“…เป็ข้า”
สองคนที่อยู่ภายในเกวียนและนอกเกวียน มองสบสายตากัน
เซียวจวิ้นคิดไม่ถึงว่าจะได้พบกับหลัวจิ่งในสถานการณ์เช่นนี้
บิดาของเขามีข่าวที่แม่นยำเชื่อถือได้ว่า ไม่กี่ปีมานี้เขาอยู่ในกองกำลังขององค์ชายสี่กับหลัวรุ่ยผู้เป็พี่ชายใหญ่ของเขามาตลอด ผ่านการสู้รบน้อยใหญ่มามากมาย ตำแหน่งเลื่อนขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง ขณะนี้น่าจะอยู่ในตำแหน่งหลางเจียงขั้นสี่
แต่ยามนี้ไม่ใช่ว่าเขาควรอยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือหรือ? ต่อให้ชาวตาตาร์และหว่าชื่อจะถอนทัพออกไปเป็การชั่วคราว เขาก็ไม่มีทางจะมาปรากฏอยู่ที่นี่กระมัง? ที่นี่ห่างจากเมืองหลวงใกล้แค่นี้เอง อิทธิพลขององค์ไท่จื่อไม่ใช่จะจัดการง่ายเลย
“เหตุใดเ้าถึงอยู่ที่นี่ เป็เ้าที่ช่วยชีวิตพวกข้าหรือ?”
ท่าทางของหลัวจิ่งไม่เหมือนในเมื่อก่อนสักเท่าไร เดิมนิสัยร่าเริงไม่สงบนิ่ง บนใบหน้าส่วนมากมักยิ้มแย้มซุกซน แต่พอผ่านเหตุการณ์กระทบกระเทือนที่ยิ่งใหญ่ครั้งนั้นมา บุคลิกลักษณะทั่วกายของเขาได้เปลี่ยนไปจนสงบเยือกเย็นและลุ่มลึกยิ่งนัก
ใช่แล้ว สกุลหลัวประสบเข้ากับความน่าเวทนาชีวิตขมขื่นเช่นนั้น คนย่อมต้องเปลี่ยนไปอย่างแน่นอน หากไม่ใช่ว่าเซียวจวิ้นรู้จักเขามาั้แ่เด็ก ก็ยังไม่แน่ว่าจะจำเขาได้หรือไม่จริงๆ
“ข้ามาคุ้มกันพวกเขาเข้าเมืองหลวง เป็เขาพบพวกเ้า” หลัวจิ่งคว้าผิงอันที่ชะโงกศีรษะมาด้อมๆ มองๆ เข้ามาอยู่ด้านข้าง
ผิงอันฉีกยิ้มขึ้น “แหะๆ”
เซียวจวิ้นอยากขยับลงจากเกวียนไปยืนด้านล่าง ทว่าสีหน้าของเขาเปลี่ยนไปทันที
“เ้าอย่าขยับสุ่มสี่สุ่มห้า เท้าเ้าแพลง ตอนนี้บวมยิ่งนัก จำเป็ต้องพักฟื้นสักระยะ” หลัวจิ่งทำการห้ามเขาไว้
เซียวจวิ้นข่มความเ็ป คำนับขอบคุณ “ข้านามว่าเซียวจวิ้น ขอบพระคุณอย่างยิ่งสำหรับการช่วยชีวิตจากน้องชาย”
ผิงอันโบกไม้โบกมือ ส่ายหน้าปฏิเสธ “ไม่ใช่ข้าเลย เป็พี่ชายยู่เซิงพาคนไปจัดการคนชุดดำเ่าั้ต่างหาก”
เซียวจวิ้นยิ้มเล็กน้อย “น้องชายช่วยข้าให้รอดพ้นจากสถานการณ์อันตราย เป็ผู้มีพระคุณของเซียวจวิ้นด้วยเช่นกัน”
