Chapter 1
คนตัวเล็กสวมชุดสูทสีกรมที่เป็เอกลักษณ์ของนักศึกษาสาขาธุรกิจการบิน เดินเข้ามาภายในห้องจัดนิทรรศการภาพถ่ายที่จัดร่วมกันระหว่างคณะนิเทศศาสตร์และคณะดิจิทัลมีเดีย ใกล้เลือกมาที่นี่ในตอนเย็นเพราะคิดว่าไม่ค่อยมีคน อย่างเช่นตอนนี้ที่มีเขาเพียงคนเดียวในห้องกว้างที่เต็มไปด้วยภาพถ่าย
ดวงตาเรียวรีมองไปยังป้ายขนาดใหญ่ที่ติดอยู่บนผนัง คำว่า ‘เงา’ ที่อยู่บนแผ่นป้ายทำให้ใกล้รู้คอนเซ็ปต์ของงานครั้งนี้ ภาพถ่ายทุกภาพจึงสื่อถึงเงาทั้งหมด ทว่ามีเพียงภาพเดียวที่ใกล้ชอบมากที่สุด
เขาหยุดยืนตรงภาพหนึ่ง…ใกล้มองพระจันทร์เต็มดวงที่ลอยเด่นอยู่บนท้องฟ้าสีหม่น แสงสีเหลืองนวลที่สาดกระทบบนผืนทะเลกลายเป็ภาพสะท้อน คล้ายว่ามีดวงจันทร์อีกดวงอยู่ในท้องทะเล แต่แท้จริงแล้วมันเป็เพียงแค่เงาของพระจันทร์เท่านั้น
ดวงจันทร์…ยังมีดวงเดียวเสมอ
ใกล้ยิ้มบางก่อนจะเลื่อนสายตามองป้ายข้อมูลสีขาวเล็กๆ ที่ติดอยู่ข้างรูปภาพ คนถ่ายภาพนี้เป็นักศึกษาคณะดิจิทัลมีเดีย สาขากราฟิก และภาพนี้มีชื่อว่า…
‘หลงเงาจันทร์’
เขาคิดว่าคนถ่ายภาพนี้มีความคิดสร้างสรรค์พอสมควร ทั้งยังมีฝีมือมากถึงได้ถ่ายภาพออกมาสวยขนาดนี้ ใกล้ไม่รู้ว่าคนถ่ายภาพนี้เรียนเก่งแค่ไหน แต่เพราะเหตุการณ์ในวันนั้นทำให้เขาพอจะรู้ว่า…
คนที่ถ่ายภาพนี้…เป็คนใจดี
และเพราะความใจดีของเ้าของภาพ ‘หลงเงาจันทร์’
จึงทำให้เขาหวนนึกถึงวันนั้นอีกครั้ง…
Gun : จะสามทุ่มแล้ว มึงถึงร้านหรือยัง?
glaijai : เลี้ยวแยกข้างหน้าก็ถึงร้านแล้ว
Gun : ถ้าพรุ่งนี้กูไม่ต้องไปช่วยแม่ซื้อของแต่เช้านะ กูไปด้วยแล้ว
glaijai : ไม่ต้องเป็ห่วงหรอกกันต์ หลังจากวันนั้นที่ได้เคลียร์กันไป เราว่าทั้งสามคนนิสัยดีขึ้นเยอะเลย
Gun : พวกมันไม่ได้นิสัยดีขึ้นหรอก แต่พวกมันแค่พยายามทำดีกับมึงอยู่ เพราะมึงมีผลประโยชน์กับพวกมันไง คนที่ดีกับมึงจริงๆ คือเมย์ เพราะเมย์ดีกับมึงมาั้แ่แรกๆ แล้ว
Gun : กูรู้ว่ามึงรู้ว่าใครดีกับมึงจริงๆ
glaijai : ก็อย่างที่เราบอกไปนั่นแหละ เราอยากให้ทุกคนได้ลองปรับตัวกันอีกสักครั้งก่อน แต่ถ้ายังกลับไปเป็แบบเดิมอีก ครั้งนี้เราคงพอแล้ว
Gun : ถ้าพวกนั้นทำตัวแบบเดิมอีก มึงควรพอจริงๆ นั่นแหละ
Gun : กูเข้าใจมึงนะ
Gun : เข้าใจว่าตอนนี้ทุกอย่างมันยากสำหรับมึง แต่กูเชื่อว่ามึงจะผ่านไปได้
glaijai : ขอบคุณมากนะกันต์ ขอบคุณที่ยังอยู่ข้างๆ กันเสมอ
Gun : ใครทิ้งมึงได้ก็บ้าแล้ว
glaijai : send a sticker
Gun : ไอ้สติกเกอร์กระต่ายยิ้มน่ารักๆ นี่มันเหมาะกับมึงจริงๆ
glaijai : กันต์ เราจะถึงร้านแล้ว ไว้ค่อยคุยกันนะ
Gun : โอเคๆ ดูแลตัวเองด้วย
glaijai : send a sticker
ใกล้ส่งสติกเกอร์เพื่อบอกลาเพื่อนสนิทที่คบกันมาั้แ่สมัยมัธยมก่อนจะชะเง้อหน้ามองมิเตอร์ เขาล้วงหยิบกระเป๋าสตางค์ออกมาจากกระเป๋ากางเกงเพื่อเตรียมเงินจ่ายค่ารถ เมื่อถึงที่หมายเขาจึงยื่นเงินจำนวนหนึ่งที่อยู่ในมือให้คนขับแท็กซี่ ก่อนจะพูดทิ้งท้ายว่าไม่ต้องทอนแล้วลงจากรถ
วันนี้เพื่อนในกลุ่มชวนมาเลี้ยงฉลองที่ร้านเหล้าหลังจากผ่าน่สอบอันหนักหน่วง ความจริงใกล้ไม่ค่อยชอบมาสถานที่แบบนี้สักเท่าไหร่ เขาไม่ชอบดื่มแอลกอฮอล์และไม่ชอบเที่ยวกลางคืนเลย ทว่า่หลังๆ ความสัมพันธ์ของเขากับเพื่อนในกลุ่มไม่ค่อยดีนัก เมื่ออาทิตย์ที่แล้วใกล้เรียกทุกคนมารวมตัวกันเพื่อเคลียร์ปัญหาที่เกิดขึ้นภายในกลุ่ม หลังจากนั้นทุกคนก็พยายามปรับตัวเข้าหากัน ความสัมพันธ์ของพวกเราจึงเป็ไปในทางที่ดีขึ้น
ใกล้ยอมรับว่าตัวเองมีไลฟ์สไตล์ต่างจากเพื่อนในกลุ่มมากพอสมควร เพื่อนๆ ชอบมาสังสรรค์กันเป็ประจำ ทุกครั้งที่เพื่อนชวนใกล้จะปฏิเสธตลอด แต่ครั้งนี้ใกล้ตอบตกลงเพราะอยากให้เพื่อนรู้ว่าเขาพยายามปรับตัวอยู่เหมือนกัน
เพื่อให้พวกเราไปด้วยกันได้
แม้จะอยากประคับประคองความสัมพันธ์ของเพื่อนไว้สักแค่ไหน
แต่ใกล้ยังไม่ลืมที่จะรักษาตัวตนของตัวเองไว้
การปรับตัวในครั้งนี้…ใกล้คิดว่าต้องอยู่ในจุดที่ตัวเองรับไหว เราต้องเดินมาเจอกันคนละครึ่งทาง เหมือนอย่างที่ใกล้ทำในตอนนี้ เขาเลือกจะออกมาสังสรรค์กับเพื่อนบ้าง แม้จะไม่ได้ออกมาดื่มด้วยบ่อยๆ แต่อย่างน้อยใกล้ยังได้ใช้เวลาร่วมกับเพื่อนในกลุ่ม นอกเหนือจากเวลาอยู่ด้วยกันที่มหา’ ลัย
นี่คือวิธีปรับตัวในแบบของใกล้
“ใกล้ ทางนี้…”
และนี่คงเป็วิธีปรับตัวในแบบของเพื่อน
ใกล้ที่เดินเข้ามาในร้านพยักหน้าตอบรับเพื่อนในกลุ่มที่กำลังโบกมือเรียกเขาอยู่ เขารีบสาวเท้าเดินไปที่โต๊ะของเพื่อน ใกล้หยุดมองเก้าอี้ว่างสองตัวที่อยู่ข้างๆ กัน
“ใกล้นั่งดิ” เมย์เอามือตบที่เก้าอี้ไม้ดังแปะๆ เป็เชิงชวนให้เขานั่งลงข้างๆ เ้าตัว
ใกล้ขมวดคิ้วเล็กน้อยขณะมองเพื่อนในกลุ่มที่นั่งอยู่ ตอนนี้ทุกคนมากันครบหมดแล้ว ทว่ายังมีเก้าอี้ว่างเหลืออีกสองตัว แต่เขาคิดว่าเก้าอี้เหลือเกินจำนวนสมาชิกเป็เื่ปกติ ใกล้จึงหย่อนก้นนั่งลงโดยไม่ได้ถามอะไร
“ใกล้ดื่มอะไร เดี๋ยวเราสั่งให้…” เมย์เอ่ยถาม
“มีโค้กไหมเมย์?”
