อวิ๋นซีเดินกลับไปถึงเรือนชั้นห้า จากนั้นจึงสั่งให้เพ่ยเอ๋อร์และแม่นมพาแม่นางน้อยทั้งสามกลับไปยังเรือนพำนักของหวานหว่านเพื่ออาบน้ำแต่งตัวเสียใหม่ พร้อมทั้งให้คนตระเตรียมของกินไว้ให้พวกนาง
ส่วนตัวนางก็กลับไปยังสวนชิงเฟิง และทันทีที่ฉุนเอ๋อร์กับสาวใช้คนอื่นๆ ได้เห็นว่าพระชายาตนกลับมาแล้วก็ให้ปรีดายิ่ง ฉุนเอ๋อร์ยิ้มแล้วพูดว่า “พระชายากลับมาแล้ว หม่อมฉันดีใจยิ่งนักเพคะ ก่อนหน้านี้ที่พวกท่านไม่อยู่ พวกหม่อมฉันก็รู้สึกราวกับขาดบางสิ่งบางอย่างในชีวิตไป”
“ก็แค่ขาดคนตัวใหญ่ๆ ไปสองสามคนเท่านั้น” อวิ๋นซีอดหัวเราะพูดจาหยอกล้อด้วยไม่ได้ เหมือนว่าหลายวันนี้ที่ได้อยู่ด้านนอก ตัวนางเองก็รู้สึกผ่อนคลายลงไม่น้อย และหลังจากที่นางได้อาบน้ำชำระกายเสร็จสิ้นก็เอนกายลงบนตั่งกุ้ยเฟยพลางใคร่ครวญถึงการมาถึงขององค์ชายสี่ การที่คนผู้นี้มาเยือนที่นี่จะมีเหตุการณ์ใดเกิดขึ้นหรือไม่
นางยังจำได้ดีในชาติก่อน ยามนั้นองค์ชายสี่ที่มีพระชันษาเพียงสิบแปดปีต้องออกจากวังไปสร้างจวนของตัวเอง จากนั้นก็ทรงงานอยู่ในกรมพระคลัง ด้วยเหตุนี้ การที่เขามาปรากฏกายอยู่ที่นี่ แสดงว่าจะต้องมีเื่อะไรเกิดขึ้นเป็แน่
นางหลุบตาลงเพียงครู่หนึ่ง จากนั้นจึงสั่งเพ่ยเอ๋อร์ให้ไปบอกคนครัวจัดเตรียมอาหารสำหรับมื้อเย็น ในตอนนี้จวนหานอ๋องมีหยวนอวี่เสี้ยนจู่ท่านหนึ่งพักอาศัยอยู่ ทั้งยังมีซื่อจื่อแห่งจวนโหว และองค์ชายสี่เพิ่มขึ้นมาอีก ดังนั้น แน่นอนว่าอาหารเย็นวันนี้ไม่อาจทำลวกๆ ได้
ปลายยามเซิน จวินเหยียนก็กลับมายังสวนชิงเฟิง
ขณะนั้นอวิ๋นซีกำลังเอนกายอ่านตำราอยู่บนตั่งกุ้ยเฟย และในตอนที่สายตาเขาตกกระทบบริเวณคอเสื้อที่เผยอออกน้อยๆ ของนางก็ได้แต่ต้องเบนสายตาไปทางอื่นด้วยกลัวว่าตนจะทนไม่ไหว แล้วพลั้งเผลอทำเื่ที่จะเป็การทำร้ายนางขึ้นมา
อวิ๋นซีเงยหน้าขึ้นพอดีจึงได้เห็นท่าทีของเขาที่กำลังเบนศีรษะไปทางอื่น และเป็ตอนนี้เองที่นางเพิ่งจะสังเกตเห็นว่าตนจัดแต่งอาภรณ์ไม่เรียบร้อย ยามนี้ตู้โตว [1] สีเขียวอ่อนโผล่ออกมาด้านนอกให้คนอื่นเห็นแล้ว ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อได้เห็นท่าทางของจวินเหยียน นางก็เป็ต้องรีบยื่นมือไปจัดแจงเสื้อผ้าตนให้เรียบร้อยพร้อมๆ กับอดไม่ได้ให้โค้งมุมปาก
“องค์ชายสี่มาที่นี่ทำไมหรือ? ” อวิ๋นซีมองชายหนุ่มแล้วจึงเอ่ยปากถาม
“หนีการแต่งงาน” เมื่อจวินเหยียนทราบว่านางจัดแจงเสื้อผ้าเรียบร้อยแล้ว เขาก็นั่งลงบนเก้าอี้ข้างกายนาง พูดเสียงเบา “เสด็จพ่อพระราชทานบุตรสาวสายตรงของอวิ๋นอานโหว อวิ๋นเซ่าหลันให้แต่งเข้าเป็ชายาเอก เมื่อครึ่งเดือนก่อนนั้นเป็พิธีมงคลของเขา เพียงแต่เ้าเด็กนี่ไม่ชอบอวิ๋นเซ่าหลันจึงได้หนีมา”
