หลังจากที่หว่านฉือแต่งหน้าอย่างตั้งใจเสร็จแล้ว ก็เปลี่ยนชุดใหม่เป็ให้งามพิเศษ ขึ้นนั่งรถม้า ไปที่วัง แต่นางกลับคิดไม่ถึงเลยว่า จะมิได้เจอหรงซิวแต่กลับเจอแขกที่มิได้รับเชิญ
ซูเมี่ยวเออร์ที่หายหน้าหายตาไปนาน กำลังนั่งยองๆ อยู่ต่อหน้าไทเฮา แล้วพูดกระไรบางอย่างอย่างออกรส
นางดูเปล่งปลั่ง พูดพลางทำไม้ทำมือ มองดูเปล่งประกายไปด้วยความสุข
หว่านฉือขมวดคิ้ว นางไม่ชอบซูเมี่ยวเออร์
ทั้งสองคนรู้จักกันมาั้แ่เล็ก นางโตกว่าซูเมี่ยวเออร์ ในตอนที่นางมีชื่อเสียงไปทั่วเมืองหลวงนั้น ซูเมี่ยวเออร์ยังเป็เพียงเด็กผมจุกอยู่เลย โลกของนางเต็มไปด้วยการเล่นดินเล่นทราย
ต่อมาเมื่อโตขึ้นเล็กน้อย น่าจะเป็เพราะว่ารู้ความแตกต่างระหว่างเพศแล้ว ซูเมี่ยวเออร์ก็ชอบมาพัวพันกับหรงซิว เดินตามก้นเขาเรียกถึงแต่ท่านพี่ซิวท่านพี่ซิวอยู่นั่น น่ารำคาญนัก
เดิมทีหว่านฉือมิได้คิดกระไรกับนาง แต่เป็เพราะว่าเื่หรงซิว เมื่อเห็นนางก็อยากจะว่าไปเสียทุกตรง
หากไม่ใช่เพราะว่านางป่วยหนักในภายหลัง คิดแต่จะหาวิธีเอาชีวิตรอดอย่างเดียว มิได้ใส่ใจชื่อเสียงจอมปลอมหรือสิ่งหรูหราภายนอกเลย มิฉะนั้น จะมีวันของซูเมี่ยวเออร์ได้อย่างไร
หว่านฉือแทบจะดูซูเมี่ยวเออร์โตมาทุกจังหวะชีวิต นางจึงรู้ชัดว่านางเป็คนอย่างไร ในเื่ที่นางได้ชื่อว่าเป็สตรีมากความสามารถที่มีชื่อเสียงของเมืองหลวง เพียงแค่ใช้หัวแม่เท้าคิด ก็รู้ว่านางใช้วิธีใดได้มา
มิมีพร์ความสามารถที่แท้จริง เป็เพียงพวกนอกรีต หลอกผู้อื่นได้ก็แล้วไป แต่คิดจะหลอกนางนั้นยังอีกยาวไกล
นางดูถูกซูเมี่ยวเออร์ จึงไม่อยากจะมีปฏิสัมพันธ์กับนางเป็ธรรมดา โดยเฉพาะในตอนที่รู้ว่าซูเมี่ยวเออร์พยายามจะอภิเษกกับหรงซิวในตอนที่นางออกจากเมืองหลวงไป ก็ยิ่งเกลียด
หว่านฉือคิดไปวุ่นวาย แล้วเท้าก็ก้าวเข้ามาถึงหน้าโถง
สตรีรับใช้เหลียนเหอที่อยู่ข้างๆ พูดเตือนเสียงเบา นางถึงได้สติกลับมา แล้วพยักหน้า บอกให้ขันทีว่ารายงาน
“พระชายาเจ็ดเสด็จพ่ะย่ะค่ะ!”
ขันทีคนนี้ฉลาดนัก คำพูดของเขาเปล่งออกมา ก็ทำให้หว่านฉือยิ้มแฉ่ง เดินบิดตัวเข้าไปในห้องโถง
ไทเฮามองไปทางนาง พูดว่า “เ้ามาได้อย่างไรกัน?”
