หลังจากเยว่เฟิงเกอจากไปแล้ว ซูมู่เจ๋อก็กลับไปที่โรงพนันที่ในตอนนี้คนด้านในกำลังวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างแตกตื่น
พวกเขาไม่ได้กำลังถกกันเื่ที่ซูมู่เจ๋อพ่ายแพ้ติดกันหลายตา แต่เป็เื่ของเยว่เฟิงเกอ
“นางคือชายาจั้นอ๋องเยว่เฟิงเกอ? ”
“เป็ไปไม่ได้ ข้าเคยเห็นชายาจั้นอ๋องมาก่อน ทรงงดงามมาก ไม่ได้หน้าตาธรรมดาเช่นนี้”
“ข้าเองก็เคยเห็นชายาจั้นอ๋องมาก่อน เรียกได้ว่าเป็เทพธิดาเดินดินเลยล่ะ”
“เ้าว่า แม่นางคนนี้จะอ้างชื่อชายาจั้นอ๋องมาเล่นพนันที่นี่เพื่อทำลายชื่อเสียงของพระนางหรือไม่? แล้วยังจะให้พระนางได้รับสมญาพี่ใหญ่แห่งโลกพนันด้วย พวกเ้าก็น่าจะรู้นะ ฉายาพี่ใหญ่แห่งโลกพนันนี้ไม่ใช่ฉายาที่ดีอะไร”
เมื่อคนคนนี้พูดจบก็มีเสียงคนอื่นๆ พูดแทรกขึ้นมาทันที
“ข้าก็ว่าเป็เช่นนี้”
“ใช่แล้ว คนคนนี้้าจะทำลายชื่อเสียงชายาจั้นอ๋องของพวกเราอย่างแน่นอน”
จินว่านหลี่ยิ่งฟังก็ยิ่งโกรธ ตอนแรกเขาแค่ยืนฟังยิ้มๆ ด้วยรู้ว่าคนพวกนี้ก็แค่กบในกะลา ไม่รู้กระทั่งว่าอีกฝ่ายคือชายาจั้นอ๋อง
แต่เมื่อต้องฟังพวกเขาพูดกันถึงว่าชายาจั้นอ๋องกำลังทำลายชื่อเสียงของตัวเอง ก็เริ่มทนไม่ไหวอีกต่อไป ก้าวออกมาะโใส่ทุกผู้คนเสียงเกรี้ยวกราด “พวกเ้าพูดจาไร้สาระ แม่นางคนเมื่อครู่ก็คือชายาจั้นอ๋อง”
“ชิ เ้าพูดราวกับเคยพบชายาจั้นอ๋องมาก่อนอย่างนั้นแหละ” คนบางคนกล่าววาจาเยาะหยันใส่จินว่านหลี่ทันที “เ้าก็แค่ผีพนันคนหนึ่ง จะไปเคยพบชายาจั้นอ๋องได้อย่างไร พูดออกมาได้ ไม่กลัวจะถูกคนหัวเราะเยาะหรือ”
จินว่านหลี่ถลึงตาเมล็ดถั่วเขียวของเขา กล่าวด้วยความโมโห “เ้าจะไปรู้อะไร ข้าไม่เพียงเคยพบชายาจั้นอ๋อง แต่ยังเคยไปจวนจั้นอ๋องมาแล้วด้วย หากพวกเ้าไม่เชื่อ ก็ลองดูสิ่งนี้”
จินว่านหลี่พูดพลางหยิบตั๋วเงินสิบตำลึงใบหนึ่งออกมา
บนตั๋วเงินนั้นยังมีตราประทับไว้ว่า จวนจั้นอ๋อง อีกด้วย
นี่คือเงินที่จินว่านหลี่เก็บได้ตอนไปทำความสะอาดห้องเก็บของในจวนจั้นอ๋องเมื่อคราวก่อน
เมื่อคนอื่นๆ เห็นว่าบนตั๋วเงินใบนั้นมีคำว่าจวนจั้นอ๋องประทับอยู่ก็พากันเงียบปาก ไม่หัวเราะเยาะจินว่านหลี่อีกต่อไป
จินว่านหลี่กล่าวอย่างได้ใจว่า “เป็อย่างไร ครั้งนี้พวกเ้ายอมเชื่อข้าแล้วสินะ”