“มีๆ”
“มาร้านเหล้าทั้งที ทำไมดื่มแค่โค้กวะ ใกล้?”
ใกล้ที่กำลังล้วงโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋ากางเกงเงยหน้ามองทศที่เป็เพื่อนผู้ชายเพียงคนเดียวในกลุ่ม ซึ่งเขาไม่ค่อยสนิทกับทศสักเท่าไหร่ “เราไม่ชอบดื่มแอลกอฮอล์”
“แล้วมึงเคยลองหรือยัง?”
“เคยลองแล้ว แต่เราไม่ค่อยชอบ”
“ทศ…เพื่อนไม่ดื่มก็ไม่ดื่มดิ มึงจะคะยั้นคะยอทำไมอะ?” เมย์เอ่ย
“กูคะยั้นคะยอที่ไหนเมย์ มึงพูดแบบนี้ กูดูเป็คนไม่ดีไปเลย”
ใกล้ลอบถอนหายใจขณะมองทศกับเมย์ที่สู้สายตากันอย่างไม่ลดละ ทั้งสองคนชอบเถียงกันบ่อยๆ เพราะความเห็นไม่ค่อยตรงกัน แม้เมย์จะเป็ผู้หญิง แต่เ้าตัวไม่เคยแสดงออกว่ากลัวทศเลยสักนิด แต่ก่อนเมย์จะชอบไปดื่มกับนิวและอรบ่อยๆ ทว่าพอมีทศเข้ามาในกลุ่ม เมย์เลยเลือกไปดื่มกับเพื่อนต่างคณะของตัวเองแทน
ในกลุ่มของใกล้มีกันอยู่ห้าคน ซึ่งสมาชิกมี เขา เมย์ นิว อร และทศ พวกเราไม่ได้สนิทกันทุกคน เพราะเพิ่งมารวมกลุ่มกันใหม่ตอนเปิดเทอมของปีสอง ตอนแรกใกล้มีเพื่อนสนิทอยู่สองคน ทว่าเพื่อนสนิทได้ย้ายไปเรียนอีกคณะแทน ใกล้จึงต้องหาเพื่อนใหม่ และหลายๆ คนประสบปัญหาเพื่อนในกลุ่มย้ายคณะ เพราะเมื่อเข้ามาเรียนสาขาธุรกิจการบินแล้วมีกฎระเบียบให้ปฏิบัติตามเยอะ และเมื่อลองเรียนไปได้หนึ่งปีก็รู้ว่าไม่ใช่สิ่งที่ชอบจริงๆ
ส่วนคนที่ยังชอบและเลือกเรียนสาขานี้ต่อ จึงต้องหาเพื่อนใหม่กันเกือบทั้งหมด ตอนเปิดเทอมอาทิตย์แรก ใกล้เจอกับเมย์ก่อน เราอยู่ด้วยกันได้อาทิตย์กว่าๆ ก็เจอนิว หลังจากนั้นนิวจึงพาอรเข้ามาในกลุ่ม และตามด้วยทศ
ความสัมพันธ์ของพวกเราค่อนข้างแย่ตอนที่ทศเข้ามา เมย์มักจะทะเลาะกับทศบ่อยๆ เพราะทศไม่ค่อยรับผิดชอบงานในส่วนของตัวเอง แต่ไม่เพียงแค่ทศเท่านั้นที่ทำแบบนี้ ่หลังนิวกับอรชอบเกี่ยงงานอยู่บ่อยๆ ด้วย
ทว่าที่แย่สุดๆ จนเขากับเมย์รับไม่ได้คือการที่ทั้งสามคนรับผิดชอบงานในส่วนของตัวเองไปแล้ว แต่เมื่อใกล้ถึงเวลาส่งงานกลับบอกว่าทำไม่ทัน จะต้องให้เขากับเมย์ช่วยทำงานส่วนที่เหลือให้ด้วย เพื่อจะได้มีงานส่งทันตามกำหนด
เพราะเหตุการณ์นี้ที่ทำให้ใกล้ตัดสินใจเรียกทุกคนมารวมตัวกันเพื่อเคลียร์ปัญหา ใกล้พูดตรงๆ โดยไม่อ้อมค้อมว่าถ้าทุกคนยังขาดความรับผิดชอบแบบนี้ เขาไม่สามารถทำงานด้วยได้แล้ว และพวกเราอาจจะต้องแยกกัน ส่วนเมย์ทนไม่ไหวด่ากราดไปหนึ่งชุด จนเกือบมีเื่กับทศ แต่เขาห้ามไว้ก่อน คงเพราะทั้งสามคนรู้ว่าตัวเองผิดจึงขอโทษและขอโอกาสอีกครั้ง
ใกล้ตัดสินใจให้โอกาสเพื่อนได้เปลี่ยนตัวเอง และเขาก็ให้โอกาสตัวเองได้ลองปรับตัวเข้าหาเพื่อนด้วย เพราะพวกเราเพิ่งรู้จักกันไม่กี่อาทิตย์ บางทีเราอาจจะใช้เวลาร่วมกันน้อยไป ใกล้คิดว่าไม่มีใครชอบเริ่มความสัมพันธ์ใหม่หลายๆ ครั้ง แม้จะเป็ความสัมพันธ์ในรูปแบบเพื่อนก็ตาม
เพราะไม่มีใครอยากเดินกลับไปที่จุดเริ่มต้นทั้งที่เดินมาครึ่งทางแล้ว…
ใกล้รู้ดี…ถึงได้พยายามประคับประคองความสัมพันธ์ของพวกเราอยู่แบบนี้
“ตอนนี้พวกมึงเถียงกันให้พอนะ ถ้าพันลี้ออกมาร้องเพลงแล้วห้ามเถียงกันเด็ดขาด!”
“…”
ใกล้มองนิวที่กำลังนั่งมองเวทีอยู่ นิวเคยบอกว่าแอบชอบพันลี้มาหลายเดือนแล้ว แต่ใกล้ไม่ค่อยได้สนใจสักเท่าไหร่ เขาเคยได้ยินชื่อของพันลี้มาบ้าง เพราะตอนประกวดเดือนปีเขา มีแต่คนพูดถึงพันลี้
และเพราะลูกพี่ลูกน้องของเขาเป็เพื่อนสนิทกับหมื่นฟ้าที่เป็พี่ชายของพันลี้ พี่ดอมจึงเล่าเื่ของพันลี้ให้ฟังบ้าง พี่ดอมบอกว่าพันลี้เรียนคณะดิจิทัลมีเดีย สาขากราฟิก เหมือนพี่ดอมกับหมื่นฟ้า แต่อยู่ชั้นปีเดียวกับเขา ใกล้รู้เพียงเท่านี้ แต่ไม่เคยเห็นพันลี้ที่เพื่อนคลั่งไคล้เลยสักครั้ง
“เมื่ออาทิตย์ที่แล้ว…ได้ข่าวว่านิวให้ใกล้ไปขอไลน์พันลี้ให้เหรอ?” เมย์เอ่ยถามเสียงแ่
“อื้อ…นิวเห็นเรายืนคุยกับพี่ดอมพี่ฟ้าที่หน้าคณะ นิวคงคิดว่าเรารู้จักกับพันลี้ด้วยมั้ง”
“…”
“เราเลยปฏิเสธไป…แล้วก็บอกว่าเราไม่รู้จักกับพันลี้ เราไม่กล้าไปขอให้หรอก”
“แล้วนิวเชื่อไหมล่ะ?”