ผิงอันได้ยินดังนั้นจึงไม่ได้ปฏิเสธอีก เพียงเกาศีรษะมองไปทางหลัวจิ่งพร้อมเสียงหัวเราะ
หลัวจิ่งยิ้มให้เขา และแนะนำสองพี่น้องหญิงชายจากสกุลหูให้เขารู้จัก
ตามมารยาทที่หลี่ซื่อสอนเจินจูมา นางจึงทำความเคารพเขาไปหนึ่งที
หญิงสาวยืนอยู่ข้างกายหลัวจิ่ง ร่างเพรียวบางอรชรสูงโปร่ง กิริยาท่าทางงดงามและสุภาพ ดวงตาสีดำหนึ่งคู่ราวกับมีความเปล่งประกายระยิบระยับของดวงดาวอยู่
สายตาของเซียวจวิ้นหยุดอยู่บนใบหน้าของนางครู่หนึ่ง
...เมื่อคืนวานพวกเขาไปหาท่านหมอในเมืองบริเวณใกล้เคียงมา นอกจากความเจ็บป่วยที่เก็บสะสมมานานนับหลายปีของเซียวจวิ้นแล้ว ข้อเท้าด้านซ้ายแพลงอย่างรุนแรง บนกายพานเชียนซานมีแผลบริเวณภายนอกหลายแห่ง ต้าฉุยาเ็หนักที่สุด าแทั้งร่างกายมากมายนับไม่ถ้วน ส่วนที่หนักที่สุดคือหน้าอกถูกฟันเป็แผลใหญ่หนึ่งรอย เสียเือย่างรุนแรง อีกนิดอาจเกือบเอาชีวิตไม่รอดอยู่แล้ว ขณะนี้ยังสลบไสลไม่ได้สติอยู่เลย
ขณะที่หลัวจิ่งนำคนเข้าไปช่วยเหลือ ต้าฉุยกำลังต่อสู้กับคนชุดดำอย่างสุดกำลังราวกับไม่คิดถึงชีวิตของตัวเอง จัดการคนชุดดำไปได้สามถึงสี่คนอย่างรวดเร็ว รวมกับพานเชียนซานช่วยเหลืออยู่ด้านข้าง คนชุดดำหนึ่งกลุ่มจึงไม่ได้เหนือกว่าสักเท่าไร
จนกระทั่งหลัวจิ่งและหลัวสือซานเข้าไปผสมโรงด้วย สถานการณ์จึงเปลี่ยนไปในชั่วพริบตา คนชุดดำตั้งรับอยู่ได้ไม่ถึงหนึ่งเค่อก็ถูกกวาดล้างไปหมดราบคาบ พานเชียนซานคิดจะเหลือสองคนไว้เป็พยานปากสำคัญ ทว่าพวกเขากลับชิงกินยาพิษฆ่าตัวตายไปก่อนเสียนี่
มีผู้คุ้มกันสามคนที่ถูกคนชุดดำฟันาเ็ แต่ไม่ได้รุนแรงเกินไปนัก หลังพันแผลไว้ก็สามารถเดินทางต่อไปได้
เพราะเป็กังวลว่าต่อจากนี้จะมีนักฆ่าปรากฏขึ้นมาใหม่อีกรอบ หลังพานเชียนซานหารือกับหลัวจิ่งแล้ว จึงตัดสินใจพาผู้ได้รับาเ็ไม่กี่คนนี้ออกเดินทางไปด้วย
ความปลอดภัยของคุณชายซื่อจื่อนั้นสำคัญยิ่ง การาเ็ของต้าฉุยทำได้เพียงจัดไว้ทีหลัง
บนรถม้ามีเบาะรองที่บุด้วยผ้านวมหนาสามชั้น หลังจากต้าฉุยกรอกสมุนไพรต้มลงไปแล้วก็ถูกห่อจนกลายเป็มู่หน่ายอี [1] และถูกหามขึ้นเกวียนม้าไปด้วยความระมัดระวัง ความเร็วของเกวียนเดินทางไปอย่างเอื่อยเฉื่อย ไม่กล้าวิ่งเร็วจนเกินไป แม้จะเดินทางเช่นนี้แล้วแต่าแของต้าฉุยก็ยังคงมีเืไหลออกมาชุ่มเช่นเดิม
