หลิวเมิ่งแสดงท่าทีตื่นตะลึง ขณะเดียวกันก็คล้าย้ากล่าวบางอย่าง แต่เมื่อพบกับแววตาที่แย้มยิ้มอย่างเลือนรางก็พลันกล้ำกลืนคำพูด ก่อนจะเดินกลับไปนั่งที่โต๊ะอย่างแช่มช้า ยามที่มองไป๋หยุนเฟยด้วยสีหน้าซับซ้อนก็กล่าวเสียงแ่เบา “ท่าน... ทราบั้แ่เมื่อใด?”
“สำคัญด้วยหรือ?” มุมปากไป๋หยุนเฟยกระตุกรั้ง มันสั่นศีรษะแ่เบาก่อนจะกล่าวอย่างเชื่องช้า คำพูดนี้ราวกับเอ่ยกับตนเองแต่ก็ราวกับเอ่ยต่อหลิวเมิ่ง
“ที่จริง นี่เป็เื่ราวผิดธรรมดาแต่แรกแล้วไม่ใช่หรือ? คุณหนูจากตระกูลมั่งคั่งทั้งเป็ถึงผู้ฝึกปรือิญญาจะทอดไมตรีแก่คนธรรมดาที่บังเอิญช่วยเหลือนางเพียงครั้งเดียวหรือ...?”
“แต่ข้าก็ยังยอมเชื่อท่าน เป็เพราะความชมชอบที่ประทับในความทรงจำหรือความลุ่มหลงในใจข้ากันแน่? แม้แต่ตัวข้าก็ไม่อาจทราบได้ อาจบางทีเป็เพราะ‘การแสดงออก’ของท่านจึงทำให้ข้าเพิกเฉยต่อความสงสัยที่มีแต่แรกไป...”
“ยามที่ท่านล้มป่วยนั่นเป็เื่จริงอย่างแน่นอน แต่ที่ไม่จริงคือนั่นไม่ใช่อาการป่วยโดยบังเอิญ แต่เกิดจากท่านใช้วิธีการบางอย่างให้อาการป่วยกำเริบขึ้น ดังนั้นการพบกันครั้งแรกของเราจึงไร้ช่องโหว่แม้แต่น้อย วันต่อมา เื่ที่ท่านบอกต่อข้าบนเขาชิงฉวนก็มีเื่จริงอยู่ครึ่งหนึ่งกระมัง? การโกหกเช่นนี้สามารถหลอกลวงผู้คนได้แเีนัก...”
“ข้าไม่ระแวงเื่ราวที่เกิดขึ้นในสองวันแรกแม้แต่น้อย ท่านให้หลงเทาและพี่ชายมันสร้างปัญหาแก่ข้าเป็ครั้งที่สองเพื่อหยั่งเชิงข้ากระมัง? ขณะเดียวกันก็เพื่อปูทางให้แก่แผนการถัดไป เพียงการท่องเที่ยวร่วมกันสองวันก็ทำให้เมล็ดพันธุ์เล็กๆในใจข้าผลิดอกออกใบ ในใจข้าค่อยๆถูกเงาร่างของท่านยึดครองทีละน้อย... ฮ่า ฮ่า ไฉนความรักของข้าจึงด้อยราคานัก?”
“ตามแผนเดิมของท่าน ความสัมพันธ์นี้สมควรงอกเงยทีละน้อย ใช่หรือไม่? อย่างน้อยต้องใช้เวลาสิบวันครึ่งเดือนเพื่อให้‘ความรัก’ระหว่างเราก่อตัวขึ้นช้าๆอย่างเป็‘ธรรมชาติ’ที่สุด จนกระทั่งท่านสามารถหลอกลวงเอาความลับจากข้าไปได้”
“แต่ก็เกิดเื่ไม่คาดฝันขึ้นในวันที่สอง นั่นคือ ข้าบังเอิญได้พบกับชิวลู่หลิวแห่งสำนักหลิวขจีอีกครั้ง! เช้าวันนั้นที่จริงท่านมาถึงแล้วกระมัง? ท่านมองเห็นนางและข้าสนทนากันจึงไม่กล้าเผยตัว กระทั่งชิวลู่หลิวจากไปแล้วท่านค่อยปรากฏตัว...”
