หลังจบมื้ออาหารทุกคนก็นั่งสนทนากันอยู่ในห้องโถงใหญ่เกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นใน่สองสามวันที่ผ่านมา
เมื่อกู้เจิงได้ยินว่าน้องรองกู้เจิ้งชินได้เป็สหายร่วมเรียนขององค์ชายสิบสองแล้ว จึงกล่าวอย่างยินดีว่า “ยินดีกับน้องรองด้วย”
“ขอบคุณขอรับพี่ใหญ่” กู้เจิ้งชินยามนี้ใบหน้าของเขาไม่ได้ปิดบังความดีใจในใจ “ต้องขอบคุณเซี่ยกงเจวี๋ยน้อยจริงๆ ตอนนี้ข้าได้กลายเป็สหายร่วมเรียนขององค์ชายสิบสองแล้ว วันหน้าจะต้องตอบแทนเขาอย่างดีแน่”
“ใช่ ควรขอบคุณเขาให้มาก ครั้งก่อนข้าได้พบเซี่ยกงเจวี๋ยน้อย ดูท่าทางเขาสุภาพเรียบร้อยมาก” บุตรชายของเขาดูท่าจะได้มีอนาคตที่ดี กู้หงหย่งจึงเบาใจลงมาก “นี่สิเรียกว่าคนใกล้ชาดติดสีแดง* เจิ้งชินควรจะอยู่กับคนเก่งๆ โดดเด่นให้มาก วันหน้าจะได้มีอนาคตอันสดใส”
(*คนที่อยู่ในสิ่งแวดล้อมแบบไหน หรือใกล้กับอะไร ก็จะติดนิสัยหรือสิ่งนั้นมาด้วย)
“ท่านพ่อพูดถูกขอรับ” กู้เจิ้งชินลุกขึ้นและโค้งคำนับบิดา
“วันหน้าคุณชายรองของเราจะต้องมีอนาคตที่ยิ่งใหญ่รออยู่แน่นอนเ้าค่ะ” น้ำเสียงของหวังซู่เหนียง ไม่ว่าจะฟังอย่างไรก็ดูไม่เข้ากันกับบรรยากาศเอาเสียเลย “คุณชายรองต้องสานสัมพันธ์กับองค์ชายสิบสองและเซี่ยกงเจวี๋ยน้อยไว้ พวกเราไม่ต้องกลัวขายหน้าหรอกเ้าค่ะ”
กู้เหยาพยักหน้าเห็นด้วย
นายหญิงเว่ยซื่อมองหวังซู่เหนียงแวบหนึ่ง เมื่อก่อนน้ำเสียงประจบประแจงนี้นางฟังแล้วรู้สึกไม่ชอบใจนัก ยิ่งไม่ต้องพูดถึงถ้อยคำไม่น่าฟังเช่นนี้ ทว่าตอนนี้ฟังแล้วกลับรื่นหูยิ่งนัก นางมองบุตรชายพลางกล่าวว่า “ถึงหวังซู่เหนียงจะพูดตรงไป แต่ก็มีเหตุผลอยู่บ้าง การสานสัมพันธ์ครั้งนี้เ้าต้องเรียนรู้จากท่านอ๋องกับพี่เขยใหญ่ให้ดี”
“ขอรับ” กู้เจิ้งชินพยักหน้าอย่างเชื่อฟัง
“พวกเ้าอย่าได้หลงกลเ้าเด็กตระกูลเซี่ยกับองค์ชายสิบสองเลย สองคนนั้นสร้างปัญหาส่วนตัวไว้มากมาย” จ้าวหยวนเช่อยิ้มพลางเอ่ย “เจิ้งชินมีนิสัยสุขุมเยือกเย็น หลังจากเข้าวังไปก็หวังเพียงว่าเ้าเด็กสองคนนั้นจะสามารถเรียนรู้ความสุขุมเยือกเย็นของเจิ้งชินได้ไม่มากก็น้อย”ก่อนหน้านี้เขาเคยบอกเสด็จพ่อมาก่อน แต่ด้วยฐานะของเขาทำให้ไม่สะดวกที่จะพูดอะไรได้มากนัก
ทั้งครอบครัวต่างยิ้มแย้มให้กัน กู้เจิงกับเสิ่นเยี่ยนเองก็มองหน้ากันยิ้มๆ
หลังจากพูดคุยกันอยู่สักพัก เหล่าบุรุษก็แยกไปที่ห้องหนังสือเพื่อเขียนอักษร กู้หงหย่งชอบเขียนอักษรและรวบรวมสะสมหนังสือ ปีนี้เขาพบหนังสือดีๆ มากมาย ดังนั้นจึงเขาพาทุกคนไปชื่นชม
