ยามพลบค่ำมีเม็ดฝนสาดเทลงมาบนพื้นดินไม่ขาดสาย ราวกับกำลังชำระล้างอากาศในเมืองหยางโจว
ผู้คนบนท้องถนนต่างวิ่งหลบฝนกันจ้าละหวั่น
ตอนนี้เองก็มีเงาร่างของชายหนุ่มคนหนึ่งควบม้าพันลี้ท่ามกลางสายฝน เขาสวมเสื้อกันฝนสีดำและกำลังมุ่งหน้าไปที่ภัตตาคารทิงเฟิง
“ดูแลม้าของข้าด้วย” ชายหนุ่มหันมากำชับเสี่ยวเอ้อร์ที่ยืนต้อนรับ แล้วก้าวเข้าไปในภัตตาคารทิงเฟิงทันที
อาจเป็เพราะว่าฝนตก ทำให้วันนี้ภัตตาคารทิงเฟิงดูคึกคักเป็พิเศษ ทำให้ห้องโถงชั้นหนึ่งที่กว้างขวางคลาคล่ำไปด้วยผู้คนจำนวนมาก เสียงพูดคุยจอแจดังขึ้นไม่หยุด
“เ้าได้ยินเื่ที่เกิดขึ้นเมื่อวานหรือยัง? หลินไห่ผู้นำของตระกูลหลิน และไอ้ขยะหลินเฟิงถูกไล่ออกจากตระกูลหลินแล้ว”
“ฮ่าๆ ข่าวนี้ได้แพร่กระจายไปทั่วเมืองหยางโจวแล้ว ไม่จำเป็ต้องบอกข้าก็ได้ ตอนนี้หลินป้าต้าวแข็งแกร่งขึ้นมาก เขาสามารถเอาชนะหลินไห่ในหมัดเดียว อีกทั้งบุตรชายและบุตรสาวของเขาก็บรรลุขอบเขตแห่งจิติญญาทั้งคู่ นับได้ว่าเป็อัจฉริยะที่โดดเด่น ไอ้ขยะนั่นไม่สามารถเทียบได้หรอก ประกอบกับหลินไห่ได้สังหารผู้าุโของตระกูลตัวเองอย่างไม่เป็ธรรม ทำให้สองพ่อลูกนั่นถูกขับไล่ออกจากตระกูลหลิน ตอนนี้ตระกูลหลินได้กลับสู่สภาวะปกติอีกครั้ง”
บทสนทนาส่วนใหญ่ล้วนเป็ข่าวเกี่ยวกับหลินเฟิงทั้งสิ้น เสียงวิพากษ์วิจารณ์เหล่านี้ทำให้หลินเฟิงที่กำลังจะเดินขึ้นไปยังชั้นสองต้องหยุดชะงักเท้าในทันที ก่อนจะตัดสินใจเดินลงมาชั้นหนึ่งแทน หลินเฟิงเลือกที่นั่งตรงมุมห้องและนั่งลงฟังข่าวลือต่างๆ อย่างเงียบๆ
“ข่าวลือไร้ยางอายแบบนี้ จะต้องเป็ตระกูลหลินที่ปล่อยออกมาอย่างแน่นอน หึๆ โยนความชั่วร้ายเหลือจะทนให้กับข้าและบิดา จากนั้นก็ส่งเสริมให้หลินป้าต้าวรวมทั้งลูกของมันกลายเป็ครอบครัวอัจฉริยะ ช่างดีงามจริงๆ” หลินเฟิงหัวเราะเบาๆ อย่างเ็า สำหรับคนหน้าด้านอย่างหลินป้าต้าว การที่จะใช้แผนชั่วช้าเช่นนี้นับว่าไม่ใช่เื่แปลกอะไร
“นายท่าน้าสั่งอะไรไหมขอรับ?” เสี่ยวเอ้อร์คนหนึ่งเดินเข้ามาพูดคุยกับหลินเฟิง
“เอาเหล้ามาขวดหนึ่ง กับกับแกล้มอะไรก็ได้สักสองสามอย่าง” หลินเฟิงสั่ง ไม่นานนักเหล้าและกับแกล้มก็มาวางตรงหน้าอย่างรวดเร็ว