ใกล้ถอนหายใจพลางนึกถึงสีหน้าของนิวในตอนนั้น ก่อนจะส่ายหน้าเบาๆ “เหมือนจะไม่เชื่อนะ”
“บ้าปะ? ...รู้จักกับพี่ชาย แล้วจำเป็ต้องรู้จักกับน้องชายด้วยเหรอ?”
“…”
“งงกับตรรกะอีนิว”
ใกล้หัวเราะเบาๆ ขณะมองเมย์ที่กระดกดื่มเหล้าด้วยอารมณ์หงุดหงิด เพราะเมย์ชอบพูดตรงๆ จึงทำให้เ้าตัวดูเป็คนแรงๆ แต่ใกล้ชอบที่เมย์เป็แบบนี้ เพราะทำให้เขารู้ว่าเ้าตัวเป็คนจริงใจ คิดอย่างไรก็พูดอย่างนั้น
เขาละสายตาจากเมย์เพื่อมองที่เวที ใกล้รู้สึกตงิดในใจตอนที่นิวพูดถึงพันลี้ เขาคิดว่าการมานั่งดื่มกันครั้งนี้คงไม่ได้มีจุดประสงค์เพื่อมาผ่อนคลายอย่างที่เพื่อนบอกในตอนแรก เขาจึงเอ่ยถามเมย์เพื่อยืนยันว่าไม่ได้คิดไปเองคนเดียว
“ถ้าพันลี้มาร้องเพลงที่ร้านนี้ แสดงว่านิวไม่ได้ตั้งใจชวนทุกคนมาดื่มเพื่อผ่อนคลายอย่างที่บอกใช่ไหม?”
“เราก็เพิ่งรู้เหมือนใกล้นี่แหละ…”
“…”
“ตอนแรกคิดว่ามาดื่มแล้วนั่งคุยกันสนุกๆ แต่ที่แท้ก็มาตามพันลี้”
เป็อย่างที่เขาคิดจริงๆ ด้วย
ใกล้ยิ้มบางเพื่อปลอบใจเมย์ที่แสดงสีหน้าไม่สบอารมณ์ ก่อนเอ่ย “เอาน่า…คิดซะว่ามานั่งดื่มเพื่อกระชับความสัมพันธ์”
“นิวได้กำไรคนเดียวไง ค่าเหล้าก็มีเพื่อนหาร แถมยังได้เจอคนที่ชอบอีก”
ใกล้หัวเราะเบาๆ ก่อนจะกวาดสายตามองบรรยากาศภายในร้าน ทว่าเขาเห็นผู้ชายร่างสูงหน้าตาดีคนหนึ่งกำลังเดินมาที่โต๊ะ ใกล้ลอบถอนหายใจพลางสะกิดแขนเมย์เบาๆ
“เื่มาตามพันลี้ เรายังพอเข้าใจได้นะ แต่เื่ที่ชวนคนนี้มาแล้วไม่ยอมบอก เราไม่ค่อยโอเคเลย”
“พวกมันชวนใครมาอีก?” เมย์เอ่ยถาม ใกล้จึงพยักพเยิดหน้าไปทางแขกคนใหม่ที่เพิ่งเดินมาถึงโต๊ะ เมย์เงยหน้ามองคนตัวสูงที่หยุดยืนตรงหน้าทศ เพื่อนถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ก่อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงไม่ชอบใจ “ไอ้เมฆ”
“…”
ใกล้เหลือบมองเก้าอี้ข้างกายที่ว่างอยู่ ตอนนี้เขารู้แล้วว่าเก้าอี้ตัวนี้มีเ้าของั้แ่แรก มันไม่ได้เหลือเกินจำนวนสมาชิกอย่างที่คิด เมฆเป็เพื่อนต่างคณะของทศ เ้าตัวตามจีบเขามาเกือบอาทิตย์แล้ว แต่ใกล้ไม่ชอบจึงปฏิเสธไป ทว่าเมฆยังตามตื๊อไม่เลิก เขาเลยต้องหลบหน้าเมฆเวลาเจอกันที่มหา'ลัย
เขาคิดว่าที่เมฆกล้ารุกจีบ เพราะเ้าตัวคงรู้ว่าเขาชอบผู้ชายด้วยกัน และคนที่บอกเื่นี้กับเมฆน่าจะเป็ทศ เพราะตอนปีหนึ่งเขาเคยสารภาพรักกับรุ่นพี่ที่เป็ผู้ชาย ทว่าโดนปฏิเสธกลับมา เพื่อนชั้นปีเดียวกันรู้เื่ที่เขาสารภาพรักกับพี่ชินเยอะพอสมควร และใกล้คิดว่าทศน่าจะรู้เื่นี้ด้วย
เมฆเลยตามจีบเขาไม่เลิก
แต่ถึงใกล้จะชอบผู้ชายด้วยกัน
ก็ไม่ใช่ผู้ชายทุกคนที่เขาจะตกหลุมรัก
“กูเป็คนชวนไอ้เมฆมาเองเพราะมันบอกว่าพันลี้จะมาร้องเพลงที่ร้านนี้ พวกมึงคงไม่ว่าอะไรนะ?”