หว่านฉือพูดยิ้มอย่างเขินอาย ตอบกลับว่า “ก็มาขอบพระทัยท่านย่าน่ะสิเพคะ”
นางหมายถึงเื่ที่ไล่อวิ๋นอี้ออกไป ทำให้นางได้มีเวลาพัฒนาความสัมพันธ์กับหรงซิว
ไทเฮาได้ยินก็เข้าใจในทันที เปลี่ยนอิริยาบถแล้วเอนหลังพิงเก้าอี้แล้วพูดสั่งสอนเบาๆ “ข้าช่วยเ้าได้เพียงขณะหนึ่งเท่านั้น ช่วยเ้ามิได้ตลอดหรอก ข้าให้โอกาสเ้าแล้ว จะจับไว้ได้หรือไม่ ก็ต้องดูความสามารถของเ้าแล้ว”
“เพคะ หว่านฉือทราบ”
“อย่าเป็เหมือนกับหญิงที่ไม่เอาไหนบางคน มีไพ่ดีอยู่กับมือ แต่ใช้ไม่เป็” ไทเฮาเหลือบมองซูเมี่ยวเออร์ พูดอย่างเหยียดหยาม
ซูเมี่ยวเออร์พึมพำอย่างอ้อนแอ้น กอดแขนของไทเฮาแล้วอ้อน “ท่านย่า เมี่ยวเออร์รู้แล้วเพคะว่าผิด อย่าหัวเราะเยาะข้าสิเพคะ”
“ไหนพูดสิว่าข้าให้โอกาสดีๆ กับเ้าไปแล้วกี่ครา?”
“เพคะ เพคะ” ซูเมี่ยวเออร์แนบหัวไปที่แขนของไทเฮา ใบหน้าเต็มไปด้วยการประจบประแจงอย่างออดอ้อน “เมี่ยวเออร์รู้ดีว่าตนเองโง่เอง ต่อไปข้าจะฉลาดกว่านี้ ให้เหมือนกับท่านพี่หว่านฉือ พอแล้วเพคะท่านย่า ท่านพี่ก็อยู่ที่นี่ ไว้หน้าเมี่ยวเออร์หน่อยนะเพคะ”
“ฮึ่ม!” ไทเฮามุ่ยปาก “เ้ายังรู้จักรักษาหน้ารึ!”
ซูเมี่ยวเออร์ปั้นหน้าทะเล้นแลบลิ้นออกมา จากนั้นนางก็ลุกขึ้น เดินไปที่ข้างหว่านฉือ แล้วค่อยๆ ดึงแขนนางเบาๆ ดันนางไปที่หน้าไทเฮา
“ท่านพี่หว่านฉือ ท่านมาได้เวลาพอดีเลยเพคะ มิฉะนั้นท่านย่าคงว่าข้าต่อแน่ๆ!” นางพนมมือทำท่าทีน่าสงสาร “ช่วยด้วยเพคะ กล่อมหญิงชราให้ข้าหน่อย!”
