อวี๋หรูไห่ไอแห้งกลบเกลื่อนความกระอักกระอ่วนของตัวเองเขาหยิบหมอนรองตรวจชีพจรที่วางอยู่ด้านข้างมาวางลงใต้ข้อมือของมู่เหยี่ยนจากนั้นทาบนิ้วบนชีพจรของเขา “ข้าจะจับชีพจรให้นายท่านมู่เสียก่อน”
ผ่านไปครู่ใหญ่ อวี๋เจียวมาถึงห้องโถง อวี๋หรูไห่ชักมือกลับเอ่ยพลางแย้มยิ้มกับมู่เหยี่ยนว่า “นี่คือภรรยาของเ้าห้าในสกุลของพวกเรา รู้วิชาหมอเป็อย่างดีนายท่านมู่ลองให้นางตรวจดูสักหน่อย”
มู่เหยี่ยนผู้เป็อาของมู่เนี่ยนจิ่วขมวดคิ้วเล็กน้อยเขาเปิดเปลือกตาเหลือบมองอวี๋เจียวด้วยใบหน้าแลดูไม่สบอารมณ์“ในใต้หล้ามีสตรีเพียงไม่กี่คนที่เป็หมอ ท่านหมออวี๋โชคดีมากเพียงแต่ด้วยอาการป่วยของข้า หากจะให้สตรีมาตรวจคงจะไม่สะดวกอย่างมากเช่นนั้นคงไม่รบกวนแล้ว”
กล่าวจบมู่เหยี่ยนลุกขึ้นยืน คนรับใช้ที่อยู่ข้างๆ รีบเข้าไปประคองตามด้วยเดินไปทางด้านนอกประตู
อวี๋หรูไห่เผยสีหน้ากระอักกระอ่วน เอ่ยว่า “นายท่านมู่ช้าก่อนวันนี้ท่านมาตรวจอาการป่วย หลานสะใภ้ของข้าเป็หมอย่อมไม่มีการแบ่งแยกความแตกต่างระหว่างชายหญิง ไยต้องรีบร้อนจากไปกันเล่าให้หลานสะใภ้ของข้าดูอาการของท่านสักหน่อยเถิด”
อวี๋จิ่นซูรีบส่งสายตาให้มู่เนี่ยนจิ่วมู่เนี่ยนจิ่วรีบเอ่ยขึ้นว่า “ใช่แล้วท่านอา ไหนๆ ก็มาแล้ว ท่านตรวจอาการเสียก่อนแล้วค่อยไปเถิด”
มู่เหยี่ยนหันกลับไปมองหลานชายของตนอย่างเ็าก่อนมาเขาไม่รู้ว่าคนที่จะตรวจอาการให้เขาคือแม่นางน้อย หากรู้แต่แรกไม่ว่าจะพูดอย่างไรเขาก็ไม่มีทางมาสกุลอวี๋เด็ดขาด
เขาจึงตำหนิว่า "เ้าก็ก่อเื่วุ่นวายตามไปด้วยลืมกฎสกุลมู่ของข้าไว้ในท้องสุนัขหมดแล้วหรือ! ยังไม่รีบกลับจวนกับข้าอีก!"