ในเวลาเดียวกันนี้ซูมู่เจ๋อกำลังก้มหน้าอยู่ เขาอยากจะกลับไปที่ห้องของตนโดยเร็ว แต่เมื่อได้ยินประโยคนี้ของจินว่านหลี่ ฝีเท้าของเขาก็หยุดชะงักและรอให้จินว่านหลี่พูดอะไรต่อไป
จินว่านหลี่กล่าว “ที่จริงแล้วชายาจั้นอ๋องหน้าตางดงามมาก เพียงแต่สองครั้งที่นางมาโรงพนัน ล้วนแปลงโฉมทั้งสิ้นด้วยไม่้าให้ทุกคนจดจำนางได้”
“เมื่อครู่ เดิมทีข้ายังไม่คิดจะบอกพวกเ้า แต่ดูพวกเ้าสิ แต่ละคนพ่นคำอะไรกันออกมา ข้าทนฟังไม่ไหวแล้ว”
“วันหน้าก่อนที่พวกเ้าจะเข้าใจเื่อะไรอย่างแจ่มแจ้ง ให้ดีก็ปิดปากเงียบไว้เสีย ไม่เช่นนั้น หากวาจาพวกนี้ลือไปถึงหูชายาจั้นอ๋องเข้า ถึงตอนนั้น ยามตาย พวกเ้าอาจยังไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าตัวเองตายได้อย่างไร”
เมื่อทุกคนได้ยินเช่นนี้ก็พากันพยักหน้ารับ
พวกเขาก็เป็แค่ผีพนัน ไม่กล้าไปล่วงเกินจั้นอ๋องและชายาจั้นอ๋องหรอก
อย่างน้อยๆ ก็ต้องเหลือศีรษะไว้เล่นพนันในโรงพนันว่านจินแห่งนี้ต่อไป
เมื่อซูมู่เจ๋อได้ยินจินว่านหลี่พูดว่าสองครั้งที่เยว่เฟิงเกอมาเล่นพนันที่นี่ นางล้วนแปลงโฉมมา เขาก็ขมวดคิ้วมุ่น
เขายังไม่เคยเห็นหน้าตาที่แท้จริงของเยว่เฟิงเกอ ตอนนี้ก็นับว่าอยากเห็นใบหน้าที่แท้จริงของนางขึ้นมาแล้ว
ขณะเดียวกันเมื่อเห็นว่าผีพนันพวกนี้ไม่ได้สนใจเขา ซูมู่เจ๋อก็อาศัยโอกาสนี้รีบร้อนกลับห้องของตนเองไป
วันนี้เขาเรียกได้ว่าขายหน้ายิ่งแล้ว ชายชาตรีอกสามศอกคนหนึ่งต้องมาคุกเข่าต่อหน้าแม่นางน้อยคนหนึ่ง ซ้ำยังเป็ต่อหน้าคนมากมายเพียงนี้อีก
เขาเคยแค่คุกเข่ากราบฟ้าดินกราบพ่อแม่ ไม่เคยคุกเข่าให้ใครอื่นมาก่อน
แต่ยามนี้ศักดิ์ศรีทั้งหมดของตนถูกคนเหยียบย่ำไม่มีชิ้นดี
นี่คือผลลัพธ์ที่เขาต้องแบกรับจากการลงพนันกับเยว่เฟิงเกอ และพ่ายแพ้ให้นางติดๆ กันหลายตา
เดิมเขายังคิดว่าวันนี้ตนต้องชนะแน่แล้ว แต่สุดท้ายกลับกลายเป็การตบหน้าตัวเองเข้าอย่างจัง
หากไม่ใช่ยามนี้ผีพนันพวกนั้นเอาแต่สนอกสนใจในตัวเยว่เฟิงเกอ ตอนที่เขาเดินกลับมาเมื่อครู่คงต้องถูกทุกคนหัวเราะเยาะเป็แน่
เมื่อคิดถึงว่าเมื่อครู่ตนเพิ่งะโเสียงดังว่าเยว่เฟิงเกอคือพี่ใหญ่แห่งโลกพนันตั้งสามครั้ง สีหน้าของซูมู่เจ๋อก็ดำคล้ำราวกับก้นกระทะทันที
คาดว่านับจากนี้ชีวิตในวงการพนันของเขาคงจะถึงจุดสิ้นสุดอย่างแท้จริงแล้ว
……………………………………………………………………………………………..
