ยามแสงสุดท้ายของวันกำลังจะลาลับขอบฟ้า เฉินโย่วก็เดินทางมาถึงหมู่บ้านไป๋กู่
เมื่อกลับมาถึงทุกคนก็พากันถอนหายใจคำหนึ่ง
แม้ว่าูเาลูกนี้จะเต็มไปด้วยกระดูกทั่วทุกสารทิศ แต่บัดนี้กลับรู้สึกคุ้นเคยกับมันนัก
โดยเฉพาะยามที่เห็นแม่นางหลัวยืนอยู่หน้าูเากระดูก
เฉินโย่วเมื่อเห็นเช่นนั้นก็รีบโผเข้าอ้อมกอดของแม่นางหลัว
เมื่อเห็นว่าเฉินโย่วกลับมาอย่างปลอดภัย จิตใจที่ม้วนเป็ปมของหลัวอู๋เลี่ยงจึงค่อยๆ คลายลง
นายท่านสามมองแม่นางหลัวที่กำลังยืนรอให้พวกเขากลับมาอยู่หน้าูเากระดูก เขาพลันนิ่งอึ้งไม่รู้จะกล่าวอันใด เพียงแต่ยืนอยู่ด้านหลังพร้อมใบหน้าอมยิ้ม มองไปยังสตรีตรงหน้าตน
ส่วนอาลู่และอาสวินกำลังทำความเคารพูเากระดูกอย่างรู้พิธี จากนั้นจึงค่อยเดินมาทักทายเหล่าคนที่รออยู่
ราชครูตั้งใจมองเหล่าคนที่เพิ่งกลับมา พลันรู้สึกไม่ค่อยเข้าใจเท่าใดนัก หลังจากคนพวกนี้ทำความเคารพ ูเากระดูกก็ดูเหมือนจะสงบลงอย่างเห็นได้ชัด
เดิมทีเขาเพียงคำนวณปากว้าแล้วพบว่าทางรอดของตนอยู่ทางทิศพายัพ มิคาดคิดเลยว่าตนนั้นจะได้มาเจอกับเื่น่าสนใจเช่นนี้
โดยปกติแล้วการก่อตั้งตำแหน่งของวังหลวงมักจะเลือกทำเลที่มีเหล่าทวยเทพคอยคุ้มครอง ทั้งในยามที่แคว้นแข็งแกร่งนั้น โชคจากทั้งแปดทิศก็จะมารวมกันที่วังหลวง ใต้หล้าก็ย่อมจะมีแต่โชคดีหลั่งไหลเข้ามา
ทว่าสถานที่ที่ทวยเทพทอดทิ้งนั้นกลับแตกต่างกับที่อื่น ที่นั่นไม่เพียงไร้ซึ่งความเจริญ แต่ยังมีเคราะห์ร้ายปกคลุมไปทั่วทุกหนแห่งตลอดจนบริเวณโดยรอบ ทำให้รอบๆ นั้นกลายเป็ดินแดนรกร้าง
ราชครูเคยอ่านตำราที่บรรพบุรุษตระกูลจ้งตกทอดไว้ให้ลูกหลาน เนื้อหาของมันก็เล่าไว้ประมาณนี้
ตำราเล่มนี้ตกทอดไว้สำหรับราชครูในแต่ละรุ่นเท่านั้น
เนื้อหาในตำราไม่มีทางผิดพลาดอย่างแน่นอน
ทว่าูเากระดูกตรงหน้าเขาในตอนนี้ ดินแดนที่เหล่าทวยเทพทอดทิ้งนั้นไม่เพียงมีคนอยู่ขวักไขว่ ทั้งบริเวณโดยรอบก็ไม่ได้กลายเป็ดินแดนรกร้าง กลับกันบัดนี้ยังกลายมาเป็เส้นทางการค้าที่แสนรุ่งเรือง
ในความมืดมิดที่คลุมเครือ ราชครูเกิดความรู้สึกขึ้นว่าเหตุที่โชคชะตาชักนำเขามาที่นี่ บางทีอาจเป็เพราะอยากให้เป็เขาเป็คนมาไขปริศนานี้ก็เป็ได้
“ท่านอาจารย์ ข้าซื้อของขวัญมามอบให้ท่าน” เฉินโย่วเมื่ออ้อนน้าหลัวของนางเสร็จแล้วก็รีบวิ่งมาตรงหน้าท่านอาจารย์
นางนั้นอยู่ใน่ที่กำลังชื่นชอบการที่คนเอ่ยชมตนอยู่พอดี
