารย์สวี ดังนั้นแวดวงการศึกษาภาษาต่างประเทศจึงมักมีคำเรียกที่ว่า ‘ใต้หวังเหนือสวี’ และคำว่า ‘เหนือสวี’ ในที่นี้ก็หมายถึงอาจารย์สวีกั๋วจางนั่นเอง
หนังสือพิมพ์ระบุไว้ว่า อาจารย์สวีจะมาเป็กรรมการตัดสินในรอบชิงชนะเลิศ!
อีกทั้งยังมีบทสัมภาษณ์ของเขาที่กล่าวไว้ว่า การเรียนภาษาอังกฤษจะต้อง ‘กล้าออกนอกกรอบ ไม่เกรงกลัวฟ้าดิน’
“อาจารย์สวีเป็กรรมการอย่างนั้นหรือ...”
ในบรรดาชาวห้อง 307 ลฺหวี่เยี่ยนรู้สึกอิจฉามากที่สุด เธอพกเครื่องอัดเสียงติดตัวตลอดเวลา เวลาว่างจากคาบเรียนเธอคือคนที่ทุ่มเทให้กับภาษาอังกฤษอย่างเต็มที่ แต่น่าเสียดายที่ไม่ผ่านเข้ารอบ
ลฺหวี่เยี่ยนเรียนภาษาอังกฤษอย่างทุ่มเท ทำให้ทุกคนต่างคาดเดากันว่าเธอคงอยากไปเรียนต่อที่ต่างประเทศ อย่างไรก็ตามหลังก่อตั้งประเทศอาจารย์สวีก็เป็อาจารย์สอนภาษาอังกฤษอยู่ที่ปักกิ่งมาโดยตลอด ลฺหวี่เยี่ยนรู้สึกอิจฉาเซี่ยเสี่ยวหลานเหลือเกินที่จะได้เจออาจารย์สวีอย่างใกล้ชิด
“ถึงอาจารย์สวีจะเป็กรรมการ ก็ใช่ว่าฉันจะได้คุยกับเขาเสียหน่อย”
กรรมการกับผู้เข้าแข่งขันมีโอกาสคุยกันไม่มากนัก นี่ไม่ใช่การแข่งขัน ‘เดอะวอยซ์’ ของโลกอนาคต ที่จะได้ร่วมเป็ทีมเดียวกันกับกรรมการ! ไม่มีโค้ช ไม่มีการแบ่งแยกทีม ดังนั้นกรรมการกับผู้เข้าแข่งขันย่อมไม่มีโอกาสทำความรู้จักอย่างลึกซึ้ง
เซี่ยเสี่ยวหลานรู้จักอาจารย์สวีในฐานะคนดังระดับตำนาน หนังสือเรียนภาษาอังกฤษของปี 1985 เป็ฝีมือการประพันธ์ของอาจารย์สวี ชาติก่อนตอนเซี่ยเสี่ยวหลานเรียนมหาวิทยาลัย หนังสือเรียนภาษาอังกฤษก็ยังคงเป็ฉบับของอาจารย์สวี เธอเข้ามหาวิทยาลัยตอนปี 1995 และดูเหมือนอาจารย์จะเสียชีวิตในปี 1994… หากนับดูแล้วนักวิชาการด้านภาษาอังกฤษและนักภาษาศาสตร์ชื่อดังผู้นี้ เหลืออายุขัยอีกแค่เก้าปีเท่านั้น
เซี่ยเสี่ยวหลานเพิ่งค้นพบว่า การแข่งขันภาษาอังกฤษหรือพูดอีกอย่างคือชีวิตใน่ยุค 80 นั้นช่างมีความหมายเหลือกเกิน
บุคคลที่มีชื่อเสียงอย่างอาจารย์สวีและคนอื่นๆยังมีชีวิตอยู่ ชาตินี้เธอสามารถผลักดันตัวเองจนขึ้นมาอยู่ในจุดที่สูงกว่าเดิม ทำให้เธอมีโอกาสได้พบเจอกับพวกเขา และนี่เป็ความใฝ่ฝันของใครหลายคน
ด้านสถาปัตยกรรม เธอเคยเจอหนิงเยี่ยนฝานมาแล้ว อีกไม่นานก็จะได้เจออาจารย์สวีอีกคน ยุคสมัยที่เปี่ยมไปด้วยโอกาสเช่นนี้ ล้วนเต็มไปด้วยอัญมณีล้ำค่ามากมาย
เช้าตรู่ของวันที่ 25 เซี่ยเสี่ยวหลานลุกจากที่นอนมาล้างหน้าแปรงฟัน
เมื่อลงมาจากหอพักเซี่ยเสี่ยวหลานก็พบว่าอาจารย์หลินกำลังรอเธออยู่ด้านล่าง เนื่องจากมีเื่ที่อยากกำชับแก่เซี่ยเสี่ยวหลาน
“เธอคงเห็นหนังสือพิมพ์แล้วสินะ คณะกรรมการของรอบชิงล้วนเป็คนใหญ่คนโตด้วยกันทั้งนั้น มีคนระดับหัวหน้าของกระทรวงศึกษาธิการ และยังมีผู้เชี่ยวชาญอย่างอาจารย์สวี อีกทั้งการแข่งขันภาษาอังกฤษรอบชิงชนะเลิศนี้ยังบันทึกภาพออกอากาศทางโทรทัศน์ การแข่งขันของพวกเธอจะถูกถ่ายทอดในภายหลัง... ดังนั้นเธอสามารถมีความคิดที่แปลกใหม่ได้แต่ต้องคิดหน้าคิดหลัง รู้จักขอบเขตบ้าง!”
อาจารย์หลินพูดถึงการแข่งขันเมื่อคราวก่อน
ถ้าเซี่ยเสี่ยวหลานไม่อยากได้อันดับก็ไม่เป็ไร แต่ถ้าอยากได้ก็อย่าเผลอตอบนอกประเด็นเป็อันขาด!
เซี่ยเสี่ยวหลานกับอาจารย์หลินเดินไปรวมพลกับนักศึกษาหัวชิงอีกสามคน วันนี้ทุกคนต่างดูสดใสมีพลัง รวมถึงจี้เจี้ยงหยวนด้วยเช่นกัน
พวกเขานั่งรถของมหาวิทยาลัยไปยังสนามสอบแข่งขัน ผู้เข้าแข่งขันมีทั้งหมด 200 คน กว่าจะดำเนินการตามขั้นตอนเสร็จก็ใช้เวลาถึงครึ่งวัน ระหว่างที่รอเข้าแข่งขันศาสตราจารย์จากภาควิชาภาษาต่างประเทศก็ได้อธิบายกลยุทธ์ต่างๆ อยู่บนรถ
“คู่แข่งของพวกคุณในวันนี้มาจากมหาวิทยาลัยทั่วประเทศ ดังนั้นอย่าจับจ้องไปที่จิงต้าหรือมหาวิทยาลัยอื่นเพียงแห่งเดียว ผู้เข้าแข่งขันจากมหาวิทยาลัยภาษาต่างประเทศปักกิ่งก็นับว่าเป็คู่แข่งที่น่ากลัวของพวกคุณเช่นกัน...”