พอเหล่าบุรุษจากไป นายหญิงเว่ยซื่อเห็นทุกคนต่างยิ้มแย้มก็ถอนหายใจ “ตอนนั้นเหยาเอ๋อร์ก็เป็ที่หมายตาจากในวัง ้าจะให้ไปเป็สหายร่วมเรียนกับองค์หญิงสิบเอ็ด ถ้าตอนนั้นได้ไปก็คงจะดี”
กู้เหยาเบะปาก “ข้าไม่ได้อยากเป็สหายร่วมเรียนกับองค์หญิงสิบเอ็ดเสียหน่อย นางนิสัยไม่ดี”
“พูดราวกับว่าเ้านิสัยดีอย่างนั้นล่ะ” นายหญิงเว่ยซื่อตอกกลับอย่างเอ็นดู
“นั่นมันไม่เหมือนกันเ้าค่ะ” หวังซู่เหนียงช่วยเสริมว่า “คุณหนูสี่ของเราแค่มีนิสัยตรงไปตรงมา”
“ก็ใช่” กู้เจิงพยักหน้า
เว่ยซื่อส่ายหน้า ไม่พูดอะไรอีก นิสัยของบุตรสาวคนเล็กไม่อาจดัดอะไรได้แล้ว ไม่รู้ว่าเหมือนใคร เห็นกู้เจิงทำหน้าครุ่นคิดจึงเอ่ยขึ้นว่า “เจิงเอ๋อร์ เ้าคิดอะไรอยู่หรือ?”
“ท่านแม่ ในเมื่อน้องสี่เคยถูกทางราชวงศ์หมายตาให้ไปเป็สหายร่วมเรียนกับองค์หญิงสิบเอ็ด แต่ผลกลับกลายเป็คนอื่น” กู้เจิงคาดเดา “นี่อาจมีความเข้าใจผิดอะไรหรือเปล่าเ้าคะ? ลูกรู้สึกว่าองค์หญิงสิบเอ็ดก็มีนิสัยคล้ายกับกู้เหยามาก น่าจะได้คุยกับน้องสี่แล้วสนิทกันได้”
พอกู้เจิงพูดเช่นนี้ เว่ยซื่อก็อดสงสัยไม่ได้
“มีอะไรน่าคุยกัน” กู้เหยาไม่สนใจ “ข้าไม่อยากเข้าวังสักนิดเ้าค่ะ”
“แต่นี่มันดีสำหรับเ้า” หลังจากที่กู้อิ๋งกลายเป็พระชายาตวน สิ่งที่ััได้มากที่สุดก็คือทัศนคติของทุกคนที่มีต่อนางเปลี่ยนไป แค่เพียงนางนั่งอยู่เฉยๆ ผู้คนต่างก็เคารพและยำเกรงแล้ว
“ไม่เห็นว่าจะมีดีอะไร มีแต่ต้องโมโหทุกวันสิไม่ว่า”
กู้อิ๋งจิ้มหน้าผากน้องสาว เมื่อไหร่จะโตได้เสียที
“เจิงเอ๋อร์ เ้าแต่งเข้าตระกูลเสิ่นมาระยะหนึ่งแล้ว ก็สมควรจะมีบุตรได้แล้ว” เว่ยซื่อมองท้องของกู้เจิง
“หรือจะให้ข้าไปหายาบำรุงมาให้เ้าสักสองสามชุด รับรองว่าไม่นานเ้าต้องท้องแน่” เมื่อพูดถึงเื่การตั้งครรภ์ของบุตรสาว หวังซู่เหนียงก็กระตือรือร้นขึ้นมา
ไยถึงมาคุยกันเื่มีบุตรเสียได้ กู้เจิงมองเว่ยซื่ออย่างเขินอายเล็กน้อย “ที่จริงปีนี้ข้าก็มีแผนว่าจะมีบุตรเ้าค่ะ สามีข้าบอกว่าการที่สตรีจะมีบุตรไม่ใช่เื่ง่าย” นางมองไปที่ซู่เหนียงแล้วกล่าวว่า “รอสิ้นปีถ้ายังไม่ท้อง ซู่เหนียงค่อยช่วยข้าหายาแล้วกัน”
“ได้สิๆ” หวังซู่เหนียงพยักหน้าด้วยความยินดี
“บุตรเขยใหญ่เอาใจใส่เ้าเช่นนี้ ถือเป็เื่ดี” เว่ยซื่อยิ้มก่อนจะหันไปมองกู้อิ๋ง “อิ๋งเอ๋อร์ เ้าเองก็ต้องพยายามให้มากด้วยนะ”