ยามนี้จวนจะเป็เวลาเที่ยงตรง เนื่องด้วยความเร็วของเกวียนเดินทางมาอย่างเชื่องช้า ข้างหน้าไม่ติดกับหมู่บ้าน ข้างหลังไม่ติดกับโรงเตี๊ยม [2] ขบวนรถม้าหาพื้นที่ราบเรียบโล่งกว้างและใกลู้เาแห่งหนึ่ง เริ่มก่อไฟหุงหาอาหาร และทำการต้มยาสมุนไพรให้ผู้าเ็แต่ละคน
พานเชียนซานเองก็เป็หมอท่านหนึ่ง เขาาเ็ไม่น้อย แต่ยังคงลงมือต้มสมุนไพรให้เซียวจวิ้นและต้าฉุยด้วยตัวเอง หลัวจิ่งส่งหลัวสือซานมาช่วยเขา าแของตัวเองก็มีเืไหลชุ่มออกมาเต็มไปหมด แต่เขากลับไม่สนใจมันเลยสักนิด
เจินจูมองแล้วทนไม่ได้ จึงต้มหม้อน้ำร้อนขึ้นและเทน้ำสองแก้วที่ผสมน้ำแร่จิติญญาเข้าไป สั่งให้ผิงอันนำไปให้พานเชียนซานก่อนและรอให้เขาดื่มจนหมด ค่อยให้ผิงอันเอาไปกรอกให้ต้าฉุยอีกที
ส่วนเซียวจวิ้นผู้นั้น ไม่ต้องหรอก เขาขาแพลงเท่านั้นเอง ไม่ได้เป็อะไรมาก ค่อยๆ รักษาเอาเองเถอะ
เซียวจวิ้นที่ไม่ได้เป็อะไรมากกำลังสนทนาอยู่กับหลัวจิ่ง
เซียวจวิ้นอายุมากกว่าหลัวจิ่งหนึ่งปี กล่าวขึ้นมาแล้วสองคนไม่นับว่าสนิทกันเป็พิเศษ แค่ล้วนแล้วแต่เป็ลูกหลานของครอบครัวใหญ่โตในเมืองหลวงกันทั้งสิ้น ั้แ่เด็กจนโตมักมีโอกาสรวมตัวอยู่ด้วยกันบ่อยๆ แม้ไม่ได้เล่นด้วยกัน แต่ถึงอย่างไรก็ยังนับว่ารู้จักกันได้อยู่
“คนชุดดำเ่าั้เป็ผู้ใดส่งมา ในใจเ้าคงรู้ดีกระมัง?” สองมือของหลัวจิ่งกอดอกและพิงอยู่หน้าเกวียนรถม้า
“…พฤติกรรมของเขาในขณะนี้นับวันยิ่งบ้าบิ่นขึ้นยิ่งนัก วันที่ฮ่องเต้สั่งให้เขาขังตัวสำนึกผิด พอเขาออกจากวังไปในวันนั้นก็เฆี่ยนคนตายไปหนึ่งคนบนถนน สาสน์กราบทูลที่ยื่นร้องเรียนเขาผุดขึ้นดังเกล็ดหิมะก็ไม่ปาน ฮ่องเต้ทรงกริ้วอย่างยิ่งยวด ทว่าไม่สามารถโยกย้ายตัวเขาได้เป็การชั่วคราว ฮ่องเต้ไม่ได้ดูแลบริหารบ้านเมืองมาหลายปี อำนาจของฮองเฮาและองค์ไท่จื่อไม่อาจดูถูกได้ง่ายๆ การบีบบังคับให้พวกเขาหมดทางเลือก กลายเป็สุนัขร้อนรนะโข้ามกำแพง [3] ไม่แน่ว่าอาจก่อเื่วุ่นวายฉากใหญ่ขึ้นมาก็เป็ได้” แต่ไหนแต่ไรมาร่างกายของเซียวจวิ้นไม่ค่อยดีมาโดยตลอด บิดาของเขาน้อยครั้งนักที่จะหยิบยกเื่เหล่านี้มากวนใจเขา แต่อย่างไรเสียเขาก็เป็ซื่อจื่อของเจิ้นกั๋วกง เื่ราวปัญหาแต่ละอย่างภายในราชสำนัก เขาจะไม่รับรู้ไม่เข้าใจได้อย่างไร