เมื่อเยว่เฟิงเกอกลับมาถึงจวนอ๋อง สิ่งแรกที่นางทำคือการรีบร้อนกลับเรือนเยว่เหยา
ภายในห้องส่วนตัว นางหยิบโทรศัพท์ออกมาเปิดวีแชท เพื่อบอกอย่าถามว่าข้าคือใครว่านางทำภารกิจสำเร็จแล้ว
อย่าถามว่าข้าคือใครตอบกลับมาอย่างรวดเร็วเช่นเคย “พระชายาทำได้ดีมาก ข้าจะนำซิมโทรศัพท์ไปไว้ในเถาเป่าทันที ท่านสามารถเข้าไปกดซื้อได้เลย”
ทันทีที่เยว่เฟิงเกอเปิดแอปเถาเป่า นางก็เห็นซิมโทรศัพท์อยู่ในนั้นจึงรีบกดซื้อ ฉับพลันนั้นซิมโทรศัพท์ก็มาปรากฏอยู่ตรงหน้านางอย่างรวดเร็ว
เยว่เฟิงเกอใส่ซิมเข้าไปในโทรศัพท์ และได้เห็นว่าสัญญาณขึ้นเต็มเปี่ยม แสดงว่าซิมโทรศัพท์ใบนี้ไม่มีปัญหา
นางรีบโทรหาพี่ใหญ่เป็คนแรก หลังฟังเสียงรอสายได้ไม่นาน ในที่สุดก็มีคนรับ
ใจที่ไม่สงบของเยว่เฟิงเกอสงบลงไม่น้อย
“ฮัลโหล ใครพูดสายครับ”
เสียงที่ดังลอดมาจากปลายสายไม่ใช่เสียงของพี่ใหญ่เยว่เฉินอวิ้น แต่เป็เสียงของชายอีกคนหนึ่ง
เยว่เฟิงเกอยังพอจะจำได้ว่าเป็เสียงของหวังจิ่ง ผู้ช่วยของพี่ใหญ่
บางทีพี่ใหญ่อาจจะติดประชุมอยู่จึงฝากโทรศัพท์ไว้ที่ผู้ช่วย
เยว่เฟิงเกอรีบแนะนำตัวเองทันที “คุณคือหวังจิ่งใช่ไหม ฉันคือน้องสาวของเยว่เฉินอวิ้น เยว่เฟิงเกอ”
เมื่อหวังจิ่งได้ยินชื่อเยว่เฟิงเกอ ในสมองของเขาพลันปรากฏภาพสาวน้อยหน้าตางดงามคนหนึ่ง
แน่นอนเขาเคยพบเยว่เฟิงเกอมาก่อน เมื่อก่อนเธอมักจะมาหาพี่ชายที่บริษัทบ่อยๆ เพียงแต่ตอนหลังไม่ได้แวะเวียนมาที่นี่นานแล้ว
เมื่อหวังจิ่งรู้ชัดแล้วว่าอีกฝ่ายคือเยว่เฟิงเกอ เสียงที่พูดออกมาจึงมีความเคารพมากขึ้นหลายส่วน เขากล่าวด้วยความระมัดระวังว่า “สวัสดีครับคุณหนูเยว่ คุณอยากจะเรียนสายท่านประธานเยว่ใช่ไหมครับ เขาไม่ได้เข้าบริษัทมานานแล้วครับ”
“อะไรนะ พี่ชายฉันไม่ได้ไปที่บริษัท? แต่นี่เป็เบอร์เขานี่ ทำไมโทรศัพท์เขาถึงมาอยู่ที่คุณได้? ” เมื่อเยว่เฟิงเกอได้ยินว่าพี่ใหญ่ไม่ได้เข้าบริษัทมาหลายวันแล้วก็เริ่มใจคอไม่ดี
คงไม่ได้เกิดเื่อะไรขึ้นกับพี่ชายของนางใช่ไหม?