“จะว่าได้ไง…ต้องขอบคุณเมฆด้วยซ้ำที่ให้ทศมาบอกเรา”
“ไอ้ทศมันบอกว่านิวชอบพันลี้มาหลายเดือนแล้ว พอดีเพื่อนเราเป็เพื่อนกับพันลี้ เราได้ยินเื่ที่พันลี้จะมาร้องเพลงที่ร้านนี้…ก็เลยรีบให้ไอ้ทศไปบอกนิว”
“ขอบคุณมากนะ…” นิวพูด ก่อนจะชี้นิ้วมาที่เก้าอี้ว่างข้างๆ เขา “นั่งสิเมฆ เก้าอี้ข้างๆ ใกล้น่ะ”
เมฆพยักหน้ารับนิว ก่อนจะนั่งลงข้างๆ เขา
“…”
ใกล้ไม่หันไปมองคนข้างกายสักนิด เขามองนิวที่ส่งยิ้มให้เมฆอยู่ สถานการณ์ตอนนี้ไม่ต่างจากการจัดฉาก คล้ายว่าเมฆเอาเื่ของพันลี้มาแลกกับการได้เจอเขา และนิวดันยอมทำแบบนี้เพียงเพราะอยากเจอคนที่ตัวเองชอบเหมือนกัน
ใกล้ไม่ชอบความรู้สึกในตอนนี้เลย
เหมือนเขากำลังโดนหลอก…
“ใกล้ มานั่งตรงนี้…เราอยากนั่งข้างๆ เมฆ” เมย์เอ่ยพร้อมคว้าแขนเขา ใกล้ลุกตามแรงดึงของเมย์เพื่อเปลี่ยนไปนั่งเก้าอี้ของเ้าตัว ส่วนเมย์ย้ายไปนั่งข้างๆ เมฆแทน
“ทำไมมึงต้องอยากนั่งข้างๆ ไอ้เมฆด้วย”
“กูก็อยากเป็คนกลางบ้างไงทศ…แต่ไม่ต้องห่วงนะ คนกลางอย่างกูไม่ทำให้เพื่อนลำบากใจหรอก”
“…”
“เมย์ มึงอย่าคิดมากดิ” อรเอ่ย
ใกล้เข้าใจในสิ่งที่เมย์สื่อ คงเพราะเมย์พูดจี้ใจดำจึงทำให้ทศแสดงอาการไม่พอใจ ตอนนี้เขาคิดถึงประโยคคำพูดของกันต์ขึ้นมาทันที ใกล้รู้แล้วว่าตัวเองคิดผิด…เพื่อนไม่ได้เปลี่ยนไปเลยสักนิด
ยังคงหาผลประโยชน์จากเขาเหมือนเดิม…
โดยไม่สนใจความรู้สึกกันเลย
“กูคิดมากก็ดีกว่าไม่คิดอะไรเลย”
“เมย์…” ใกล้เอื้อมมือไปแตะที่แขนเมย์เบาๆ เป็เชิงห้าม เขาไม่อยากให้เมย์ทะเลาะกับทุกคนเพราะเื่นี้ ใกล้เคลื่อนหน้าเข้าไปใกล้เพื่อน ก่อนเอ่ย “เดี๋ยวเราจัดการเอง”
เมย์ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ เ้าตัวพยักหน้าตอบรับโดยไม่พูดอะไร
“…”
“พันลี้มาแล้ว…”
ตอนนี้ใกล้ไม่ได้สนใจอะไรทั้งนั้น เขายอมรับว่าหงุดหงิดมากจนอยากจะลุกออกจากโต๊ะ แต่ใกล้ยังเป็ห่วงเมย์และอยากพูดถึงเื่ที่ทศชวนเมฆมาโดยไม่บอก ทว่าเสียงกรี๊ดที่ดังระงมทำให้เขาต้องมองไปที่เวที โต๊ะของเขาอยู่ไม่ไกลจากเวทีมากนัก จึงทำให้เห็นคนบนเวทีได้อย่างชัดเจน
ใกล้เห็นผู้ชายผิวขาวจัด ตัวสูงราวๆ ร้อยแปดสิบห้าเดินขึ้นมาบนเวที เ้าของเรือนผมสีบลอนด์ทอง เซ็ตผมเปิดหน้าเผยให้เห็นดวงตาเรียวยาว จมูกโด่งเป็สัน และริมฝีปากอิ่มเป็กระจับ ใกล้คิดว่าทุกอย่างที่อยู่บนใบหน้าเข้ารับกับรูปหน้าเรียวยาวได้เป็อย่างดี
คนนี้สินะ…
‘พันลี้’
พอได้เห็นพันลี้ตัวเป็ๆ ใกล้ไม่แปลกใจเลยสักนิดที่มีคนชอบเ้าตัวเยอะ เพราะนอกจากจะหล่อตี๋ตามสไตล์คนไทยเชื้อสายจีนแล้ว ใบหน้าของเ้าตัวติดจะขี้เล่นตลอดเวลา คงเพราะแววตาแพรวพราวและรอยยิ้มกรุ้มกริ่มนั่น ถึงทำให้พันลี้ดูมีเสน่ห์มากยิ่งขึ้น
พันลี้ดูเ้าชู้จัง
ต่างจากพี่ฟ้าเลย…
“พันลี้เวลาแต่งชุดนักศึกษาว่าหล่อแล้วนะ แต่พอแต่งตัวธรรมดาหล่อกว่าเดิมอีก”
ใกล้หันมองเมย์ที่กำลังยกแก้วขึ้นกระดกดื่ม
“…”
เพราะเขาไม่เคยเห็นพันลี้ที่มหา’ ลัยเลยสักครั้ง ใกล้จึงไม่รู้ว่าเ้าตัวดูดีกว่าเดิมแค่ไหน เขามองคนบนเวทีอีกครั้ง พันลี้สวมเสื้อเชิ้ตแขนสั้นสีขาวที่มีลายใบไม้สีเขียวเล็กๆ กระจายทั่วทั้งตัว กระดุมสามเม็ดบนถูกปลดออก ชายเสื้อสอดทับในกางเกงยีนสีดำ เ้าตัวใส่นาฬิกาสายหนังสีน้ำตาลไหม้ และสวมรองเท้าผ้าใบสีดำ
ตอนนี้พันลี้คงจะหล่อมากกว่าตอนใส่ชุดนักศึกษาอย่างที่เมย์พูดจริงๆ แหละมั้ง…
“พวกมึง เดี๋ยวกูมานะ โต๊ะข้างหน้าแม่งนั่งบังหมดเลย”
“มึงมองไม่เห็นพันลี้เหรอ? กูว่าก็เห็นชัดอยู่นะนิว”
“กูเห็นเขาชัด แต่เขาไม่เห็นกูไง โดนอีพวกข้างหน้าบังจนมิดเลย”
นิวที่ไม่สนใจอะไรนอกจากความสุขของตัวเองลุกออกจากโต๊ะเพื่อไปยืนข้างๆ เวที ใกล้หลุบตามองแก้วโค้กตรงหน้าพลางคิดว่าโอกาสที่ให้ไปอาจจะสูญเปล่า เขาไม่คิดเลยว่าตัวเองจะต้องกลับมาเสียความรู้สึกกับเพื่อนในกลุ่มอีกครั้ง
ใกล้จริงใจกับทุกคน
และพร้อมปรับตัวเข้าหาเพื่อนเสมอ
แต่สิ่งที่ได้รับกลับมา…แตกต่างกันมากจริงๆ
“วันนี้พี่น็อตนักร้องประจำติดธุระไม่สามารถมาร้องเพลงได้ ผมเลยต้องมาร้องเพลงแทนครับ”
“…”
น้ำเสียงขี้เล่นของคนบนเวทีช่วยทำให้ใกล้หลุดพ้นจากความรู้สึกแย่ๆ ไปชั่วครู่ เขามองคนตัวสูงที่ยืนถือไมค์อยู่ ส่วนมืออีกข้างของเ้าตัวกำลังจับสายไฟสีดำพันรอบมือตัวเองเพื่อลดความยาวของสายไมค์
“พอดีเ้าของร้านเป็รุ่นพี่ที่สนิทกัน เขาเลยบังคับให้คนร้องเพลงห่วยๆ อย่างผมมาร้องเพลงให้”
ประโยคคำพูดของพันลี้เรียกเสียงหัวเราะจากทุกคนได้เป็อย่างดี เ้าตัวดูไม่กังวลหรือเกร็งเลยสักนิด พันลี้สามารถพูดเล่นกับคนดูได้อย่างเป็ธรรมชาติ ใกล้คิดว่าเ้าตัวน่าจะเคยร้องเพลงบนเวทีบ่อยๆ เพราะพันลี้ไม่มีอาการตื่นเวทีเลยสักนิด
“ถ้าผมร้องเพลงไม่เพราะหรือมีอะไรผิดพลาด…ให้อภัยนักร้องจำเป็อย่างผมด้วยนะครับ”
เมื่อจบประโยคออดอ้อนของนักร้องจำเป็ เสียงกรี๊ดก็ดังขึ้นอีกครั้ง ใกล้คิดว่าไม่ใช่แค่นิวเพียงคนเดียวที่ชอบพันลี้ แต่ผู้หญิงหลายคนที่อยู่ในร้านก็ชอบพันลี้ไม่ต่างกัน