“อะไรนะ” อวิ๋นซีลุกขึ้นยืนมองเขา จากนั้นภาพจำในอดีตก็หวนคืน ในกาลก่อนตัวนางเองก็เคยได้เห็นถึงความอิสระเสรีที่อยู่นอกเหนือขนบธรรมเนียมขององค์ชายสี่มาแล้วกับตา จึงอดไม่ได้ให้หัวเราะฮ่าฮ่าออกมา “ก็ดูจะเป็เื่ที่คนเช่นเขาจะกล้าทำจริงๆ นั่นแหละ”
จากนั้นนางก็นึกถึงตระกูลอวิ๋น “อวิ๋นเซ่าหลันที่ท่านกล่าวถึงเมื่อครู่คือสตรีที่ตอนนั้นวางยาท่านใช่หรือไม่? ” เมื่อสามปีก่อนตอนที่เขาปลอมตัวเป็ฉินเหยียนเพื่อไปสืบความในเมืองหลวง โชคไม่ดีที่ใบหน้าหล่อเหลาเชื้อเชิญให้คนถูกน้องสาวของอวิ๋นหวนวางยา ด้วยวาดหวังอยากทำให้ข้าวสารกลายเป็ข้าวสุก ถึงกระนั้นเขาก็สามารถหนีออกไปได้ แต่กลับถูกคนเข้าใจว่าเป็อันธพาลที่ร่อนเร่อยู่ละแวกนั้นจึงได้ถูกพาตัวไปยังพระราชฐานส่วนพระองค์ขององค์รัชทายาท
เขาพยักหน้าอืมเสียงหนึ่ง “เป็อวิ๋นเซ่าหลันผู้นี้แหละ”
เมื่ออวิ๋นซีได้ฟังก็นึกถึงสถานการณ์ในยามนี้ของตระกูลอวิ๋น นางกดเสียงเบาพูด “ถึงแม้จวนอวิ๋นอานโหวจะเป็จวนโหว ทว่าตอนนี้ในมือพวกเขาล้วนไม่มีอำนาจทางการทหารหลงเหลือ แต่ฮ่องเต้ก็ยังพระราชทานสมรสให้อวิ๋นเซ่าหลันกับพระโอรสของพระองค์เอง นี่ก็เท่ากับเป็การตัดไฟเสียั้แ่ต้นลม ทำให้องค์ชายสี่หมดโอกาสที่จะแย่งชิงตำแหน่งรัชทายาท”
“เมื่อพระบิดาข้าตัดสินพระทัยแต่งตั้งองค์รัชทายาทแล้ว พระองค์ย่อมไม่มีทางปลดรัชทายาทลงง่ายๆ แน่ ดังนั้น ฐานะชายาของน้องสี่แค่ภายนอกพอดูได้ก็นับว่าเพียงพอแล้ว เพราะหากเขาได้ชายาที่ตระกูลเดิมมีอำนาจทางทหารอยู่ในมือ ไม่แน่ว่าอาจจะมีการชักนำให้คนเกิดความคิดที่อยากจะแย่งชิงตำแหน่งฉู่จวินจากเทียนหัวก็เป็ได้ แต่ก็แน่นอน บางทีเสด็จพ่ออาจจะยังมีความคิดอื่น อย่างไรเสียความคิดของพระองค์ก็เป็สิ่งที่คนอื่นไม่มีวันเข้าใจ”
เมื่ออวิ๋นซีได้ยินคำอธิบายของเขาก็อดแค่นเสียงเ็าออกมาไม่ได้ “ต่อให้จะไม่มีชายาขององค์ชายเหล่านี้คอยเป็กำลังช่วยเหลืออยู่เื้ั นับแต่ก่อตั้งราชวงศ์มา การแย่งชิงอำนาจของเหล่าองค์ชายต่างก็โหดร้ายมากอยู่แล้ว ท่านรอดูต่อไปเถิด ในเมืองหลวงนั่นไม่มีทางที่คลื่นลมจะสงบเงียบแน่ และต่อให้องค์ชายสี่จะไม่มีใจคิดอยากแย่งชิงราชบัลลังก์จริงๆ โอวหยางเทียนหัวก็ไม่มีทางปล่อยเขาไว้หรอก”
จวินเหยียนอืมเบาๆ “ด้วยเื่นี้ข้ารู้ดี พวกเราจึงจำเป็ต้องรีบกลับไป เพราะหากปล่อยให้อำนาจของรัชทายาทยิ่งเข้มแข็งและมั่นคงมากขึ้น ในอีกสองสามปีข้างหน้า หากคิดอยากจะจัดการเขาก็นับว่ายากยิ่งแล้ว”
อวิ๋นซีเม้มริมฝีปาก พยักหน้าเบาๆ “ถูกของท่าน จริงสิ แล้วโหวซื่อจื่อผู้นั้นเล่า เขามาที่นี่เพื่อทำอันใด? ” ผิงหยางโหวซื่อจื่อ นางจดจำได้ดี คนคนนี้มักไปมาหาสู่กับโอวหยางเทียนหัวอย่างลับๆ อยู่เสมอ แต่คนทั่วไปกลับคิดไปว่า จวนผิงหยางโหวไม่ได้อยู่ฝักฝ่ายใด อย่างไรก็ตาม การมาเยือนขององค์ชายสี่เพื่อหลบลี้จากอวิ๋นเซ่าหลันนั้นน่าจะบริสุทธิ์ใจจริงๆ แต่กับผิงหยางโหวซื่อจื่อผู้นั้นเล่า?