ในเื่แบบนี้กู้อิ๋งไม่ได้กล้าพูดเท่ากู้เจิง นางหน้าแดงระเรื่อ “ลูกทราบแล้วเ้าค่ะ” ที่จริงแล้วในแต่ละเดือนท่านอ๋องไม่ได้อยู่ในห้องของนางมากนัก ส่วนใหญ่ท่านอ๋องจะทำงานอยู่ในห้องหนังสือ ในฐานะสตรี นางเองก็ไม่อยากแสดงออกให้เห็นมากนัก
“น้องสาม เื่ฟู่ผิงเซียง พระสนมซูทรงว่าอะไรหรือไม่?” กู้เจิงเห็นว่าคุยเล่นกันจนพอสมควรแล้ว จึงวกมาพูดถึงหัวข้อหลักบ้าง
ตามคาด พอพูดถึงฟู่ผิงเซียง สีหน้าของทุกคนก็ดูไม่ค่อยดีนัก
หวังซู่เหนียงเอ่ยเสียงหยัน “ตายก็ดีแล้ว”
“นายหญิงตระกูลฟู่เอาแต่ก่อเื่ขึ้นที่ตำหนักเจียวฝางมาหลายวัน แม้แต่ฝ่าาก็ยังทรงใเลยเ้าค่ะ” กู้อิ๋งสีหน้าเคร่งขรึม
“ตระกูลฟู่มีแม่ทัพเยี่ยนคอยหนุนหลัง เื่เช่นนี้ ฝ่าาน่าจะทราบนานแล้วไม่ใช่หรือเ้าคะ?” กู้เหยาถามกลับอย่างแปลกใจ
กู้อิ๋งไม่ได้พูดอะไรต่อ มีน้องสาวกับหวังซู่เหนียงนั่งอยู่ด้วย สองคนนี้เก็บคำพูดไม่ได้ ต่อไปหากเื่นี้หลุดปากไปพูดกับคนข้างนอก ก็จะกลายเป็เื่ใหญ่ได้
“เหยาเอ๋อร์ ครั้งก่อนเ้าซื้อผ้าไหมผืนใหม่มา บอกว่าอยากจะให้พี่ใหญ่ปักถุงเงินใบใหม่ให้เ้าไม่ใช่หรือ? ข้าเก็บไว้ในตู้ เ้าไปหยิบมาให้เจิงเอ๋อร์สิ จะได้ไม่ลืม” เว่ยซื่อยิ้มพลางพูดกับบุตรสาวคนเล็ก แล้วหันไปทางหวังซู่เหนียง “เด็กคนนี้หาของไม่เคยเจอ หวังซู่เหนียงเ้าไปช่วยนางหาหน่อยเถอะ”
หวังซู่เหนียงไม่พอใจ เว่ยซื่อผู้นี้ ทุกครั้งที่จะพูดเื่สำคัญอะไรก็จะสั่งให้นางออกไปแบบนี้ตลอด แต่นี่มันเกี่ยวข้องกับบุตรสาวของนาง แล้วนางจะฟังไม่ได้หรือ?
เว่ยซื่อเข้าใจสิ่งที่หวังซู่เหนียงคิดจึงยิ้มบางๆ “ครั้งก่อนตอนที่ซื้อผ้าไหมข้ายังได้ซื้อปิ่นทองมาด้วย สวยมากทีเดียว อยู่ในช่องที่สองของชั้นแต่งหน้า เ้าสวมบนศีรษะแล้วต้องสวยแน่”
“ข้าน้อยจะไปช่วยคุณหนูสี่หาเดี๋ยวนี้เ้าค่ะ” หวังซุ่เหนียงยิ้มกว้าง ก่อนจะดึงกู้เหยาแล้วเดินจากไป
กู้เจิง “...”นิสัยนี้ของซู่เหนียงแก้ไม่ได้จริงๆ
เว่ยซื่อเห็นกู้เจิงไม่สบายใจก็ยิ้มน้อยๆ “ซู่เหนียงของเ้าชอบอยากได้ของเล็กๆ น้อยๆ หากข้าให้ของใหญ่กว่านี้ นางจะไม่กล้าเอา แม้นางจะทำเื่สำคัญไม่ได้ แต่นางมีจิตใจที่ดี ฟู่ผิงเซียงนั่นต่างหากที่ชั่วถึงกระดูก”
“ขอบคุณท่านแม่ที่ไม่ถือสากับซู่เหนียงเ้าค่ะ” กู้เจิงลุกขึ้นคำนับ นางรู้สึกซาบซึ้งใจจริงๆ