“ข้าได้ยินมาว่าภัตตาคารทิงเฟิงเป็แหล่งที่มีข้อมูลข่าวสารมากมายที่สุด ไม่รู้ว่าข้าจะได้ข้อมูลเกี่ยวกับงานชุมนุมประจำปีของเมืองหยางโจวหรือไม่?” หลินเฟิงรินเหล้าใส่จอกให้ตัวเองแล้วยกขึ้นดื่ม ทันทีที่เหล้าไหลเข้ามาในร่าง หลินเฟิงก็รู้สึกร้อนรุ่มราวกับถูกแผดเผา เหมือนมีเปลวไฟอยู่ในร่างก็ไม่ปาน เหล้านี่ช่างยอดเยี่ยมนัก มันแตกต่างจากเหล้าทั้งหมดที่หลินเฟิงเคยดื่มในโลกก่อน
ตอนนั้นเองมีเงาของคนสามคนกำลังเดินเข้ามาในภัตตาคารทิงเฟิง เป็ชายหนึ่งหญิงสอง ทันทีที่พวกเขาเดินเข้ามาก็สามารถดึงดูดสายตาของฝูงชนได้ทั้งหมด
ชายหนุ่มคนนั้นถือพัดขนนกเดินเข้ามาในภัตตาคารเงียบๆ ท่าทางของเขาดูสง่างามและสุภาพ ส่วนหญิงสาวที่เดินอยู่อีกด้าน นางสวมชุดสีเขียวสดใส ไม่เพียงดูน่าเกรงขาม แต่ยังสวยงามอีกด้วย นอกจากนี้ใบหน้าของนางยังงดงามและมีรูปร่างที่ทรงเสน่ห์
แต่ทว่าสายตาของฝูงชนไม่ได้หยุดอยู่ที่สองคนนั้น แต่เป็หญิงสาวที่อยู่ตรงกลางของทั้งสองคนต่างหาก
ถึงแม้ว่าฝนจะตกหนัก แต่ร่างกายของหญิงสาวผู้นี้กลับไม่เปียกฝนสักนิด นางสวมชุดกระโปรงยาวสีฟ้า ดูสงบนิ่งเหมือนคลื่นทะเลที่กำลังสงบ ผิวของนางขาวผ่องดุจหยกน้ำงาม ทุกตารางนิ้วบนร่างกายล้วนมีเสน่ห์ โดยเฉพาะั์ตาที่ใสสะอาดเหมือนน้ำ รูปลักษณ์คล้ายกับจะเกี่ยวหัวใจและิญญาของชายหนุ่มหลายคนไป ความสวยของนางทำให้หญิงงามที่อยู่ข้างๆ ดูด้อยไปอย่างเห็นได้ชัด
“น่าหลันไห่ เ้าขึ้นไปก่อนเถอะ ข้าอยากจะนั่งอยู่ด้านล่างนี่สักครู่” หญิงสาวที่สวมชุดสีฟ้า กล่าวด้วยน้ำเสียงหวานใส
“ก็ได้” น่าหลันไห่พยักหน้า ก่อนจะถือพัดขนนกเดินขึ้นไปที่ชั้นสอง ส่วนหญิงสาวที่สวมชุดสีเขียวก็กวาดสายตามองหาที่นั่งที่เหมาะสมอยู่
“คุณหนูเ้าค่ะ ดูเหมือนว่าจะไม่มีที่นั่งเหลือแล้ว” หญิงสาวในชุดสีเขียวกวาดสายตามองรอบๆ ห้องโถง ก็พบว่าที่นั่งล้วนเต็มหมดแล้ว
“คุณหนู รอข้าสักครู่” เมื่อหญิงสาวที่สวมชุดสีเขียวเห็นหลินเฟิงนั่งอยู่คนเดียวตรงมุมห้อง ก็เกิดความคิดหนึ่งแวบขึ้นมา ก่อนจะเดินไปหาหลินเฟิงทันที
หลินเฟิงเงยหน้าขึ้น เห็นหญิงสาวในชุดสีเขียวกำลังจ้องมองเขาอยู่ ก็ถามขึ้นมาว่า “มีอะไรหรือ?”