ไม่ว่าใครบนูเานี้เอ่ยชมนางสักประโยคหนึ่ง นางก็จะลิงโลดจนออกนอกหน้า ใบหน้าพลันเจิดจ้าไปด้วยรอยยิ้ม ราวกับว่ากำลังมีความสุขเป็ที่สุด
ราชครูที่กำลังตกอยู่ในภวังค์อยู่นั้นก็พลันถูกเสียงของเด็กหญิงเรียกสติขึ้นมา
เขาก้มมองเด็กหญิงก็เห็นว่าสองมือนั้นยื่นหนังสือเล่มหนึ่งส่งให้ตน
ที่แท้ก็เป็ตำราซานไห่จิง
หน้าปกเล่มนั้นดูเรียบง่ายไปหน่อย เขายังจำได้ว่าในหอตำราก็มีอยู่เล่มหนึ่ง เพียงแต่ปกนั้นจะแข็งกว่า ทั้งยังหรูหรายิ่ง ภาพวาดทุกภาพในเล่มล้วนแต่ใช้อาจารย์ที่เลื่องชื่อเฉพาะทางเป็คนวาด
ดังนั้นเพียงแค่ตำราซานไห่จิงเพียงเล่มเดียวก็หนักจนยกไม่ขึ้นแล้ว
เขาจึงลองเปิดตำราที่เด็กหญิงส่งให้ดู พบว่าหน้าแรกมีข้อความเขียนไว้แถวหนึ่งว่า “ศิษย์ลู่เฉินโย่วขอมอบให้ท่านอาจารย์กัว”
เขานั้นแต่ไหนแต่ไรมาก็ไม่เคยขาดแคลนสิ่งใด ยามอยู่ในวังไม่ว่าสิ่งใดก็ล้วนมี
ทว่าเมื่อคิดย้อนกลับไป สิ่งที่เคยเป็ของเขาบัดนี้ล้วนสูญสิ้นแล้ว เช่นเดียวกันกับการหนีตายในครั้งนี้ เขานั้นหนีออกมาได้เพียงแต่ตัว กระทั่งลูกศิษย์ก็ยังต้องทอดทิ้งไว้ในวัง
บัดนี้ยามได้ถือตำราเล่มนี้ในมือ ตำราที่ศิษย์มอบให้เขาเป็ทรัพย์สินของเขาจริงๆ
ราชครูจึงได้แต่พยักหน้าอย่างเลื่อนลอยแล้วจึงยื่นมือออกไปจับจุกผมที่ชี้ราวกับดอกไม้บนศีรษะของเด็กหญิง ช่างนุ่มมือจริงๆ
อ่อนนุ่มราวกับหัวใจของเขาในตอนนี้
วันนี้ยามค่ำูเากระดูกจะจัดการประชุมอีกครั้ง
เหล่าปานำกลองออกมาตีเสียงดังตึงตังเป็สัญญาณ
ค่ำนี้หัวข้อหลักในการประชุมคือเื่หมู่บ้านไป๋กู่ได้รับการสถาปนาอย่างเป็ทางการแล้ว
นายท่านสามย้ายแผ่นจารึกออกมาให้ชาวบ้านเห็นโดยทั่วกัน
ใบหน้าพราวยิ้มนั้นกล่าวขึ้น “วันนี้ยามลงเขาข้าได้ไปหาท่านผู้เฒ่าเ้าคณะอำเภอให้ช่วยเขียนอักษรให้เป็พิเศษ แม้ตัวอักษรของท่านผู้เฒ่าจะดูธรรมดา แต่เมื่อมีตัวอักษรเหล่านี้ย่อมหมายความถึงการยืนยันว่าหมู่บ้านไป๋กู่ของเรานั้นได้เป็หมู่บ้านอย่างเป็ทางการแล้ว ต่อไปพวกเราล้วนแต่เป็สุจริตชน เป็ผู้คนของหมู่บ้านไป๋กู่ ทั้งข้ายังได้ขึ้นทะเบียนภูมิลำเนาให้ทุกคนแล้ว สมุดทะเบียนภูมิลำเนานี้สามารถช่วยยืนยันสถานะของทุกคนได้ ในอนาคตเด็กๆ ในหมู่บ้านก็สามารถไปเรียนหนังสือได้ เมื่อท่องจำเขียนชื่อตนได้ก็สามารถไปขึ้นทะเบียนภูมิลำเนาได้เช่นกัน”