ใกล้ละสายตาจากเวทีแล้วมองไปโดยรอบเพื่อดื่มด่ำกับบรรยากาศภายในร้าน ทว่าเขารู้สึกเหมือนมีสายตาคู่หนึ่งกำลังจ้องมองกันอยู่ ใกล้หันไปสบตากับเ้าของดวงตาคู่คมเพียงเสี้ยววินาที ก่อนจะหลุบตามองที่แก้วโค้กแทน
เมฆมองเขาตลอดเลย…
ใกล้รู้ว่าตัวเองไม่สามารถหลบสายตาเมฆด้วยการมองแก้วโค้กได้ตลอดเวลา เขาจึงหาจุดพักสายตาใหม่ ใกล้ทอดสายตาไกลออกไป แต่จุดพักสายตาที่ดีที่สุดคงไม่พ้นเวทีตรงหน้า
เขาเห็นพันลี้ยิ้มหัวเราะกับมือเบส เ้าตัวหันไปพยักหน้าให้มือกลองที่อยู่ด้านหลัง ก่อนที่เสียงกีตาร์ กลอง และเบสอันหนักหน่วงจะเริ่มบรรเลงขึ้น พันลี้เปิดตัวด้วยเพลงร็อก ใกล้คิดว่าคนที่มีรอยยิ้มเปื้อนอยู่บนใบหน้าตลอดเวลาเลือกเพลงได้ดีทีเดียว เพราะเป็เพลงฮิตติดหูที่ทุกคนคงเคยได้ยิน
และเมื่อเ้าของรอยยิ้มขี้เล่นเปล่งเสียงร้องออกมา…
“เพียงแค่เธอสบตา เพียงแค่เธอผ่านมา แค่เพียงได้เคียงข้าง ได้ยินเสียงแค่บางๆ ทำให้ใจสั่นสะท้าน”
เสียงร้องกรี๊ดที่ใกล้คิดว่าดังอยู่แล้ว ก็ยิ่งดังมากขึ้นไปอีก…
“แต่เธอทำให้ต้องผิดหวัง ตอนที่เธอบอกฉัน ว่ามันคงไม่มีวันที่เรานั้น ได้คู่กันก็เพราะเื่ราวของฉัน”
“…”
“บ้างก็ว่าฉันเป็คนอย่างนั้น บ้างก็ว่าฉันเคยทำอย่างนี้ ว่ากันว่าฉันเป็คนไม่ดี ว่าแต่ว่าไม่เคยคุยกับฉันสักที”
“…”
“สรุปว่าฉันนั้นดูไม่ดี ทั้งที่เธอไม่ดู พอท้าให้เธอได้ดู เธอก็ดันรู้ดีว่าฉันเป็อย่างไร จากน้ำลายของใครต่อใคร”
นี่เป็การดูดนตรีสดครั้งแรกของเขา ใกล้ไม่ได้คาดหวังมากนัก ทว่าพันลี้ทำออกมาได้ดีเกินคาด เ้าตัวคงไม่รู้ว่าตัวเองทำให้คนที่ไม่ชอบฟังเพลงร็อกอย่างเขาอยากฟังต่อเรื่อยๆ
ใกล้คิดว่าไม่ใช่เพียงแค่เสียงร้องเพราะๆ ของเ้าตัวที่สามารถดึงความสนใจจากทุกคน แต่ท่วงท่าการขยับตัวตามจังหวะเพลงและรอยยิ้มขี้เล่นนั้น ทำให้พันลี้สามารถสะกดคนดูไว้ได้
“แปลกแต่จริง ที่เธอจะทิ้งกันไป เพราะเหตุนั้น แปลกแต่จริง ที่เราตัดสินกันไปอย่างนั้น”
ในตอนที่มือกีตาร์โชว์ฝีมือโซโล่เดี่ยวเพียงคนเดียว พันลี้ดึงไมค์ออกจากขาตั้งและเดินไปหยุดอยู่ข้างๆ มือกีตาร์ เ้าตัวหยอกล้อกับอีกฝ่ายด้วยรอยยิ้มอย่างสนิทสนม ก่อนจะเดินมาที่หน้าเวทีแล้วเริ่มร้องเพลงในท่อนถัดไป
“บ้างก็ว่าฉันเป็คนอย่างนั้น บ้างก็ว่าฉันเคยทำอย่างนี้ ว่ากันว่าฉันเป็คนไม่ดี ว่าแต่ว่าไม่เคยคุยกับฉันสักที”
“…”
“สรุปว่าฉันนั้นดูไม่ดี ทั้งที่เธอไม่ดู พอท้าให้เธอได้ดู เธอก็ดันรู้ดีว่าฉันเป็อย่างไร จากน้ำลายของใครต่อใคร”
“…”
“สรุปว่าฉันนั้นดูไม่ดี ทั้งที่เธอไม่ดู พอท้าให้เธอได้ดู เธอก็ดันรู้ดีว่าฉันเป็อย่างไร จากน้ำลายของใครต่อใคร”
เสียงร้องกรี๊ดและเสียงปรบมือดังขึ้นเมื่อนักร้องจำเป็ร้องเพลงจบ พันลี้ยิ้มกว้างพลางยกมือข้างหนึ่งขึ้นปาดบนใบหน้าและลำคอของตัวเองลวกๆ ใกล้คิดว่าเ้าตัวกำลังซับเหงื่อของตัวเองอยู่ ก่อนจะเริ่มพูดคุยกับคนดูที่นั่งโต๊ะใกล้เวที
ผู้ชายแมนๆ
ผ้าเช็ดหน้าไม่พก กระดาษทิชชูไม่มี
“ใกล้ พันลี้อย่างสุด…ร้องเพลงน้ำลายได้มันขนาดนี้ ไม่ธรรมดาเลยนะ”
ใกล้ยิ้มเมื่อเห็นเมย์พูดด้วยน้ำเสียงและสีหน้าชื่นชม ั้แ่คบกันมา ใกล้เพิ่งเคยเห็นเมย์ถูกใจอะไรบางอย่างมากๆ ก็คราวนี้ “ถึงเราจะไม่เคยดูดนตรีสดมาก่อน…แต่เราคิดว่าพันลี้ทำได้ดีมากจริงๆ”
“ดีมากจริงๆ นะ เราดูมาหลายร้านแล้วใกล้ แต่พันลี้จัดว่าดี…วงดนตรีก็เล่นดี ดีไปหมดเลยอะ”
ใกล้หัวเราะออกมาเบาๆ ขณะมองเพื่อนที่พูดชมพันลี้และวงดนตรีไม่ขาดปาก เมย์คงจะประทับใจมากจริงๆ
ทว่าใกล้ต้องหุบยิ้มทันทีเมื่อเห็นใครบางคนกำลังยกยิ้มมุมปากขณะมองเขา เมฆหัวเราะเมื่อเห็นเขาทำหน้านิ่ง ถ้าไม่มีเมย์นั่งคั่นกลาง เมฆคงจะหาโอกาสทำรุ่มร่ามกับเขาแน่ๆ เพราะเวลาเจอกันที่มหา’ ลัย เ้าตัวจะชอบถือวิสาสะเข้ามาโอบไหล่ กอดคอ และจับมือ เขาแสดงอาการไม่พอใจและต่อว่าไปหลายครั้ง ทว่าเมฆยังคงทำแบบเดิมซ้ำๆ
เมย์กับกันต์รู้ดีว่าเมฆขี้ตื๊อแค่ไหน ทั้งสองคนจึงช่วยกันเมฆให้ออกห่างจากเขาตลอด เมฆจะแสดงอาการไม่พอใจทุกครั้งที่โดนเพื่อนเขากีดกัน มีหลายครั้งที่เ้าตัวพูดและแสดงพฤติกรรมไม่ดีใส่เพื่อนของเขา เพราะใกล้ไม่อยากให้เพื่อนมีปัญหากับอีกฝ่าย เขาจึงเลือกหลบหน้าเมฆเวลาเจอกันที่มหา’ ลัย
ที่ใกล้ไม่ชอบเมฆ
เพราะนิสัยล้วนๆ เลย
“ใกล้…เราขอไลน์หน่อยดิ”
ใกล้ส่ายหน้าปฏิเสธทันทีที่ได้ยินประโยคนั้นจากเมฆ
“ใกล้ไม่ลองเปิดใจให้เราหน่อยเหรอ?”
“เราไม่ได้ชอบเมฆ เราบอกเมฆไปหลายครั้งแล้ว”
“ใกล้ยังไม่เคยลองเปิดใจให้เราสักครั้งเลยนะเว้ย”
“เรารู้ดีว่าควรเปิดใจให้ใคร…หรือไม่เปิดใจให้ใคร” ใกล้ละสายตาจากเมฆแล้วหันมองทศ เขาคิดว่าถึงเวลาที่จะต้องเคลียร์เื่นี้กับทุกคนแล้ว “แล้วก็เลิกยัดเยียดเพื่อนของทศให้เราได้แล้ว ทศน่าจะรู้ดีว่าทำแบบนี้มีแต่จะทำให้ความสัมพันธ์ของพวกเราแย่มากยิ่งขึ้น”
“กูไม่ได้ยัดเยียดไอ้เมฆให้มึงนะใกล้ มึงอย่าเข้าใจกูผิด”
“ไม่ยัดเยียดเหี้ยอะไร มึงชวนเมฆมาโดยไม่บอกใกล้เนี่ยนะ พวกมึงก็รู้ดีว่าใกล้ไม่ค่อยอยากเจอเมฆ” เมย์เอ่ย
“มึงอย่าปั่นได้ปะเมย์?”