“เช้าวันที่สาม จู่ๆท่านก็มาหาข้า เพราะ้าหยั่งเชิงดูท่าทีข้ากระมัง? แต่มิคาดว่าจะพบเห็นกำไลของข้า ท่านเอ่ยปากว่าชมชอบ ดังนั้นแม้จะเกี่ยวพันถึงความลับตนเองแต่ข้าก็ยังมอบให้... จากนั้นยามที่ท่านได้ยินว่าชิวลู่หลิวกำลังจะมาถึงในบัดดลจึงเปลี่ยนท่าทีอย่างกะทันหันและจากไปทันที ยามนั้นข้าคิดว่าเป็เพราะท่านเกิด ‘หึงหวง’ แต่ที่จริงแล้วท่านเกรงว่าจะถูกจดจำออก เพราะด้วยฐานะของท่านเป็ไปได้อย่างยิ่งว่าเคยพบกับชิวลู่หลิวมาก่อน...”
“หลังจากข้าไปสำนักหลิวขจี ท่านก็พบว่าไม่อาจดำเนินแผนการ‘อย่างค่อยเป็ค่อยไป’ได้อีกต่อไปแล้ว จึงเกิดเหตุการณ์‘คร่ากุมตัว’ขึ้นแทน โดยให้คนของตระกูลหลงออกหน้าอีกครั้ง ท่านสามารถบีบให้ข้าเผยสิ่งที่ปิดบังไว้ได้ขณะเดียวกันก็ทำให้ความรักระหว่างเรา‘แน่นแฟ้น’ขึ้นไปอีก ฮ่า ฮ่า วีรบุรุษช่วยหญิงงาม ช่างเป็โอกาสยกระดับความรักระหว่างหญิงชายที่ดีงามนัก!”
“แต่เพราะระหว่างดำเนินเื่ราว ข้าบังเอิญพบเห็นความผิดปกติจึงเริ่มที่จะสงสัย!” ไป๋หยุนเฟยเงยหน้าขึ้นมองหลิวเมิ่ง จากนั้นจึงแค่นหัวเราะกล่าว “ท่านจำคำพูดแรกที่หลงเทากู่เอ่ยปากหลังจากพบข้าได้หรือไม่? มันกล่าวว่า‘หรือเ้าคือไป๋หยุนเฟยที่นางเอ่ยถึง?’ มันทราบชื่อข้า ท่านบอกว่าเป็คนเอ่ยชื่อข้าแก่มัน...”
“แต่ข้าบอกท่านเมื่อใดว่าข้าแซ่ไป๋?” คำถามไป๋หยุนเฟยที่ถามอย่างสุภาพทำให้ใบหน้าที่ประหลาดใจของหลิวเมิ่งแปรเปลี่ยนเป็ตะลึงลานก่อนจะกลายเป็ท้อแท้
ไป๋หยุนเฟยไม่นำพาความเปลี่ยนแปลงบนใบหน้าอีกฝ่ายแม้แต่น้อย มันกล่าวต่อว่า “พูดถึงเื่นี้ ทั้งหมดก็เพราะยามที่พวกเราพบกันคราแรก เพื่อสร้างความใกล้ชิดจึงให้ข้าเรียกท่านอย่างสนิทสนมว่า‘เมิ่งเอ๋อร์’ ดังนั้นเมื่อท่านถามชื่อ ข้าจึงให้ท่านเรียกหาเป็หยุนเฟย ต่อมาคล้ายว่าข้าจะไม่เคยกล่าวถึงว่าหยุนเฟยเป็เพียงชื่อแต่ที่จริงข้าแซ่ไป๋ ใช่หรือไม่?”