กู้อิ๋งจึงได้พูดต่อ “ในคืนที่พี่ใหญ่กับน้องสี่ และคุณหนูสกุลหนิงถูกช่วยชีวิตไว้ ฮองเฮาก็ได้ส่งคนไปสอบถามคุณหนูสกุลหนิงเ้าค่ะ คุณหนูสกุลหนิงบอกว่า ฟู่ผิงเซียงได้บอกว่ามีความเกี่ยวข้องกับองค์ชายสาม ฮองเฮาจึงให้ข้ามาถามน้องสี่ น้องสี่ก็ยืนยันแล้ว ในราชสำนักองค์ชายสามและองค์รัชทายาทต่างก็เป็ปฏิปักษ์กันมาโดยตลอด เมื่อไม่กี่เดือนก่อน ฝ่าาได้ตรัสชมเชยองค์ชายสามว่าองค์ชายสามมีความเห็นอกเห็นใจต่อราษฎร หากตอนนี้เราพุ่งเป้าไปที่องค์ชายสาม ฮองเฮากลัวว่าฝ่าาจะทรงคิดว่าองค์รัชทายาทจงใจจะกำจัดองค์ชายสามเสี่ยนอ๋องเ้าค่ะ”
กู้เจิงพยักหน้า นางไม่เข้าใจเื่การแก่งแย่งชิงดีในราชสำนัก แต่กู้อิงพูดเช่นนี้นางก็พอเข้าใจจุดประสงค์
“ปัญหาระหว่างองค์ชายด้วยกัน ฝ่าาล้วนลืมตาข้างปิดตาข้าง ขอเพียงไม่ก่อเื่ขึ้นในราชสำนัก ฝ่าาก็จะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยว เพียงแต่เื่ภายในของวังหลังฮองเฮาทรงตัดสินใจได้เพียงคนเดียว” กู้อิ๋งกล่าว “อย่างไรเสีย แม้แต่แม่ทัพเยี่ยนผู้นั้นก็ไม่ได้พูดอะไร”
“แล้วยังไงต่อ?”
“ดังนั้น ฝ่าาจึงทำเหมือนว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น การตายของฟู่ผิงเซียงคือการตายโดยอุบัติเหตุ”
กู้เจิงตะลังงัน
“เื่การไม่ได้รับความเป็ธรรมนี้มีแต่ต้องรับไว้เท่านั้น” เว่ยซื่อถอนหายใจ เื่นี้อิ๋งเอ๋อร์เคยบอกนางไว้ก่อนแล้ว แม้จะรู้สึกไม่ได้รับความเป็ธรรมแต่คนในราชสำนักตัดสินใจเช่นนี้ แล้วพวกนางจะทำอะไรได้?
องค์ชายสามผู้นี้ช่างน่ารังเกียจและไร้ยางอายจริงๆ เขาใช้ประโยชน์จากความสัมพันธ์ระหว่างพระชายาของตนและฟู่ผิงเซียง ขณะเดียวกันก็หลอกใช้ฟู่ผิงเซียงลงมือกับคนที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับองค์รัชทายาท แม้แต่การตายของฟู่ผิงเซียงก็ไม่เกี่ยวกับเขา เพราะถือว่านางตกลงไปในหลุมดักสัตว์จนตาย เป็อุบัติเหตุที่เกิดขึ้นเอง
“พี่ใหญ่?” กู้อิ๋งเห็นสีหน้าของพี่ใหญ่ไม่ค่อยดีนัก
“อยากจะสาดมูลสัตว์ใส่ประตูจวนเสี่ยนอ๋องเสียจริง” กู้เจิงกัดฟันพูด
เว่ยซื่อ “...”
กู้อิ๋ง “...”
เสียงหัวเราะดังกึกก้องราวกับระฆังดังแว่วมา “ฮ่าๆๆ ยากตรงไหนกัน? แค่ส่งมอบหน้าที่ให้ชายชราคนนี้ก็พอ” ชายชราที่เต็มเปี่ยมไปด้วยพลังและสวมชุดสำหรับต่อสู้เดินเข้ามา
“ท่านพ่อ?” เว่ยซื่อเห็นบิดาก็รีบลุกขึ้น
“ท่านตา?”กู้อิ๋งกับกู้เจิงทำความเคารพ
“ท่านพ่อ ท่านจะไปทะเลาะวิวาทกับใครอีกแล้วหรือเ้าคะ?” เว่ยซื่อเห็นบิดาก็ปวดหัวไม่น้อย