บุรุษผู้นั้นคงจะไม่ได้มาที่นี่เพื่อหลบเลี่ยงงานแต่งงานเหมือนกันกระมัง
“เขารักใคร่ในตัวหยวนอวี่”
คำตอบเพียงสั้นๆ ไม่กี่คำของเขากลับแลกมาด้วยเสียงหัวเราะเยาะหยันของอวิ๋นซี “ท่านเชื่อว่าชายเยี่ยงเขาจะยอมเดินทางมาไกลถึงเพียงนี้เพียงเพื่อหยวนอวี่คนเดียวอย่างนั้นหรือ? ข้าเดาว่า เป็ไปได้แปดเก้าส่วนเหตุที่น้องสี่ของท่านหนีงานแต่งงานมานี้จะเป็ความคิดของเขา อีกทั้งเหตุที่ต้องหลบลี้มาถึงหานโจวนี้ก็น่าจะเป็คำชี้แนะของเขา”
เมื่อจวินเหยียนได้ฟังแล้ว ก็มองไปยังนาง “เหตุใดถึงพูดเช่นนี้? ” ความสงสัยของนางมักมีเหตุมีผลเสมอ เขาทำเพียงถามและปิดปากเงียบด้วยอยากจะฟังว่านางมีความคิดเห็นเช่นไร
อวิ๋นซีขบคิดแล้วกล่าวตอบ “สำหรับน้องสี่และอวิ๋นเซ่าหลันนั้นเป็ฮ่องเต้ที่พระราชทานสมรสให้ ดังนั้น หากน้องสี่หนีงานแต่งมาเช่นนี้ก็เท่ากับเป็การขัดราชโองการอย่างชัดแจ้ง นับว่าคนได้ล่วงเกินฮ่องเต้ไปเรียบร้อยแล้ว ในวันข้างหน้าไม่ว่ายามใดก็ตาม เมื่อฮ่องเต้ได้เห็นน้องสี่จักต้องนึกถึงเื่ที่เขาหนีงานแต่งงานเป็แน่ และต้องคิดไปว่าน้องสี่ได้ริอาจท้าทายอำนาจกษัตริย์ เมื่อเป็เช่นนี้ ต่อให้ฮ่องเต้จะโปรดปราณรักใคร่ในตัวองค์ชายสี่มากมายเพียงไร แต่ตำแหน่งของเขาก็จักต้องตกต่ำลงเป็พันจั้ง [2] ”
“แล้วเหตุใดชิวิจึงต้องทำเช่นนั้น? ” เขาพึมพำเสียงเบา จากนั้นก็เงียบขรึม ขณะที่อวิ๋นซีทำเพียงอ่านตำราในมือตนต่อไปเงียบๆ โดยไม่คิดจะไปรบกวนเวลาที่เขากำลังไตร่ตรองเื่ราว
เงียบเป็นานกว่าเขาจะพูดขึ้นอีกครั้ง “หรือว่า จวนผิงหยางโหวจะเป็คนของโอวหยางเทียนหัว? ”
“ฉลาดมาก” อวิ๋นซีพยักหน้า “ข้าคิดว่า สำหรับเขาแล้ว สตรีมิได้สำคัญถึงเพียงนั้น ดังนั้น ท่านก็อย่าได้ประเมินฐานะของหยวนอวี่ในใจของชิวิสูงเกินไปนักเลย เพราะบางครั้งเมื่อเทียบกับผลประโยชน์แล้ว สตรีก็ไม่นับเป็อะไรทั้งสิ้น”
ชิวิชอบพอหยวนอวี่ ด้วยเื่นี้ั้แ่ชาติที่แล้วตอนนางเป็ชายารัชทายาทก็ทราบอยู่ อีกทั้ง ในตอนนั้นยังเคยพูดจาเชิงหยอกเหย้ากับโอวหยางเทียนหัวว่า ชิวิผู้นี้นับว่าไม่เลว แต่ช่างน่าเสียดายที่สายตาของหยวนอวี่นั้นมองสูงไปกว่านั้น