หลัวจิ่งนิ่งเงียบ ดวงตาหลุบมองต่ำ สายตาปรากฏความเยือกเย็นออกมา
“เ้าไปเมืองหลวงครั้งนี้ กระทำการให้เงียบไว้จะดีที่สุด คนผู้นั้นแม้ในนามจะถูกสั่งกักขังให้สำนึกผิด แต่ในความเป็จริงก็ยังออกมาข้างนอกอยู่เป็ระยะๆ” เซียวจวิ้นกล่าวโน้มน้าวเสียงเบา
หลัวจิ่งมองขึ้นไป ั์ตาเผยทุกอย่างออกมา
“…ปกติล้วนไปที่ใด?”
“…เ้าอย่าคิดทำอะไรบ้าๆ ข้างกายเขาแต่ไหนแต่ไรมาล้วนมีทหารส่วนตัวติดตามอยู่ ผู้มีฝีมือสูงส่งกระจัดกระจายอยู่ไปทั่ว หลายปีมานี้ในมือเขาเปื้อนเืไปไม่น้อย ทั้งกระทำการโเี้อำมหิตและกำเริบเสิบสานตั้งเพียงนั้น คนที่้าชีวิตเขาจะมีน้อยเสียที่ไหน แต่เ้าเคยเห็นเส้นขนตามร่างกายของเขาร่วงลงมาสักเส้นหรือไม่ล่ะ เ้าอย่าได้คิดทำเื่อันตรายที่เ้าเองก็รู้ดีอยู่แก่ใจเด็ดขาดเชียว” เซียวจวิ้นจ้องเขาด้วยความเคร่งขรึมจริงจัง
หลัวจิ่งชำเลืองมองเขาแวบหนึ่ง ช่างเถอะ เ้าหมอนี่ห่วงเขาอย่างกับของล้ำค่า คงไม่มีทางบอกเื่น่ากวนใจเหล่านี้แก่เขาแน่นอน รอให้พวกเขาเข้าเมืองหลวงไปแล้วค่อยสืบอย่างละเอียดเอาเองก็แล้วกัน
เซียวจวิ้นมองไปที่เขา กลับรู้สึกวิตกกังวลเล็กน้อย หลัวจิ่งก็นับว่าเป็ผู้มีพระคุณที่ช่วยชีวิตเขาไว้เช่นกัน เขาไม่อยากให้คนตรงหน้าเอาชีวิตไปทิ้งเสียเปล่า
“เ้าอย่าได้เห็นว่าสิ่งที่ข้ากล่าวไปนั้นไม่จริง ท่านพ่อข้าเคยกล่าวว่า จำนวนครั้งที่เขาถูกลอบสังหารในทุกปี ล้วนมากเกินกว่าสิบครั้ง แต่ส่วนใหญ่ยังไปไม่ถึงข้างกายเขาก็ล้วนถูกผู้มีฝีมือสูงที่ติดตามข้างกายแทงจนตัวพรุนไปทั้งหมด”
“อื้ม... ข้ารู้ เ้าวางใจเถอะ ชีวิตของข้าล้ำค่าอย่างยิ่ง”
เซียวจวิ้นมองเขาปราดหนึ่งด้วยความระแวง เห็นเขาท่าทางเ็าก็อดโมโหขึ้นมาเล็กน้อยอย่างเสียมิได้
“เ้ารู้จักสองพี่น้องนี้ได้อย่างไร? แล้วนี่ยังคุ้มกันพวกเขาเข้าเมืองหลวง?”