“กูเนี่ยนะปั่น?”
“ทะเลาะอะไรกันอีก~” นิวที่เพิ่งกลับมานั่งที่โต๊ะถามขึ้น
“เพื่อนตีกันจะตายแล้ว ทำไมเพิ่งมาอีนิว?”
“มึงนั่งอยู่ที่โต๊ะก็ห้ามดิอร กูเหนื่อยจะห้ามแล้ว”
ใกล้นั่งนิ่งๆ ไล่สายตามองเพื่อนทีละคน ตอนนี้เขารู้สึกโกรธจนถึงขีดสุดที่ทุกคนไม่ได้รู้สึกผิดเลยสักนิด ทศยังโกหกและพยายามหาข้ออ้างเพื่อหนีความผิดไปเรื่อยๆ แม้ใกล้จะไม่ชอบมีเื่ แต่เขาจะไม่ยอมให้ใครมาหลอกใช้และเอาเปรียบอีก
“นิว ใกล้กำลังเข้าใจพวกเราผิด”
“…”
“ใกล้คิดว่าพวกเราตั้งใจชวนใกล้ให้มาเจอเมฆั้แ่แรก”
เขาเข้าใจไม่ผิดหรอก…มันเป็อย่างที่คิดจริงๆ
เพียงแค่ทุกคนกำลังยื้อเวลาเพื่อหาข้อแก้ตัวอยู่
“ใกล้…ไม่ใช่แบบนั้นนะ พวกกูตั้งใจชวนมึงมาดื่มผ่อนคลายหลังสอบอย่างที่บอกจริงๆ ตอนนั้นพวกกูยังไม่ได้ชวนเมฆเลย แต่บังเอิญว่าเมฆได้ยินเื่ที่พันลี้จะมาร้องเพลงให้ร้านนี้…กูก็เลยเปลี่ยนจากร้านเดิมมาเป็ร้านนี้”
“…”
“แล้ว…” นิวปรายตามองทศ ก่อนเอ่ยต่อ “ไอ้ทศมันบอกว่าเมฆอยากเจอมึงมาก แต่มึงหลบหน้าตลอดเลย เมฆเลยขอมาด้วย กูกับไอ้ทศก็เลย…”
“สรุปทุกคนก็ตั้งใจให้เรามาเจอกับเมฆอยู่ดี…”
“…”
“ถ้าบอกกันตรงๆ ั้แ่แรกว่าเมฆจะมา เราจะไม่เสียความรู้สึกเท่านี้เลย”
“ใกล้…” เมย์เอื้อมมือมาจับที่แขนของเขาเบาๆ เ้าตัวคงรู้ว่าเขาทนเก็บความรู้สึกแย่ๆ ต่อไปไม่ไหวแล้ว
“เราคิดว่าทุกคนจะเปลี่ยนตัวเอง แต่ไม่เลย…”
“…”
“…ตอนเื่งาน เรายังพอให้อภัยได้นะ แต่เื่นี้เรารับไม่ไหวจริงๆ”
“ใกล้ ไปกันใหญ่แล้ว พวกกู…”
“ทศ เราไม่ได้เข้าใจอะไรผิดเลยสักนิด…” ใกล้จ้องมองทศไม่ละสายตา เป็ครั้งแรกที่ทศเลือกจะหลบตาเขา “จบงานพรีเซนต์อีกสองวิชา พวกเราแยกกันเถอะนะ”
“ใกล้…มึงจะให้เื่แค่นี้มาทำลายความเป็เพื่อนของพวกเราไม่ได้นะ” นิวเอ่ย
“มึงนั่นแหละอีนิว…ที่ทำลายความเป็เพื่อน ไม่ใช่ใกล้”
“เมย์ มึงอย่าพูดให้ทุกอย่างมันแย่มากกว่าเดิมได้ปะวะ?”
“เื่นี้เราเป็ตัวปัญหา…เราจะไปเอง”
ใกล้หันไปสบตากับเมฆ คนที่เขามักจะหลบหน้าเสมอ ทว่าต่อจากนี้ไป ใกล้จะไม่หนีอีกแล้ว แต่เขาจะ… “เมฆอยู่ที่นี่ไปเถอะ เราว่าที่ตรงนี้เป็ที่ของเมฆ เพื่อนทุกคนให้ความสำคัญกับความรู้สึกของเมฆมากกว่าเรา เพราะฉะนั้น…เราจะไปเอง”
เขาจะเดินออกไปเอง…
ออกไปอยู่ในที่ที่เป็ของตัวเอง
“ใกล้ พวกกูขอโทษนะ ขอโทษที่คิดน้อยไป” นิวละล่ำละลักเอ่ยคำขอโทษกับเขา
“ใกล้…กลับกันไหม?”
ใกล้พยักหน้ารับกับเมย์ ก่อนจะหันกลับไปมองทุกคนที่แสดงสีหน้าเป็กังวล “งานอีกสองชิ้นที่เราต้องทำร่วมกันอยู่…เราจะทำให้เสร็จ ทุกคนไม่ต้องกลัวว่าเราจะทิ้งหรอก เราแยกแยะเื่ส่วนตัวกับเื่งานได้ แต่เราขอให้ทุกคนช่วยรับผิดชอบในส่วนของตัวเองให้ดีที่สุดก็พอ”
“ใกล้…มึงจะอภัยให้พวกกูอีกสักครั้งไม่ได้เลยเหรอ? ...กูก็บอกแล้วว่าไม่ได้ตั้งใจชวนเมฆมาั้แ่แรก”
“แต่หลังจากที่นิวชวนเมฆมาแล้ว…นิวเคยคิดจะบอกเราไหมว่าเมฆจะมาด้วย…หรือตั้งใจจะให้เรารู้เองเหมือนในตอนนี้?”
“…”
“ถ้าเราไม่พูดเื่นี้…ทุกคนจะปล่อยผ่านเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นใช่ไหม?” ใกล้เม้มริมฝีปากแน่นก่อนเอ่ยต่อ “…ความรู้สึกของเรา คงไม่สำคัญเท่าสิ่งที่ทุกคน้า…เราเข้าใจถูกใช่ไหม?”
“…”
เพื่อนตอบคำถามเขาด้วยการหลบสายตา ใกล้คิดว่ามันเป็คำตอบที่ชัดเจนแล้ว เขาไม่ได้เรียกร้องให้เพื่อนเห็นความรู้สึกของเขาเป็สิ่งสำคัญ แต่เขาแค่อยากให้เพื่อนคิดถึงความรู้สึกกันบ้าง ใกล้เข้าใจว่าโลกของความเป็จริงทุกคนต้องให้ความสำคัญกับความรู้สึกของตัวเองเป็ที่หนึ่ง
แต่ใกล้คิดว่าเราทุกคนควรตระหนักได้ว่า…การทำให้ตัวเองเป็หนึ่งในคนที่มีความสุขนั้น จะต้องไม่ไปเบียดเบียนใคร เพราะในตอนที่เรามีความสุข ใครบางคนอาจจะทุกข์
การเอาเปรียบทำให้ใครบางคนกำลังมีความสุข
การโดนเอาเปรียบทำให้ใครบางคนกำลังทุกข์
ใกล้รู้ดีว่าในโลกความเป็จริงยากที่จะหลีกเลี่ยงเื่แบบนี้ ต่อให้เราหลีกเลี่ยงสักแค่ไหน สักวันก็ต้องเจอกับตัวเอง และเมื่อเจอแล้วให้จำเป็บทเรียน
จำไว้ว่าเราจะต้องปกป้องตัวเองจากการโดนเอาเปรียบ
และจำไว้ว่าเราจะไม่ทำแบบนี้กับใคร
“อย่าทำแบบนี้กับใครอีกนะ เพราะถ้าเป็คนอื่นที่ไม่ใช่เรา โอกาสเพียงครั้งเดียว…ก็อาจจะไม่ได้รับ”
“…”
ใกล้หันไปมองเมย์ที่กำลังมองเขาอยู่ เ้าตัวพยักหน้าเป็เชิงชวนให้ลุกออกจากโต๊ะ เขาเอื้อมมือไปจับแขนเมย์แล้วพาลุกออกมา เมย์เดินตามเขามาเงียบๆ จนถึงหน้าห้องน้ำ เ้าตัวหยุดเดินแล้วรั้งแขนของเขาไว้แทน
“ไม่เป็ไรนะ…”
ใกล้พยักหน้ารับ คงเพราะเมย์ตัวสูงกว่าเขาเล็กน้อย เ้าตัวจึงรวบเขาเข้าไปกอดได้อย่างง่ายดาย
“อื้อ…”
“เราพยายามแล้ว…เราทำดีที่สุดแล้วใกล้”
“เราไม่ได้ใจร้ายไปใช่ไหมเมย์?”