“แน่นอน บางทีท่านจะบอกว่าเพียงหลุดปากว่าข้าชื่อหยุนเฟย แต่พวกมันทราบว่าข้าแซ่ไป๋ได้อย่างไรไม่ทราบ แต่ก็ยังมีเื่น่าสงสัยเกี่ยวกับตระกูลหลงอยู่อีก ที่จริงยามที่ข้ามีความคิดนี้ผุดขึ้นมาก็ยังปลอบประโลมตนเองเช่นนี้ แต่เื่ราวก็ยังไม่สมเหตุสมผล... แรกเริ่มพวกเรากลายเป็ศัตรูกับหลงเทา(น้องชาย)ก็เพราะมันต้องตาในความงามของท่าน แต่วันที่ท่านถูกคร่ากุมตัวมา แม้จะผ่านไปถึงหนึ่งชั่วยามพวกมันก็ไม่แตะต้องท่านแม้แต่ปลายเล็บ... ยามนั้นข้าเพียงคิดว่าท่านโชคดี แต่เมื่อมาใคร่ครวญในภายหลังก็พบว่าไม่มีเหตุผลอย่างยิ่ง มิหนำซ้ำยามที่หลงเทากู่และพวกต่อสู้กับข้า คาดไม่ถึงว่าพวกมันกลับไม่ใช้อาวุธ! นั่นก็เพราะพวกมันเกรงจะพลั้งมือทำให้ข้าาเ็สาหัสหรือถึงชีวิตขณะที่กลุ้มรุมข้า และยิ่งผิดปกติอย่างชัดเจนที่พวกมันกลับ‘ยอมแพ้’อย่างง่ายดายในตอนท้าย ใช่หรือไม่?”
“ต่อมาท่าทีที่ท่านมีต่อข้าก็แปรเปลี่ยนไปอย่างใหญ่หลวง ข้าสมควรยินดีที่เป็เช่นนี้ แต่ทุกครั้งที่ครุ่นคิดถึงเื่ที่ไม่สมเหตุสมผลทั้งหลายเหล่านี้ข้าก็ไม่อาจสงบจิตใจลงได้ จึงอ้างว่าเหน็ดเหนื่อยขอตัวกลับไปพัก หลังจากใคร่ครวญทั้งคืนข้าก็ยังไม่อยากเชื่อการคาดเดาของตนเอง ข้าไม่อยากเชื่อว่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นล้วนเป็เื่เสแสร้ง...”
“แต่กระนั้น สิ่งที่ข้าพบเห็นระหว่างเกิดเื่เมื่อยามบ่ายวันนี้ ก็ขยี้ความหวังเพียงน้อยนิดของข้าจนหมดสิ้น!”
“พูดถึงเื่นี้ ข้ายังต้องขอบคุณคนป่าเถื่อนจากสำนักเ้าอสูรนั้น ก่อนหน้านี้ข้ายังคิดว่าเป็แผนของท่านแต่ก็ไม่ใช่ การจู่โจมของเ้าคนโอหังผู้นั้นกลับเผยช่องโหว่ของท่านให้ข้าเห็น!”
“ท่านจำที่สุนัขป่าตัวมหึมานั้นพุ่งใส่ครั้งแรกได้หรือไม่? เพราะข้าไม่เคยเผชิญกับเหตุการณ์เช่นนี้มาก่อนจึงรับมืออย่างลนลาน ยามเผชิญการจู่โจมจากสุนัขป่าครั้งแรกข้าเลือกที่จะหลบ ทั้งลืมเลือนว่าท่านยังอยู่ที่ด้านหลัง แต่โชคดีที่ท่านหลบกรงเล็บที่จู่โจมใส่ได้พ้น ยามนั้นข้ายินดีแทบคลุ้มคลั่ง... แต่ก็พลันพบเห็นว่าท่านถลันกายโดยใช้เคล็ดิญญา! ยามเผชิญอันตรายอย่างกะทันหันท่านกลับใช้ท่าร่างเคล็ดิญญาโดยไม่รู้ตัว! และเคล็ดิญญานั้นก็เหมือนที่จางเจิ้นซานเคยใช้ต่อสู้กับข้าไม่มีผิด!”
“นี่หมายถึงอะไร? ย่อมหมายความว่าท่านมีส่วนเกี่ยวข้องกับสำนักธารน้ำแข็ง! แต่เื่นี้กลับขัดแย้งกับสิ่งที่ท่านบอกต่อข้าโดยสิ้นเชิง! ก่อนนี้ท่านบอกว่าได้รับการชี้แนะจากยอดฝีมือและทุ่มเทฝึกปรือเพียงพลังิญญาจึงแทบไม่รู้วิชาการต่อสู้ อีกทั้งไม่เคยฝึกเคล็ดิญญาอันใดมาก่อน... ลำพังแค่เื่นี้ก็เพียงพอจะพิสูจน์ได้แล้วว่าท่านกำลังโกหก!!”