ซูเมี่ยวเออร์มิได้สวย ใบหน้ากลมใหญ่ๆ มีกระเล็กๆ กระจายอยู่เต็มใบหน้า ราวกับมีเมล็ดงาโรยอยู่บนขนมปังปิ้งอย่างไรเช่นนั้น แต่ท่าทางที่นางตั้งใจทำ กลับมีความน่ารักชวนให้เอ็นดูเล็กน้อย
อยู่เบื้องหน้าไทเฮา หว่านฉือรู้ขอบเขต จึงยิ้มอย่างสวยงาม พูดอย่างอ่อนโยน “ไม่เจอกันนาน น้องเมี่ยวเออร์ยังร่าเริงน่ารักเหมือนเคย”
“นางน่ะไร้สมอง!” ไทเฮาไม่เห็นด้วยกับคำชมของนาง
“ไอหยา!ท่านย่า!” ซูเมี่ยวเออร์กระทืบเท้า พูดด้วยท่าทีน้อยใจเป็ที่สุด
ชั่วขณะหนึ่ง คนแก่คนเด็กประชันฝีปากกันบ้าง ในวังก็ดูมีชีวิตชีวาขึ้น
ในขณะที่มีผู้อื่นอยู่ด้วย หว่านฉือไม่อยากพูดเื่ของนางกับหรงซิว จึงทำได้เพียงยิ้มประกอบบรรยากาศไป พูดขึ้นมาบ้างเป็บางครา ทั้งสามคนก็รู้สึกสบายใจมีความสุข
ไทเฮาชรามากแล้ว ไม่นานนักนางก็รู้สึกเหนื่อย ไม่ค่อยจะได้สติ ขันทีข้างกายได้เห็นก็ขึ้นมาพูดกับทั้งสองคน “พระชายาพ่ะย่ะค่ะ คุณหนูซู ไทเฮาต้องพักผ่อนแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
หว่านฉือกับซูเมี่ยวเออร์มองหน้ากัน ทั้งสองต่างพากันยิ้มหวาน โค้งตัวคำนับแล้วพูด “ท่านย่าโปรดสเด็จเพคะ”
ไทเฮาเดินออกไปอยู่เบื้องหน้า สีหน้าของทั้งสองคนก็เปลี่ยนไปทันใด
มิมีผู้ใดอยู่ดูละครแล้ว พวกนางก็ไม่จำเป็จะต้องแสดงอีกต่อไป
ทั้งสองคนมิมีผู้ใดสนใจผู้ใด แล้วเดินออกไปข้างนอกพร้อมกัน เออไปจากวังอย่างเงียบๆ จนถึงสวนด้านหลัง หว่านฉือก็เดินอยู่ด้านหน้า ซูเมี่ยวเออร์อยู่ด้านหลัง
เป็เวลาพลบค่ำพอดี รัศมีสีเหลืองอบอุ่นลดระดับลงครึ่งฟ้า มีเมฆหลากสีสันลอยอยู่ บ้างก็มีห่านป่าบินผ่านไป แต่บนท้องฟ้าอันกว้างใหญ่นั้น เป็เพียงภาพที่เห็นแค่ชั่วพริบตา
หลังจากความร้อนในฤดูร้อนระเหยไป ความเย็นก็ออกมาจากร่องรอยแตกต่างๆ ลมที่ไร้ที่มาก็พัดเข้ามา ผสมกับกลิ่นธุลีและต้นไม้
หว่านฉือเงยหน้ามองท้องฟ้า เมฆสดใสค่อยๆ หายไป และเมฆดำจากไกลๆ ก็ค่อยๆ ลอยเข้ามาทับซ้อนกัน
ฝนจะตกแล้ว
นางอยากได้หรงซิว จึงอดมิได้ที่จะกังวลแล้วเร่งฝีเท้า
ในตอนนั้นเองเสียงของซูเมี่ยวเออร์ก็ดังมาจากด้านหลัง นางพูดนิ่งๆ “ท่านพี่หว่านฉือ เมี่ยวเออร์มีเื่จะพูดกับท่านเพคะ ท่านจะเดินเร็วเช่นนั้นทำไม?”
หว่านฉือไม่อยากจะสนใจนาง ในความคิดของนางซูเมี่ยวเออร์เป็เพียงคนโง่ นางมิมีกระไรจะพูดกับคนโง่ จึงแสร้งทำเป็มิได้ยิน รีบก้าวเท้าเดินไปด้านหน้า
“ท่านพี่เดินเร็วเช่นนั้น รีบไปหาท่านพี่ซิวหรือเพคะ?” ซูเมี่ยวเออร์ไม่ลดละ นางตามเข้าไป พูดข้างหูนาง “ท่านพี่ซิวอยู่ห้องทรงอักษรเพคะ กำลังมีเื่พูดกับองค์ฮ่องเต้ เกรงว่าเขายังคงไม่ออกมาอีกนานเลยเพคะ หากท่านพี่จะไปรอ อยู่กับน้องดีกว่า ฟังน้องพูดหน่อยนะเพคะ?”