หลัวจิ่งนิ่งเงียบอยู่นาน “พวกเขามีบุญคุณกับข้า ตอนนี้มีวันลาหยุดได้พอดีก็เลยมาส่งพวกเขาสักรอบ”
เซียวจวิ้นจ้องคนตรงหน้า มีบุญคุณกับเขา? สองพี่น้องนี้ช่างทำให้คนประหลาดใจจริงเชียว!
ราวกับมองทะลุความคิดของเขาได้ หลัวจิ่งมองเขาทีหนึ่งและกล่าวเตือน “พวกเขาเป็ชาวบ้านทั่วไป เ้าอย่าได้คาดคะเนเอาตามอำเภอใจ ไม่ว่าอย่างไรก็นับเป็ผู้ช่วยชีวิตของเ้าเช่นกัน ห้ามก่อความยุ่งยากลำบากให้พวกเขาเด็ดขาด”
“…เ้าเอาดวงตาข้างไหนมองว่าข้าจะทำอะไร พวกเขาเป็ผู้มีพระคุณของข้า ข้าจะก่อความยุ่งยากลำบากให้พวกเขาได้อย่างไร” เซียวจวิ้นถลึงตาใส่เขาด้วยความโมโห
เหอะ ยังคิดอยู่เลยว่าบุคลิกเขาเปลี่ยนแปลงไปแล้ว ที่แท้ก็แค่แสดงออกว่าเปลี่ยนไปเท่านั้น
ไม่ผิด สองคนไม่ชอบหน้ากันมาั้แ่เด็กเล็กน้อย เพราะเซียวจวิ้นร่างกายไม่ค่อยดี เวลาส่วนใหญ่ล้วนอยู่ด้านข้างอย่างสงบเงียบ มองบรรดาเด็กผู้ชายเล่นสนุกกัน ทว่าฐานะของเขาสูงศักดิ์ ข้างกายจึงมักมีเด็กประจบสอพลออยู่กลุ่มหนึ่ง ส่วนหลัวจิ่งตอนเป็เด็กร่าเริงไม่ชอบอยู่นิ่ง ซุกซนสร้างความวุ่นวาย นำพาเด็กผู้ชายที่อยู่ไม่สุขหนึ่งกลุ่มะโแวบไปมาอย่างไก่บินสุนัขะโ [4] สองฝ่ายเคยเกิดเหตุการณ์กระทบกระทั่งกันอยู่บ้างไม่มากแต่ก็ไม่น้อย
หลัวจิ่งคร้านที่จะสนใจเขาจึงหมุนกายคิดจะจากไป
“เฮ้ เ้ารอเดี๋ยว!” เซียวจวิ้นเรียกเขาไว้
“อะไร?”
เซียวจวิ้นขยับตัวอย่างไม่เป็ธรรมชาติ เขาหยิบหมอนด้านหลังขึ้น กลิ่นหอมอ่อนๆ โชยเข้าโพรงจมูก เขายกหมอนเข้ามาใกล้และสูดดมแรงๆ อยู่หลายทีด้วยความหลงใหล
“เ้าทราบหรือไม่ ในหมอนใบนี้ใส่พืชชนิดใดเข้าไป? เหตุใดดมกลิ่นแล้วถึงได้ผ่อนคลายเช่นนี้?”