“มี” หญิงสาวคนนั้นโยนเหรียญไปบนโต๊ะของหลินเฟิงแล้วพูดว่า “ข้าให้เ้าหนึ่งเหรียญเงิน เพื่อแลกกับการที่เ้าเปลี่ยนที่ ข้า้าที่นั่งตรงนี้”
หลินเฟิงชะงักเล็กน้อย ก่อนจะยกยิ้มมุมปากจางๆ จากนั้นก็ควักเหรียญเงินหนึ่งเหรียญออกมาแล้วโยนลงบนโต๊ะ เหมือนที่นางทำ
“เ้าหมายความว่าอย่างไร?” หญิงสาวในชุดสีเขียวถาม พลางขมวดคิ้ว
หลินเฟิงเงยหน้าสบตากับหญิงสาวคนนั้น แล้วกล่าวว่า “ข้าเห็นเ้าแล้วรู้สึกรกหูรกตาพิกล ดังนั้นเ้าหยิบเงินนี่แล้วไปซะ”
“เ้า...” หญิงสาวชุดเขียวตัวแข็งทื่อเล็กน้อย ก่อนจะกล่าวด้วยน้ำเสียงเ็าว่า “เ้าหมายความว่ายังไง? เ้ารู้หรือไม่ว่าข้าเป็ใคร?”
หลินเฟิงส่ายหัวด้วยท่าทางเฉยชา ขณะที่รินเหล้าใส่จอกของตัวเองต่อ
“เ้าจะเป็ใครแล้วมันเกี่ยวอะไรกับข้า” หลินเฟิงเงยหน้าตอบกลับอย่างเ็าไม่แพ้กัน
เมื่อได้ยินคำพูดที่ไม่สุภาพของหลินเฟิง หญิงสาวในชุดเขียวก็ปลดปล่อยลมปราณออกมาทันที ทำให้หลินเฟิงตกตะลึงไปชั่วขณะ หญิงสาวนางนี้เหมือนจะอายุน้อยกว่าเขา แต่ทว่านางกลับอยู่ในขอบเขตนักรบลมปราณขั้นที่ 8 พร์ไม่ธรรมดาเลยจริงๆ ไม่สงสัยเลยว่าทำไมถึงได้หยิ่งยโสเช่นนี้
“ทำไม ? เ้ากลัวหรือ?” หญิงสาวมองหลินเฟิงอย่างยโส ขณะที่หัวเราะเยาะออกมา
หลินเฟิงตะลึงจนพูดไม่ออก
“ลู่เอ๋อร์ อย่าหยาบคายสิ” น้ำเสียงนุ่มนวลพลันดังขึ้น ก่อนที่หญิงสาวที่สวมชุดสีฟ้าจะเดินเข้ามาหา นางปรายตามองสาวในชุดเขียวเล็กน้อย ก่อนจะหันมาพูดกับหลินเฟิงว่า
“ลู่เอ๋อร์ก็เป็แบบนี้เสมอ เ้าอย่าไปตำหนินางเลยนะ” หญิงสาวในชุดกระโปรงสีฟ้าส่งยิ้มอบอุ่นไปให้หลินเฟิง ทำให้ทุกคนรู้สึกเหมือนกับว่ากำลังอยู่ท่ามกลางสายลมในฤดูใบไม้ผลิ หญิงสาวคนนั้นเดินตรงมาที่โต๊ะของหลินเฟิงแล้วนั่งลงอย่างเป็ธรรมชาติ
หลินเฟิงขมวดคิ้วเล็กน้อย เขาไม่ได้ยินคำขอโทษจากปากของนางเลยสักนิด มิหนำซ้ำนางยังนั่งลงโดยไม่ขออนุญาตเขาผู้ซึ่งเป็เ้าของโต๊ะอีกด้วย
“ตัวเป็เหมือนนาย แต่ใจเป็เหมือนบ่าว” หลินเฟิงกล่าวแดกดันอย่างไม่ไว้หน้า