“การปกป้องความรู้สึกของตัวเองอาจจะทำให้คนอื่นมองว่าเราเป็คนใจร้าย…แต่อย่าลืมว่าคนที่เราควรใจดีด้วยที่สุดคือตัวเองนะ”
“…”
“ใจดีกับตัวเองบ้าง อย่าให้ตัวเองเสียใจบ่อยๆ …ใครจะมองว่าเราใจร้ายก็ช่างมัน”
“…”
ใกล้พยักหน้ารับขณะเพื่อนลูบหลังเบาๆ เพื่อปลอบใจ เขาสูดลมหายใจเข้าลึกๆ แล้วบอกตัวเองว่า… “เราพยายามแล้ว เราทำดีที่สุดแล้ว”
บอกตัวเอง…อย่างที่เมย์บอก
ปลอบตัวเอง…อย่างที่ควรจะปลอบ
เมย์ผละกอดออกจากเขาก่อนเอ่ยถาม “แล้วใกล้กลับยังไง…ขับรถมาหรือเปล่า?”
“เรานั่งรถแท็กซี่มาน่ะ…”
“เดี๋ยวเราขับรถไปส่ง”
“ไม่เป็ไรเมย์ เรากลับเองได้ เมย์รีบกลับบ้านเถอะ…นี่ก็ดึกแล้วด้วย” คอนโดของใกล้อยู่คนละทางกับบ้านของเมย์เลย ถ้าเขาให้เ้าตัวไปส่ง เมย์อาจจะถึงบ้านดึกมากๆ “แต่เมย์ดื่มไปด้วย…ขับรถไหวไหม?”
“…”
“ให้เราขับรถไปส่งดีไหม แล้วเดี๋ยวเรานั่งแท็กซี่กลับคอนโดเอง”
เมย์หัวเราะ ก่อนเอ่ย “ใกล้…เราดื่มไปแค่สองแก้วเอง เราขับรถกลับได้…ขอแค่อย่าเจอด่านพ่อก็พอ”
“ถ้าเจอด่านตำรวจ…เมย์จะทำยังไง?”
“ภาวนาอย่างเดียวเลย…ภาวนาว่าอย่าให้เจอ”
“เราจะช่วยเมย์ภาวนานะ”
“จ้า…งั้นเดินออกไปด้วยกันเลยไหม?”
ครืด~
ใกล้กำลังจะพยักหน้าตอบรับเมย์ ทว่าโทรศัพท์ที่สั่นแจ้งเตือนทำให้เขาต้องหยุดบทสนทนาแล้วล้วงออกมาจากกระเป๋ากางเกง ชื่อของปลายสายที่ระบุอยู่บนหน้าจอทำให้กระบอกตาร้อนผ่าว
‘กันต์เอง’
กันต์มักจะมาในตอนที่เขารู้สึกแย่เสมอ ใกล้กลืนน้ำลายลงคอก่อนจะเงยหน้าสบตากับเมย์ที่กำลังรอคำตอบจากเขาอยู่ ใกล้พยักหน้าให้เมย์ก่อนเอ่ย
“เดี๋ยวเราเดินไปส่งที่ลานจอดรถนะ”
“ไม่ต้องๆ เราไปเองได้…ใกล้อยากรับสายก่อนไหม?”
“กันต์โทรมาน่ะ…เดี๋ยวเราไปส่งเมย์แล้วค่อยโทรกลับ”
“กันต์คงเป็ห่วง…ใกล้รับสายก่อนเลย”
“อื้อ…” ใกล้พยักหน้ารับ ก่อนจะกดรับสาย
จริงๆ แล้วใกล้มีเหตุผลที่ไม่อยากรับสายกันต์ตอนอยู่กับเมย์
[เป็ไงบ้าง…ไม่มีใครทำให้เพื่อนกูไม่สบายใจใช่ไหม?]
เพราะไม่อยากให้เมย์เห็นน้ำตาที่มาเอ่อล้นรอบขอบตาในตอนที่กันต์พูดบางประโยค
“…”
บางประโยคที่เขามักจะเดาได้เสมอว่าเพื่อนจะพูด
[เดี๋ยวคืนนี้กูอยู่คุยเป็เพื่อนมึงเอง]
อย่างเช่นประโยคนี้…
ใกล้ก้มหน้ามองพื้น เขาพยายามกลืนก้อนบางอย่างลงคอ เหมือนเมย์รู้ว่าเขาพยายามเก็บซ่อนความรู้สึกอยู่ เ้าตัวจึงเคลื่อนมือมาตบที่ไหล่ของเขาเบาๆ ก่อนเอ่ยด้วยเสียงอ่อนโยน
“ไปหาที่เงียบๆ คุยกับกันต์ก่อนเถอะ…เดี๋ยวเราเดินไปที่รถเอง”
ใกล้พูดทั้งที่ยังถือสายกันต์อยู่ “เราเป็ห่วง ให้เราเดินไปส่งเมย์นะ”
[มึงไม่ต้องวางสายก็ได้นะ เดี๋ยวกูรอ]
“เราไปเองได้…เชื่อเราสิ” เมย์ส่งยิ้มให้เขา ก่อนจะโบกมือลา “ถึงคอนโดแล้วไลน์มาบอกด้วยนะ”
“อื้อ…ขับรถดีๆ นะเมย์”
“จ้า…”
ใกล้มองเมย์ที่เดินออกไปจากร้าน เขาถอนหายใจก่อนจะปล่อยให้หยดน้ำสีใสไหลออกมาอย่างไม่เก็บกั้น ในตอนนี้เหลือกันต์เพียงคนเดียว ใกล้ไม่ต้องแกล้งเข้มแข็งอีกต่อไปแล้ว
[เหมือนเดิมอีกแล้วใช่ไหม?]
“อื้อ…”
เขาพยักหน้ารับ ทั้งที่รู้ว่าเพื่อนไม่เห็นการตอบกลับของเขา ใกล้ยกมือขึ้นปาดน้ำสีใสที่ไหลไม่ขาดสาย พนักงานที่ยืนอยู่บริเวณทางออกแอบมองเขาเป็ระยะ ใกล้จึงหลบเข้ามาในห้องน้ำ เขาคิดว่าจะล้างหน้าแล้วค่อยออกจากร้าน
ใกล้ไม่อยากให้ใครมองว่าตัวเองเป็คนขี้แง
เมื่อเข้ามาในห้องน้ำ ใกล้ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก เพราะไม่มีใครอยู่เลย เขาเดินไปที่อ่างล้างหน้าก่อนจะเอ่ยกับคนที่อยู่ในสาย
“กันต์รอแป๊บหนึ่งนะ เราขอล้างหน้าก่อน”
[ไม่ต้องล้างหรอก เพราะตอนมึงเล่าเื่ทุกอย่างให้กูฟัง มึงก็ต้องร้องไห้อีก]
ใกล้ที่ยืนอยู่หน้าอ่างล้างหน้าหยุดชะงัก เขาเงยหน้ามองตัวเองผ่านกระจกสะท้อนพลางคิดว่า…ไม่อยากเห็นใกล้ใจที่ดวงตาแดงก่ำบ่อยๆ เลย
[มึงพร้อมเล่าให้กูฟังหรือยัง?]