ราชครูเดิมทีอยากจะชวนนายท่านสามสนทนาเื่ค่ายกล ทว่าเมื่อเห็นใบหน้ายิ้มน้อยยิ้มใหญ่เต็มไปด้วยความยินดีของเหล่าชาวบ้าน แม้ว่าบางคนจะมีริมฝีปากเพียงครึ่งหนึ่ง หรือบางคนจะมีขาเพียงข้างเดียว หรืออาจเหลือแขนเพียงข้างเดียว ก็ล้วนแล้วแต่เดินไปรับสมุดทะเบียนภูมิลำเนากันอย่างเบิกบาน เมื่อเห็นเช่นนั้นเขาจึงมิอาจหักหาญกล่าวเื่นี้ขึ้นมาได้
หากยามนี้กล่าวเื่ที่ให้ทุกคนอพยพย้ายถิ่นฐานขึ้นมา เกรงว่าเขาคงจะโดนทุบตีจนไม่เหลือชิ้นดี
ในระหว่างที่ราชครูกำลังลังเลนั้น อยู่ดีๆ ก็รู้สึกว่ามีคนกำลังสะกิดเขา ที่แท้ก็เป็เสี่ยวอู่ศิษย์ของเขา กำลังใช้นิ้วก้อยหนาๆ ของตนสะกิดแขนเขาเบาๆ
ราชครู “...”
“ท่านอาจารย์ นายท่านหวังกำลังเรียกท่านอยู่”
เมื่อราชครูเงยหน้าขึ้นก็เห็นว่านายท่านสามที่ยืนอยู่บนระเบียงกำลังยิ้มให้ตน ด้านข้างมีเด็กหญิงผมจุกกำลังยืนยิ้มอยู่เช่นกัน
“ท่านอาจารย์กัว นี่สมุดทะเบียนภูมิลำเนาของท่าน”
ราชครูนั้นไม่คาดฝันว่าจะมีของตนเองด้วย
ในใจเขานั้นคิดว่าจะอยู่ที่นี่เพียงชั่วคราวมาโดยตลอด
แม้แม่นางหลัวจะกล่าวว่าเขาเป็คนกันเอง ทว่าเขากลับไม่เคยมีความรู้สึกเช่นนั้น ถึงอย่างไรเขาก็ยังเป็ราชครูผู้ภาคภูมิ ในใจลึกๆ จึงคิดอยู่เสมอว่าวันหนึ่งเขาคงจะได้กลับเข้าไปอยู่ในวังหลวง
ไม่คิดเลยว่าบัดนี้ตนจะมาลงเอยอยู่ในค่ายโจร ดินแดนที่ทั้งรกร้างและป่าเถื่อน แม้ว่าที่นี่จะเปลี่ยนชื่อเป็หมู่บ้านไป๋กู่แล้วก็ตาม
เขาเป็ลูกหลานสายตรงของตระกูลจ้ง เป็ราชครูแห่งแคว้นเชิน ทว่ากลับกลายมาเป็ชาวบ้านคนหนึ่ง แม้เื่นี้จะฟังดูเหลวไหลนัก ทว่าเขาก็ไม่ได้ปฏิเสธมัน รอยยิ้มของคนในหมู่บ้านนั้นราวกับเป็โรคติดต่อ เพียงชั่วพริบตาทั้งหมู่บ้านก็พากันยิ้มอย่างอิ่มเอม
ในใจราชครูก็พลันรู้สึกตื้นตันขึ้นมาเช่นกัน
เขารู้เื่นโยบายนี้มาก่อนแล้ว เมื่อองค์หญิงเป็คนเสนอขึ้นมา ทุกคนจึงรู้สึกอัศจรรย์ใจนัก
ในตอนนั้นเขายังเป็ถึงราชครู ใครบ้างที่จะไม่รู้จักเขา ใครบ้างจะกล้าโต้แย้งเขา ใครบ้างจะกล้าขวางทางเขา ด้วยเหตุนั้นเื่การขึ้นทะเบียนภูมิลำเนาจึงไม่เคยอยู่ในความคิดเขา
ทว่าเื่ก็ผ่านมาแสนนานกว่าจะส่งผลมาถึงเมืองเล็กๆ ในเขตชายแดนแห่งนี้
“ท่านอาจารย์กัว ท่านเพียงเขียนชื่อลงบนแถวแรกในสมุดก็เรียบร้อยแล้ว หลังจากนี้ยามอยู่บนเขาหากท่านมีครอบครัวก็สามารถเขียนชื่อสมาชิกคนอื่นไว้ด้านล่างได้”
ราชครู “...”