หว่านฉือหันหน้ามามองนาง “เ้ามีเื่กระไร?”
“มิมีนี่เพคะ” นางยิ้มแป้น “ท่านพี่อภิเษกกับท่านพี่ซิวแล้ว ข้าจึงมาอวยพรเป็การพิเศษ งานอภิเษกของท่านก่อนหน้านี้ เมี่ยวเออร์ก็ไปร่วมด้วยนะเพคะ วันนั้นท่านพี่งดงามมากเลยเชียว! ไม่แปลกใจเลยที่ผู้คนล้วนพูดว่าเป็หญิงงามมากความสามารถที่เห็นได้กว่าร้อยปีคราหนึ่ง โดยเฉพาะชุดอภิเษกนั่น สตรีสาวอย่างข้า ยังต้องหลงจนละสายตามิได้เลยเพคะ!”
“เ้า้าจะพูดกระไรกันแน่?” หว่านฉือขมวดคิ้วอย่างไร้ความอดทน นางมองนาง พูดด้วยน้ำเสียงเ็า “พูดมาตรงๆ เถิด อย่าอ้อมค้อมอยู่เลย”
“อู้...” ซูเมี่ยวเออร์กะพริบตาโตๆ ของนาง “เพียงแค่อยากจะถามท่านพี่ว่า อภิเษกกับท่านพี่ซิว มีความสุขหรือไม่เพคะ?”
ต่อให้หว่านฉือจะฉลาดเพียงใด ก็เดาไม่ออกว่าซูเมี่ยวเออร์กำลังคิดกระไรอยู่ในขณะนี้ นางเหลือบมองนางด้วยความระแวดระวังเล็กน้อย แล้วพูดช้าๆ "มันเกี่ยวกระไรกับเ้า!"
"ดูท่าทีของท่านพี่แล้ว ดูเหมือนจะไม่ค่อยมีความสุขสินะเพคะ" ถึงแม้ว่าหว่านฉือจะมิได้พูดให้ชัดเจน แต่ซูเมี่ยวเออร์ก็ราวกับจะอ่านใจคนออกอย่างไรเช่นนั้น นางเอามือทั้งสองชันคาง เดินไปรอบๆ นาง “เมี่ยวเออร์มีเื่ที่อยากจะพูด ไม่รู้ว่าควรจะพูดไปดีหรือไม่ หากไม่พูดก็แทบจะอดไว้ไม่ไหว หากพูดไปก็เกรงว่าท่านพี่จะโกรธ แต่พูดได้เลยนะเพคะ ว่าเมี่ยวเออร์หวังดี อยากจะเตือนท่านพี่จริงๆ”
“หยุดพูดไร้สาระได้แล้ว !” หว่านฉือพูดอย่างไม่พอใจ นางเกลียดที่สุดก็คือการทำตัวเป็มารเช่นนี้ ทั้งยังซูเมี่ยวเออร์ก็ชอบที่จะอุบเื่ไว้เช่นนี้ด้วย
“โอ้ๆๆ ท่านพี่อย่าโกรธสิเพคะ!” ซูเมี่ยวเออร์เอามือปิดปากด้วยสีหน้าใ แล้วพูดอย่างแปลกใจว่า “โกรธทำไมเพคะ ท่านพี่จะต้องฝึกความอดทนนะเพคะ มิเช่นนั้นหากวันใดท่านพี่ซิวเจอใบหน้าที่แท้จริงของท่านเข้าจะทำอย่างไร?”
"นี่ไม่ใช่เื่ที่เ้าจะต้องกังวล ความสัมพันธ์ระหว่างสามีภรรยาของเราจะเป็อย่างไร ข้าจัดการเองได้"
"ท่านพี่พูดเช่นนี้..." ซูเมี่ยวเออร์กัดฟันเล็กน้อย พูดแทงใจดำนาง "ท่านพี่คงไม่คิดว่า ท่านพี่ซิวจะยังชอบท่านได้อยู่อีกหรือเพคะ?"