ดวงตาของหญิงสาวในชุดสีฟ้าแข็งทื่อและฉายแววเ็าขึ้นมาชั่วขณะ ไม่ว่านางจะไปที่ไหน ฝูงชนล้วนรอต้อนรับ หากนางนั่งโต๊ะเดียวกับผู้ใด โต๊ะนั้นถือว่ามีเกียรติกว่าผู้อื่น ผู้ชายคนไหนล้วนอยากจะมาประจบสอพลอนางทั้งนั้น แต่คิดไม่ถึงเลยว่าจะมาพบหลินเฟิงพูดจาเสียดสีนางเช่นนี้
“คุณหนู คนประเภทนี้ต้องโดนสั่งสอน” หญิงสาวชุดสีเขียวกล่าวด้วยความโกรธ
“ช่างเถอะ ลู่เอ๋อร์” หญิงสาวในชุดกระโปรงสีฟ้าส่ายหน้าเล็กน้อย จากนั้นก็ลุกขึ้นยืนแล้วกล่าวว่า “ในเมื่อคนอื่นไม่้าต้อนรับพวกเรา งั้นก็ย้ายที่เถอะ”
“ก็แค่คนที่ไม่รู้จักโลกกว้าง หลังจากนี้เราควรระวังให้มาก” กล่าวจบ หญิงสาวชุดกระโปรงฟ้าก็หันหลังเดินจากไป
“คุณหนูน่าหลัน ชายคนนั้นไม่รู้จักดีชั่ว ท่านเป็ถึงอัจฉริยะผู้ยิ่งใหญ่ อย่าไปลดตัวทะเลาะกับพวกด้อยปัญญาเลย ข้าผู้นี้เลื่อมใสคุณหนูน่าหลันมานานแล้ว หากท่านไม่รังเกียจ สามารถมานั่งร่วมโต๊ะกับข้าได้” ทันใดนั้นก็มีคนลุกขึ้นยืนเพื่อเชื้อเชิญหญิงสาวในชุดสีฟ้าให้นั่งร่วมโต๊ะด้วย นางยกกระโปรงสีฟ้าของตัวเองขึ้นเล็กน้อยด้วยท่าทางที่สง่างาม
เมื่อเห็นว่ามีคนมาเชื้อเชิญ หญิงสาวกระโปรงฟ้าก็พยักหน้า ทำให้ผู้ที่ส่งคำเชิญรู้สึกปลาบปลื้มเป็อย่างมาก
“ชายคนนั้นช่างโชคดีเสียจริง ทำไมข้าถึงไม่ส่งคำเชิญก่อนนะ” บางคนที่ได้เห็นฉากนี้ก็รู้สึกเสียใจขึ้นมา
“ไอ้หมอนั่นมันเป็ใคร ช่างไม่รู้จักดีชั่วจริงๆ การที่คุณหนูน่าหลัน้านั่งกับเขา ถือว่าเป็ความโชคดีที่สุดในชีวิตของเขาเลยก็ว่าได้ แต่เขากลับปฏิเสธ ช่างโง่เง่าเสียจริง”
หลินเฟิงได้ยินทุกคำพูดของคนรอบข้างลอยเข้าหูไม่ขาดสาย หลินเฟิงถึงกับส่ายหัวอยู่ในใจ สันดานขี้ประจบนี่ ไม่ว่าจะอยู่ในโลกไหนล้วนมีหมด ผู้ที่มีอำนาจมักจะมีคนประจบประแจงสอพลออยู่เสมอ
หลินเฟิงถือคติว่า เมื่อคนให้เกียรติเขา เขาก็จะให้เกียรติผู้นั้น และั้แ่ต้นจนจบ หญิงสาวชุดสีเขียวและหญิงสาวในชุดกระโปรงสีฟ้าก็ไม่ได้ให้เกียรติเขาเลยสักนิด หรือว่าข้าผู้นี้จะต้องประจบสอพลอคนแบบนั้นด้วย