นอกจากนี้ นางยังจำได้ว่า หลังจากที่พูดไปเช่นนั้น สายตาของโอวหยางเทียนหัวกลับฉายแววลึกลับอย่างที่คาดการณ์ไม่ได้เล็กน้อย เมื่อมาคิดดูอีกทีตอนนี้ คาดว่ายามนั้นเขาน่าจะสยบตระกูลของชิวิไว้เป็ของตนได้แล้ว ด้วยเหตุนี้ ในตอนที่ตนพูดถึงชิวิ เขาถึงได้เผยสายตาเช่นนั้นออกมา
“ดูท่า พี่ใหญ่ของท่านจะไม่ใช่ตะเกียงที่ไร้น้ำมัน [3] จริงๆ แผนการชั่วร้ายโผล่ออกมาไม่มีที่สิ้นสุด” อวิ๋นซีคิดถึงเื่รายชื่อ แล้วก็ยังมีชิวิที่มาปรากฏตัวที่นี่อย่างกะทันหัน “ในเมื่อผิงหยางโหวเป็คนของโอวหยางเทียนหัว เช่นนั้นชิวิผู้นี้ก็ไม่มีความจำเป็ให้ต้องเก็บไว้แล้ว”
เมื่อจวินเหยียนได้ยินแล้วก็หันมองไปยังนางด้วยความเคลือบแคลง “สังหาร? ”
อวิ๋นซีพยักหน้า ริมฝีปากสีชาดขยับน้อยๆ “สังหาร”
เมื่อเขาได้ยินแล้ว ก็ขบคิดครู่หนึ่ง จากนั้นจึงพูดขึ้น “เื่นี้ให้ข้าจัดการเอง ส่วนเ้าก็ทำเป็ไม่รู้ไม่เห็นสิ่งใดทั้งสิ้น และทำเพียงดูแลต้อนรับพวกเขาให้ดีเป็พอ อีกประการ ไม่ว่าอย่างไรเ้าก็ควรไปดูหยวนอวี่เสียหน่อย ในเมื่อตอนนี้ชิวิมาถึงแล้ว โรคไม่ถูกดินฟ้าอากาศของนางก็ควรจะหายได้แล้ว”
“นี่ท่านคิดจะถือโอกาสแสดงน้ำใจเพื่อสนองตอบความปรารถนาของผู้อื่นอย่างนั้นหรือ? ถ้าเช่นนั้น ให้ข้าช่วยท่านหรือไม่? ” เมื่อคิดๆ มาถึงตรงนี้ นางก็อมยิ้มมองเขา ในเมื่อเขาเดาได้แล้วว่าการมาถึงของชิวินั้นไม่บริสุทธิ์ใจก็ย่อมต้องทำอะไรสักอย่างเพื่อเป็เครื่องยืนยันในเื่ต้องสงสัยนี่เสียหน่อย
“ชายารักเพียงรับชมอยู่ข้างๆ เปิ่นหวางก็เป็พอ เื่ที่เหลือเ้าอย่าได้ลำบากถึงเพียงนั้นเลย” เขายิ้มพลางลูบผมนางเบาๆ “น้องสี่บอกว่าข้าเป็โคแก่กินหญ้าอ่อน ตอนนี้เมื่อใคร่ครวญดูอีกที เหมือนว่าตัวข้าจะเป็เช่นนั้นจริงๆ ”
————————————————————————————————
เชิงอรรถ
[1] ตู้โตว (肚兜) เสื้อชั้นในที่มีลักษณะเป็รูปทรงคล้ายเพชร โดยมุมแหลมด้านล่างของเนื้อผ้าจะปิดบังส่วนสะดือและหน้าท้องไว้ และยังมีสายคล้องคอกับเชือกสำหรับผูกเอวไว้ที่ด้านหลัง
[2] จั้ง(丈)1 จั้ง ประมาณ 3.33 เมตร
[3] ไม่ใช่ตะเกียงที่ไร้น้ำมัน(不是省油灯)หมายถึง คนที่ไม่ธรรมดา เป็คนที่จะสร้างเื่และก่อความวุ่นวายได้
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้