“จากนั้น ท่านชักชวนให้ข้ามาพบกับบิดาท่าน... ฮ่า ฮ่า ไม่คิดว่าเื่นี้บังเอิญไปหน่อยหรือ? แต่ท่านก็ยังดำเนินแผนการนี้ต่อข้า หวังว่าจะหลอกถามและกระตุ้นให้ข้าเผยความลับเป็ครั้งสุดท้าย...”
“ข้าทราบดีแต่ก็ยังมา แม้ทุกอย่างที่เกิดขึ้นในวันนี้จะผิดปกติอย่างยิ่ง ข้าก็ยังหวังโดยไร้เหตุผลว่าทั้งหมดเป็เพียงภาพมายาที่ข้าสร้างขึ้น... แต่หลังจากที่ข้ามาถึงก็พบว่าที่แห่งนี้ยังคงเต็มไปด้วยการจัดฉาก คำพูดโดยบังเอิญ หัวข้อสนทนาโดยบังเอิญ...”
“ที่จริง ท่านก็คาดว่าข้าเริ่มสงสัยแล้วกระมัง? แต่ท่านก็ยังดำเนินแผนการต่อไป หรือท่านกำลังเดิมพัน? เดิมพันว่าความรักที่มีต่อท่านลึกล้ำพอ เดิมพันว่าข้าโง่งมพอ เดิมพันว่าความรักที่มีต่อท่านจะสามารถปิดหูปิดตาข้าได้??”
“ในสายตาของท่าน ั้แ่แรกข้าก็เป็เพียงตัวโง่งมที่ถูกท่านปั่นหัวจนไม่อาจเป็ตัวของตัวเอง ใช่หรือไม่?”
ไป๋หยุนเฟยกล่าววาจามากมายไม่หยุด จนแทบไม่เปิดโอกาสให้หลิวเมิ่งเอ่ยปาก ยามนี้ดูเหมือนมันจะกล่าวจนหมดสิ้นแล้วอีกทั้งยังกล่าวจนท้อแท้เหนื่อยล้า ไป๋หยุนเฟยเงยหน้าขึ้นมองใบหน้าของหลิวเมิ่งที่เปี่ยมด้วยความตื่นตะลึงพลางสั่นศีรษะแค่นหัวเราะเย้ยหยันตนเอง จากนั้นจึงหันหน้าไปยัง‘หลิวเอียน’ที่กลายเป็ซึมเซา ก่อนจะเหยียดยิ้มที่มุมปากอย่างเหยียดหยาม “คนผู้นี้ท่านคงหามาอย่างฉุกละหุกเพื่อช่วยท่านเล่นละคร...”
“จากฐานะของท่าน การหมั้นหมายระหว่างท่านกับจางหยางสมควรเป็เื่จริง และจางหยางก็เป็บุตรชายผู้าุโแห่งสำนักธารน้ำแข็ง ท่านเคยบอกว่าที่สำนักยังมีผู้าุโอีกท่านนามว่าหลิวเฉิง... ถ้าเช่นนั้นท่านสมควรเป็บุตรสาวของหลิวเฉิงกระมัง?”
หลังกล่าวจบไป๋หยุนเฟยก็หันไปมองประตูที่ปิดไว้ตลอดเวลา พร้อมกับกล่าวว่า “ข้าสมควรต้องขอบคุณท่านที่รออย่างเยือกเย็น ปล่อยให้ข้ากล่าววาจามากมายจนจบแทนที่จะออกมาจัดการข้าตามแผนกระมัง....’ท่านลุงหลิว’?”