หวังจิ่งอ้ำอึ้งอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายก็ถูกเยว่เฟิงเกอบีบคั้นให้พูดความจริงออกมา “คืออย่างนี้ครับคุณหนูเยว่ ประธานเยว่ไม่ได้เข้าบริษัทมานานหนึ่งเดือนแล้ว”
เมื่อพูดถึงตรงนี้หวังจิ่งก็สูดหายใจเข้าลึก กล่าวต่อไป “ผมไม่สามารถติดต่อเขาได้เลย ตอนนี้เื่ทั้งหมดในบริษัทเป็ผมและผู้จัดการทั่วไปที่รับมาจัดการแทนครับ”
“ตอนนี้พวกเราตามหาประธานเยว่ไม่พบ ก่อนหน้านี้ได้แจ้งความไปแล้ว แต่ทางตำรวจก็ยังเงียบกันอยู่”
“ส่วนมือถือของประธานเยว่นี้ มันตกอยู่ที่บริษัทตอนที่เขาเข้ามาที่บริษัทเป็ครั้งสุดท้าย”
“ผมเลยพกโทรศัพท์ของเขาติดตัวไว้ตลอด เพราะหวังว่าวันหนึ่งจะได้ข่าวคราวจากเขาบ้าง”
หวังจิ่งเล่าทั้งหมดออกมารวดเดียว ก่อนจะได้ยินความเงียบจากปลายสายเป็การตอบกลับ
“คุณหนูเยว่ ยังอยู่ไหมครับ? ” หวังจิ่งลองหยั่งเชิงถาม
เยว่เฟิงเกอได้ยินหวังจิ่งพูดว่าพี่ใหญ่ไม่ได้ไปทำงานมาเป็เดือนแล้ว คนที่บริษัทเองก็หาเขาไม่พบ แม้แต่ตำรวจก็ยังไร้หนทาง
นี่หมายความว่าอย่างไร หมายความว่าพี่ใหญ่ของนางหายตัวไปแล้ว
“เป็เช่นนี้ไปได้อย่างไร พวกคุณกำลังเล่นตลกกับฉันอยู่เหรอ? ” เยว่เฟิงเกอไม่เชื่อ เพราะเมื่อหนึ่งเดือนก่อนนางยังโทรศัพท์คุยกับพี่ใหญ่อยู่เลย
เพียงแต่ตอนนี้พอนางได้โอกาสติดต่อกลับไปอีกครั้ง กลับมาได้รับข่าวว่าพี่ใหญ่หายตัวไป
ตอนนี้คนอยู่ไม่เห็นเงา คนตายไม่เห็นศพ
หวังจิ่งกระแอมเบาๆ กล่าวขึ้นด้วยเสียงแหบแห้ง “คุณหนูเยว่ ผมเองก็อยากให้นี่เป็แค่เื่ตลกเื่หนึ่ง หวังว่าประธานเยว่จะแค่ล้อเล่นกับพวกเราแล้วรีบกลับมาในเร็ววัน แต่พวกเราคิดเช่นนี้มาเดือนกว่าแล้วครับ ประธานเยว่ก็ยังไม่กลับมา”
หวังจิ่งพูดถึงตรงนี้ก็ดวงตาแดงก่ำ เขาพูดต่อไปไม่ไหวอีกแล้ว
เขาทำงานกับเยว่เฉินอวิ้นมากว่าห้าปีแล้ว ดังนั้น ตัวเขาและเยว่เฉินอวิ้นจึงราวกับเป็ครอบครัวเดียวกัน
ตอนที่มารดาแท้ๆ ของเขาป่วยและเสียชีวิตไป ก็เป็เยว่เฉินอวิ้นที่เป็ธุระจัดการงานศพให้
บุญคุณนี้เขาจดจำไว้ในใจมาตลอด จึงทำงานเพื่อเยว่เฉินอวิ้นอย่างเต็มที่
แต่ตอนนี้ เยว่เฉินอวิ้นกลับหายตัวไป...
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้