จากเสียงพูดคุยของคนรอบๆ ทำให้หลินเฟิงได้รู้สถานะของหญิงสาวกระโปรงฟ้า ที่แท้นางก็เป็ลูกสาวคนเดียวของท่านเ้าเมือง ชื่อน่าหลันเฟิง ว่ากันว่าน่าหลันเฟิงทั้งงดงามและเต็มไปด้วยพร์ที่ล้ำเลิศ
“น่าหลันเฟิงและหลินเชียนมีบางอย่างที่เหมือนกัน นั่นก็คือความอวดดีและหยิ่งยโส ไม่เห็นคนอื่นอยู่ในสายตาและสนใจแค่ตัวเองเท่านั้น” หลินเฟิงคิดในใจ เขาค่อนข้างผิดหวังในตัวน่าหลันเฟิงเป็อย่างมาก ไม่สมกับคำร่ำลือ ยิ่งได้ฟังข่าวลือที่เกี่ยวกับนางนั้น ก็ยิ่งรู้สึกว่าตัวจริงช่างห่างไกลกับคำว่าสมบูรณ์แบบ
“คุณหนูน่าหลัน ในเมื่อมาถึงแล้วทำไมไม่ขึ้นมาหาพวกเราล่ะ ท่านเชิญพวกเรามาแล้วไม่ใส่ใจแบบนี้เหรอ?” น้ำเสียงที่เ็าลอยมาจากชั้นบน ทำให้ทุกคนพากันตกตะลึงไปชั่วขณะ ใครกันที่กล้าพูดแบบนี้ออกมา ทั้งยังใช้น้ำเสียงห้วนๆ เช่นนี้อีกด้วย
“หึๆ ทำให้คุณหนูหลินต้องรอนานเสียแล้ว น่าหลันผู้นี้จะขึ้นไปหาทันที” น่าหลันเฟิงหัวเราะเบาๆ และเดินขึ้นไปชั้นบนทันที
“คุณหนูหลิน? หรือว่าเป็หลินเชียนแห่งตระกูลหลิน ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมถึงกล้าพูดแบบนี้กับน่าหลันเฟิง ได้ยินมาว่าหลินเชียนตอนนี้แข็งแกร่งยิ่งกว่าเดิม และมีชื่อเสียงในนิกายเฮ่าเยว่ ”
“ใช่! ต้องเป็หลินเชียนแน่ๆ เฮ้อ คิดไม่ถึงจริงๆ ว่าในเมืองหยางโจวจะมีหญิงสาวที่โดดเด่นและล้ำค่าถึงสองนาง”
เ้าของเสียงที่ดังเมื่อครู่ เป็หลินเชียนอย่างไม่ต้องสงสัย น้ำเสียงที่หยิ่งผยองแบบนี้หลินเฟิงคุ้นเคยเป็อย่างดี
หลังจากที่ได้ฟังบทสนทนาของฝูงชน ทำให้หลินเฟิงได้รับรู้ข้อมูลเป็จำนวนมาก ที่แท้น่าหลันเฟิงก็เชิญรุ่นเยาว์ที่โดดเด่นที่สุดของเมืองหยางโจวมาชุมนุมในวันนี้ ไม่เพียงหลินเชียนที่มา รุ่นเยาว์ที่เป็อัจฉริยะจากตระกูลกู่ ตระกูลเหวิน และอัจฉริยะที่ไร้สังกัดอย่างชิวหลันต่างก็อยู่ชั้นบนทั้งหมด