มู่เนี่ยนจิ่วกายสั่นสะท้าน โดยปกติเขาทั้งเคารพและเกรงกลัวอาของตนแม้ยามปกติมู่เหยี่ยนจะใจดี แต่ยังคงมีความน่ายำเกรงแม้ยามไม่ได้ขุ่นเคืองในสกุลมู่เขาพูดหนึ่งไม่มีสอง มู่เนี่ยนจิ่วหวาดกลัวใบหน้าเ็าของเขามาแต่ไหนแต่ไร
เมื่อเห็นว่าท่านอาเดินออกจากห้องโถงไปแล้วมู่เนี่ยนจิ่วจึงเดินตามไปอย่างจนปัญญา พยายามห้ามปรามว่า "ท่านอาไม่ว่าจะเป็ชายหรือหญิง การรักษาอาการป่วยของท่านถึงจะเป็เื่สำคัญสะใภ้สกุลอวี๋ผู้นั้นบอกว่านางมีวิธีรักษาอาการป่วยของท่านท่านถูกโรคภัยทรมานมาตลอดหลายวันนี้แล้ว ให้นางลองดูเถิดขอรับถือเสียว่าหลานขอร้องท่านแล้ว"
มู่เหยี่ยนแค่นเสียงเ็า ยกมือขึ้นจิ้มศีรษะของมู่เนี่ยนจิ่วเอ่ยด้วยโทสะว่า "เกรงว่าส่วนนี้ของเ้าจะเป็หัวหมูกระมัง ในใต้หล้านี้มีสตรีที่รู้วิชาหมอเสียเมื่อใดกัน? ท่านหมอแห่งชิงโจวยังรักษาไม่ได้นางเป็สตรีในหมู่บ้านทุรกันดารจะมีวิธีรักษาจริงหรือ? ข้ารู้ว่าเ้าเป็ห่วงอาการป่วยของข้านอกจากนั้นยังเห็นแก่ความสัมพันธ์ฉันสหายร่วมเรียนของเ้ามีหรือจะรู้ว่าผู้อื่นคิดวางแผนการอะไร? แค่หลอกล่อเ้าที่อายุยังน้อยและไร้ประสบการณ์เพราะอยากหาเงินจำนวนหนึ่งเท่านั้นต่อไปจงอย่าได้คบหาคนเช่นนี้อีกเลย!"
มู่เหยี่ยนเผยสีหน้าหน้าหงุดหงิด อาการคันบนแผ่นหลังรุนแรงยิ่งนักเขารีบสั่งให้ข้ารับใช้ข้างกายเกาหลังโดยมีอาภรณ์กั้น แต่เมื่อเกาลงไปกลับเจ็บจนยากจะทนด้วยความโมโหจึงปัดมือข้ารับใช้ออกแล้วเดินไปที่รถม้า
มู่เนี่ยนจิ่วถูกตำหนิเข้าเต็มเปาขณะยืนอยู่ในลานบ้านยังคงไม่ยอมถอดใจ พยายามเกลี้ยกล่อมอย่างยากลำบากว่า"ท่านอา สกุลอวี๋ไม่มีทางเอาเื่นี้มาหลอกลวงขอรับหลานปวดใจที่ท่านถูกโรคภัยทรมานมาตลอดจริงๆ พวกเราแค่ลองดูสักครั้งเถิดถ้าเกิดแม่นางผู้นั้นมีวิธีที่ดีที่สามารถรักษาอาการป่วยของท่านจริงๆ ล่ะขอรับ?"
"ขึ้นรถม้า!" มู่เหยี่ยนะโตำหนิเสียงเย็นอยู่ในรถม้า
เมื่อเห็นว่าไร้ความเป็ไปได้ที่จะเกลี้ยกล่อมอีกต่อไปมู่เนี่ยนจิ่วหันกลับไปมองคนสกุลอวี๋ครู่หนึ่งก่อนจะเดินตรงไปยังรถม้าด้วยสีหน้าหดหู่
อวี๋เจียวที่เดินตามมาเอ่ยอย่างเชื่องช้าว่า"ทำไมนายท่านมู่ถึงดูถูกสตรีถึงเพียงนี้? ในใต้หล้านี้ไม่ได้มีแค่บุรุษที่เก่งกาจหากท่านกลัวว่าตระกูลอวี๋ของข้าจะหลอกเอาเงิน เช่นนั้นก็อย่าได้กลัวไปข้านามเมิ่งอวี๋เจียวกล้าลั่นวาจา หากไม่สามารถถอนรากถอนโคนอาการป่วยของนายท่านมู่ก็จะไม่รับเงินสักอีแปะ!"
ในรถม้าไม่มีเสียงใดตอบกลับอวี๋เจียวเดินเข้าไปใกล้อีกสองสามก้าวและเอ่ยต่อไปว่า"ถ้านายท่านมู่ไม่อยากตรวจอาการเพียงเพราะข้าเป็สตรีข้าคงบอกได้แค่ว่าน่าเสียดาย นายท่านมู่ช่างโง่เขลาอย่างแท้จริง ถูกอาการป่วยทรมานแต่ก็ยังไม่ยอมให้โอกาสตนเอง"