ที่นอกประตูยังคงเงียบงันอยู่ชั่วขณะ จากนั้นประตูจึงถูกผลักเปิดออกและบุรุษวัยกลางคนสีหน้าเคร่งขรึมพร้อมกับบริวารอีกสองคนจึงเดินเข้ามา ดูเหมือนด้านนอกจะมีผู้คนคุมเชิงอยู่อีกไม่น้อย
บุรุษกลางคนผู้นี้ย่อมเป็หลิวเฉิง หลังจากเข้ามาในห้องก็ยืนที่หน้าประตูมองดูไป๋หยุนเฟย พร้อมกับเอ่ยปากด้วยน้ำเสียงเ็า “เฮอะ! นับว่าเ้าหลักแหลม! ทว่าแล้วอย่างไร? นับว่าเ้าโง่เขลาที่มาพียงลำพัง หรือเ้ายังคิดอีกว่าจะสามารถหลบหนีไปได้?”
“โอ เพราะแผนการท่านล้มเหลว ดังนั้นท่านตัดสินใจจะฉีกหน้าใช้กำลังแล้วหรือผู้าุโหลิว? ท่านทุ่มเทแรงกายแรงใจเพียงเพราะหนามธารน้ำแข็งที่จางเจิ้นซานนำกลับไปกระมัง? พวกท่านคิดหรือว่าหากคร่ากุมตัวข้าไว้แล้วจะล่วงรู้ความลับของมันได้?” ไป๋หยุนเฟยกวาดตามองรอบด้านราวกับไม่สะทกสะท้านกับสถานการณ์เบื้องหน้าแม้แต่น้อย
ท่าทีอันเยือกเย็นของไป๋หยุนเฟยทำให้หลิวเฉิงขมวดคิ้วเล็กน้อย ในสถานการณ์เช่นนี้ต่อให้แผนการมันล้มเหลวแต่ก็ยังเป็ฝ่ายได้เปรียบ แต่ไฉนอีกฝ่ายจึงไม่หวั่นไหวแม้แต่น้อย
หลิวเฉิงกวาดตามองหลิวเมิ่งพลางกล่าวว่า “เมิ่งเอ๋อร์ออกไปก่อน หมดหน้าที่ของเ้าแล้ว จากนี้ไปไม่ต้องยุ่งเกี่ยวเื่นี้อีก”
“บิดา... ท่านบอกว่า...”
สีหน้าหลิวเมิ่งแปรเปลี่ยนเป็ว้าวุ่นซับซ้อน ท้อแท้? สำนึกผิด? ตื่นตะลึง? มุมปากไป๋หยุนเฟยกระตูกวูบจากนั้นสั่นศีรษะแ่เบา
“บิดาทราบดีว่าควรลงมือระดับไหน เ้าไปได้แล้ว!” หลิวเฉิงเอ่ยปากตำหนิพร้อมกับสีหน้าที่เปลี่ยนเป็กระด้างเ็า
ทั้งร่างหลิวเมิ่งสั่นระริก นางยืนขึ้นโดยปราศจากคำพูดใด หลังจากมองดูไป๋หยุนเฟยแล้วจึงถอนหายใจอย่างเงียบงันก่อนจะเดินออกไปอย่างเชื่องช้า
ไป๋หยุนเฟยมองดูนางจากไปด้วยแววตาเรียบเฉย แต่ในใจมันกลับปวดร้าวทรมาน ชั่วขณะที่หลิวเมิ่งเดินออกจากประตูไป เงาร่างของหลิวเมิ่งในใจมันก็ค่อยๆเดินจากไปเช่นกัน จากไปพร้อมกับนำพาความรักอันไร้เดียงสาที่แสนเ็ปของมันติดตามไปด้วย...
ขณะรั้งสายตากลับมาไป๋หยุนเฟยก็สูดลมหายใจเข้าปอดอย่างแ่เบาก่อนจะผ่อนลมหายใจออกอย่างแช่มช้า แววตามันกลับกลายเป็เด็ดเดี่ยวและเ็า ยามที่จับจ้องไปที่หลิวเฉิงและบริวารทั้งสองก็ยื่นมือขวาออกพร้อมกับทวนเปลวอัคคีที่ปรากฏขึ้นในมือ ไป๋หยุนเฟยโคจรพลังิญญาก็ปรากฏคลื่นความร้อนแผ่กระจายไปทั่วห้องในพริบตา
“ที่ควรกล่าวล้วนกล่าวไปแล้ว ถ้าเช่นนั้น...”
“ลงมือเถอะ!!”