หลังจากคืนนั้นที่นายท่านสามสนทนากับท่านอาจารย์กัวเื่นางในดวงใจ หลังจากนั้นชายหนุ่มก็รู้สึกผิดอยู่เสมอ ทว่าก็รู้สึกใกล้ชิดสนิทกับท่านอาจารย์กัวขึ้นมาอีกหน่อย รู้สึกว่าเขาก็ไม่ได้เป็คนย่ำแย่อะไร
“ท่านอาจารย์รีบเขียนเร็วเข้า ข้ายังไม่รู้เลยว่านามเต็มของท่านคืออะไร หากต่อไปข้าออกไปต่อยตีกับคนอื่น จะได้ช่วยปกป้องชื่อเสียงของท่านอาจารย์ได้” เฉินโย่วกล่าวขึ้นอย่างกระตือรือร้น
ราชครู “...”
ไฉนเด็กหญิงตัวเล็กแค่นี้จึงต้องออกไปต่อยตีกับคนอื่นเล่า ทั้งเื่ช่วยเขารักษาชื่อเสียงนี่มันเื่เหลวไหลอันใดกัน
นายท่านสามยังคงทำทีราวกับไม่เห็นแววตาของท่านอาจารย์ข้างกายตน เื่นี้นับว่าช่วยไม่ได้ นายท่านใหญ่เคยกล่าวต่อหน้าคนทั้งค่ายว่าจะให้เฉินโย่วเป็ผู้สืบต่อตำแหน่งของตนก่อนที่เขาจะสิ้นใจไปในเวลาต่อมา
ทั้งค่ายก็ล้วนปฏิบัติกับเฉินโย่วเสมือนเป็นายหญิงน้อยไปแล้ว คนในค่ายยามกล่าวอันใดก็ล้วนเต็มเปี่ยมไปด้วยกลิ่นอายของเหล่ากองโจร แม้ว่าทุกวันนี้จะเลิกปล้นชิงกันไปแล้วทว่านิสัยเดิมๆ ก็ไม่อาจแก้ไขได้ในวันเดียว
ราชครูจึงก้มลงไปเขียนนามตัวเองเงียบๆ ว่า ‘กัวฟาง’ สองตัวอักษร
นามเดิมของเขานั้นคือจ้งฟาง ทว่าไม่อาจเขียนแซ่จ้งของตนลงไปได้
คนแซ่จ้งนั้นมีจำนวนน้อยนัก ทั้งแคว้นเชินมีเพียงแค่ตระกูลของเขาเท่านั้น
เฉินโย่วยืนจ้องอาจารย์ตนเขียนนาม เมื่อเห็นว่าเขาเขียนคำว่าฟางลงไป ดวงตาพลันเบิกโพลง
นางนั้นชอบตั้งฉายาให้ผู้อื่นั้แ่ยังเป็เด็กน้อย ทั้งยังชอบขานนามเป็คำซ้ำ
ทว่านางกลับไม่เคยนึกฝันว่าชายชราผมขาวหน้าใหญ่หน้าโตตรงหน้าตนนั้นจะมีนามว่าฟางฟาง
นายท่านสามก็อ้ำอึ้งไปครู่หนึ่ง
ทว่าใบหน้านั้นกลับมีรอยยิ้มอ่อนโยนปรากฏขึ้น กล่าวชมขึ้นเสียงดัง “นามของท่านอาจารย์ช่างยอดเยี่ยม”
ราชครูได้ยินแล้วพลันหน้ากระตุกขึ้น ดีอันใดกัน เ้าอยากหัวเราะก็หัวเราะออกมาเถิด
จากนั้นจึงเห็นนายท่านสามหยิบสมุดทะเบียนของตนออกมา บรรทัดแรกปรากฏลายมือเรียบร้อยเขียนว่า ‘เฉินหรูอี้’
ราชครูเห็นเช่นนั้นก็เข้าใจได้ทันที ใบหน้าจึงเผยรอยยิ้มอายๆ ขึ้น “ดีเยี่ยมเช่นกัน ดีเยี่ยมเช่นกัน”