“…”
ใบหน้าหลัวจิ่งมืดครึ้มลงทันที ดวงตาเย็นเยียบคมกริบดุจมีดกวาดผ่านไป
“…ทำไมหรือ?” เซียวจวิ้นงุนงงเล็กน้อย เขาทำอะไรให้คนผู้นี้โมโหขึ้นอีกล่ะนี่
“…นั่นเป็หมอนของเจินจู ให้เ้ายืมใช้เล็กน้อยเท่านั้น”
“…”
เจินจู? แม่นางสกุลหู! การกระทำกอดหมอนของเซียวจวิ้นแข็งทื่อ เขายิ้มอย่างเก้อเขิน รีบวางหมอนกลับไปที่เดิมทันที
“ฮ่าๆ… ข้าแค่อยากถามเล็กน้อยว่านางใส่พืชชนิดใดเข้าไปด้านใน”
หลัวจิ่งกลอกตาใส่เขาหนึ่งที ตอบกลับอย่างไม่สบอารมณ์ “อีกสักครู่ เ้าถามนางเอาเองเถอะ”
ขณะกล่าว ก็เดินจากไปพร้อมกับความเดือดดาล
ทุกคนทานอาหารกลางวันกันจนหมด แล้วต้มสมุนไพรให้ผู้าเ็ดื่มลงไปจนครบถ้วน ขบวนรถม้าถึงได้เริ่มออกเดินทางช้าๆ
ภายในเกวียนมีคนร่างใหญ่นอนอยู่ พื้นที่เคลื่อนไหวจึงคับแคบ เจินจูกับผิงอันเอียงกายนั่งอยู่ด้านหน้าเกวียน มือและเท้าเคลื่อนไหวไม่ค่อยสะดวกอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
“แค่ก” เซียวจวิ้นกระแอมไอเบาๆ หนึ่งที ก่อให้เกิดความสนใจจากสองพี่น้องขึ้น
แก้มแห้งตอบของเขายืดออกจนเกิดรอยยิ้ม “แม่นางหู ข้าขอถามสักนิด ในหมอนใบนี้ใส่พืชอะไรเข้าไปหรือ? กลิ่นนี้ช่างทำให้คนที่สูดดมแล้วสบายใจอย่างยิ่ง”
เมื่อครู่เขาได้แหวกปลอกหมอนเปิดดูแล้ว บนหมอนวางสิ่งแปลกปลอมอย่างถุงผ้าไหมเนื้อละเอียดแบนยาวไว้หนึ่งใบ ด้านในใส่หญ้าหอมไว้หลวมๆ หนึ่งชั้น น่าเสียดายที่ถูกเย็บติดกันทุกด้านแล้ว หากเขาจะเลาะออกสำรวจดูก็คงไม่ดีสักเท่าไร
เจินจูกะพริบตา เฮ้อ ผิดพลาดยิ่งนัก เมื่อวานน่าจะซื้อรถม้าอีกสักเกวียน จะได้ปล่อยให้ชายผู้นี้ไปอยู่ที่นั่น ดูเขาสิไม่เพียงพื้นที่มากกว่าครึ่งของเกวียนไปเท่านั้น แต่ยังอยากได้หมอนของนางขึ้นมาอีก
“อืม… เป็หญ้าสงบจิติญญาชนิดหนึ่ง สงบจิตใจทำให้อารมณ์นิ่งสงบ มีส่วนช่วยในการนอนหลับ”
เซียวจวิ้นดวงตาเป็ประกาย ช่วยในการนอนหลับเลยหรือ! ไม่แปลกใจเลยที่เมื่อวานเขาหลับได้สนิทยิ่งนัก กี่ปีมาแล้วที่เขาปวดศีรษะมาเป็เวลายาวนาน อ่อนเปลี้ยเพลียแรงนอนหลับยาก ไปหาหมอตรวจโรคมาก็นับครั้งไม่ถ้วน อีกทั้งหลายปีมานี้ยิ่งไม่เคยละเว้นจากสมุนไพรต้ม แต่ยังคงไม่สามารถปรับเปลี่ยนให้ดีขึ้นได้เลย
หญ้าสงบจิตใจชนิดนี้ แค่ดมกลิ่นอายความหอมของมันก็สามารถทำให้เขาที่เดิมทีไม่เป็สุขและสมองกลัดกลุ้มเ็ปได้คลายลงไปมาก
แต่ประสิทธิภาพของหญ้าสงบจิติญญาดีถึงเพียงนี้ เหตุใดเขาจึงไม่เคยได้ยินชื่อของหญ้าชนิดนี้มาก่อนเลยนะ? หรือท่านหมอหลวงกับท่านหมอที่มีชื่อเสียงแต่ละคนก็ล้วนไม่รู้จักหญ้าชนิดนี้กัน?
เซียวจวิ้นเก็บความสงสัยไว้ในใจและยิ้มขึ้น “แม่นางหู ขอกล่าวกับเ้าอย่างตรงไปตรงมา ั้แ่เด็กข้ามีปัญหาการปวดศีรษะและนอนหลับยาก ไปหาหมอมามากมายก็ล้วนไม่สามารถรักษาให้ดีขึ้นได้เลย เวลานอนหลับของทุกวันล้วนเป็ความทรมานอย่างหนึ่ง แต่พอได้นอนหนึ่งตื่นเมื่อวาน ข้าขอกล่าวไม่เกินจริง นี่เป็ครั้งแรกที่หลับได้อย่างสนิทในรอบหลายปีเลยทีเดียว”
โครงหน้าของเขาผอมซูบ รอบดวงตาดำคล้ำ ั์ตาไร้ชีวิตชีวา ล้วนเป็คำบอกแทนความทรมานที่มาจากความเจ็บป่วยของเขาได้
อายุน้อยนิดก็ปวดศีรษะนอนไม่หลับมาเป็เวลายาวนานเสียแล้ว เป็คนที่น่าเวทนาจริงเชียว ดวงตาของเจินจูมีความเห็นใจเอ่อล้นขึ้นมา
ผิงอันสังเกตเขาอย่างละเอียดด้วยความประหลาดใจ คำว่านอนไม่หลับเป็คำศัพท์ใหม่สำหรับเขาอย่างมาก มีคนนอนไม่หลับด้วยหรือนี่
“เพราะอย่างนั้น หญ้าสงบจิติญญาชนิดนี้สำหรับข้าแล้ว จึงล้ำค่ามากอย่างไม่ต้องสงสัย ไม่ทราบว่าแม่นางหูได้มากจากที่ไหนหรือ?”
ได้มาจากที่ไหน? เจินจูลูบหัวของเสี่ยวเฮย กล่าวด้วยสีหน้าไม่เปลี่ยนแปลง “หญ้าชนิดนี้มีอยู่น้อยมาก เติบโตอยู่แค่ส่วนลึกของหุบเขาไท่หางเท่านั้น ข้าก็มีเพียงนิดหน่อยเช่นกัน”
เซียวจวิ้นชะงักทันที มือที่กอดหมอนอยู่อดกระชับแน่นขึ้นไม่ได้
เชิงอรรถ
[1] มู่หน่ายอี คือ มัมมี่
[2] ข้างหน้าไม่ติดกับหมู่บ้าน ข้างหลังไม่ติดกับโรงเตี๊ยม หมายถึง เดินทางมาที่ห่างไกล ไม่มีสถานที่ให้หยุดพักค้างแรม
[3] สุนัขร้อนรนะโข้ามกำแพง หมายถึง สุนัขจนตรอก หรือคนที่ฮึดสู้สุดชีวิตเพราะไม่มีทางเลือก สู้เหมือนหมาจนตรอก
[4] ไก่บินสุนัขะโ หมายถึง ความอลหม่าน วุ่นวาย
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้