คนที่ไม่ค่อยพร้อมหลับตาลงก่อนจะเดินเข้าไปในห้องน้ำแยกที่ว่างอยู่ ใกล้ปิดประตูและล็อกอย่างดี เขาใช้มือปิดฝาชักโครกแล้วนั่งลงบนนั้น ใกล้เริ่มเล่าเื่ที่เกิดขึ้นให้กันต์ฟังทั้งน้ำตา ในขณะที่ถ่ายทอดเื่ราวให้เพื่อนฟังนั้น เหมือนมีหนังเื่เก่าฉายซ้ำอยู่ในหัว
หนังเื่ที่ใกล้ไม่ชอบดูสักเท่าไหร่…
มันเป็เื่ราวของเด็กผู้ชายคนหนึ่งที่มักจะเจอเพื่อนไม่จริงใจและโดนเอาเปรียบอยู่บ่อยๆ แม้ว่าเขาจะระวังตัวมากแค่ไหน พยายามหลีกเลี่ยงผู้คนมากเท่าไหร่ แต่เขายังเจอเื่แบบนี้ซ้ำๆ หากให้เลือกฉากที่เศร้าที่สุดในหนังเื่นี้ คงเป็ตอนที่เรียนมัธยมปลายปีสุดท้าย…เขาทุ่มเทให้เพื่อนไปทั้งใจ และหวังว่าสิ่งที่ได้รับตอบกลับมาคือความจริงใจเช่นกัน ทว่าไม่ใช่อย่างที่คิดเลย…
‘ใกล้มันเก่งแต่เื่เรียน เื่เข้าสังคมมันเก่งซะที่ไหน’
‘จริง…ไม่งั้นจะอยู่ได้แค่กับพวกเราเหรอ?’
‘บางทีมันก็น่าเบื่อไปนะ ชีวิตไม่มีสีสัน ไม่มีอะไรน่าตื่นเต้นเลย คุยกับมันก็คุยได้แต่เื่เรียน บางทีกูเอียนจนจะอ้วกอะ’
‘แต่มันช่วยติวให้พวกเราเข้ามหา’ ลัยได้นะเว้ย’
‘มันเป็เพราะพวกเราหัวไวด้วยปะวะ…ไม่งั้นติวให้ตายจะสอบติดได้ไง’
‘กูว่าคบมันไว้ปรึกษาแค่เื่เรียนโอเคสุด แต่ถ้าให้คบเป็เพื่อนจริงจังแบบไปไหนไปกัน กูว่าไม่เวิร์กหรอก’
‘จริง…วันๆ อ่านแต่หนังสือ ไม่รู้ไอ้กันต์ทนไปได้ไง’
‘ไอ้กันต์ก็คงเบื่อปะวะ แต่ไม่กล้าพูดเพราะใกล้คอยให้ยืมเงินตลอด’
‘เป็มันก็น่าสงสารนะ…เหมือนมีแต่เพื่อนที่คบเพราะผลประโยชน์’
เด็กผู้ชายที่เป็ตัวละครเอกของหนังเื่นี้คือ…ใกล้ใจ บริรัตน์
บทสนทนาของเพื่อนที่เขาแอบได้ยินเมื่อสองปีที่แล้ววนกลับมาพร้อมภาพจำที่ผุดขึ้นในหัว ใกล้มองประตูสีเทาตรงหน้าพลางคิดว่าสถานการณ์ตอนนี้คล้ายเมื่อสองปีที่แล้ว เขากำลังนั่งอยู่ในห้องน้ำแคบๆ เพียงคนเดียว แต่แตกต่างตรงที่เขาไม่ต้องนั่งฟังประโยคคำพูดที่ทิ่มแทงจนเจ็บระบม
ตอนนี้มีเพียงความเงียบและเสียงสะอื้นของเขาเท่านั้น ใกล้หยุดเว้น่หายใจเมื่อเล่าเื่จบ เขายกมือขึ้นปาดน้ำตาลวกๆ อีกครั้ง ก่อนสูดลมหายใจเข้าลึก ทุกครั้งที่ใกล้เจอเื่แบบนี้…
เขาจะคิดว่า…
ร้องไห้ได้…แต่อย่านาน
เขาต้องกลับมายิ้มให้เร็วที่สุด
ไม่ได้ทำแบบนี้เพื่อใคร…แต่ทำเพื่อตัวเอง
บทเรียนต่างๆ ที่ผ่านเข้ามาในชีวิต ทำให้ใกล้เป็คนที่เข้มแข็งขึ้น แม้จะเข้มแข็งแค่ไหน แต่วันนี้ใกล้ยังเสียน้ำตาอยู่ดี นั่นทำให้เขารู้ว่าไม่มีใครสามารถเข้มแข็งได้ตลอดเวลา
ใกล้เชื่อว่าคนที่เข้มแข็งที่สุด...ก็เคยร้องไห้กับตัวเองเหมือนกัน
ใกล้จึงมีประโยคคำพูดหนึ่งเอาไว้ปลอบใจตัวเองเวลาที่เจอเื่แย่ๆ ประโยคนั้นคือ ‘บางวันโลกก็ใจร้ายกับเรา บางวันโลกก็ใจดีกับเรา…สุดท้ายโลกก็แบบนี้แหละ’
[จบงานสองชิ้นนั้นแล้วมึงออกมาจากกลุ่มเลยนะใกล้]
“จริงๆ ตอนนี้ก็ออกมาจากกลุ่มแล้วนะ แต่คิดว่าต้องเจอและคุยกันอยู่บ้าง เพราะยังมีงานสองชิ้นนี้ที่ค้างอยู่”
[ถ้าจบงานแล้วก็ไม่ต้องเจอไม่ต้องคุยกับพวกมันแล้ว…โคตรเห็นแก่ตัวเลย ตอนโยนงานส่วนของตัวเองให้มึงทำจนไม่ได้นอน กูว่าเห็นแก่ตัวมากแล้วนะ…แต่ครั้งนี้สุดๆ เลย]
“เราเสียความรู้สึกจนพูดไม่ออก…”
[กอดนะมึง]
“อื้อ…กอด”
คำพูดปลอบโยนของกันต์ทำให้เขารู้สึกดีขึ้นเสมอ…
[แล้วมึงจะกลับหรือยัง?]
“กำลังจะกลับแล้ว…เราหยุดร้องไห้ได้แล้ว”
แกร๊ก!
ใกล้ได้ยินเสียงเปิดประตูบานใหญ่ เขาจึงหลุบตามองช่องว่างระหว่างพื้นที่อยู่ด้านล่างของประตู ใกล้เห็นเงาของใครบางคนกำลังเดินอยู่ในห้องน้ำ เขาจึงรีบบอกลาเพื่อนที่อยู่ในสายเพื่อจะกลับคอนโด
“กันต์ แค่นี้ก่อนนะ เดี๋ยวขึ้นรถแท็กซี่แล้วเราไลน์หา”
[โอเคๆ]
ใกล้วางสายจากเพื่อนสนิท ก่อนจะลุกขึ้นยืนเต็มความสูง เขาเก็บโทรศัพท์ใส่กระเป๋ากางเกงเพื่อเตรียมออกจากห้องน้ำ ทว่าเสียงฝีเท้าที่เดินเข้ามาใกล้ประตูทำให้เขาหลุบตามองที่ช่องว่างด้านล่างอีกครั้ง ใกล้กลืนน้ำลายลงคอเมื่อเห็นรองเท้าผ้าใบสีขาวของใครบางคน
“คนที่อยู่ข้างใน…คือใกล้ใช่ไหม?”
เมฆเหรอ?
“…”
“ใกล้ใช่ไหม?”
เมฆคงจะจำเสียงของเขาได้ บวกกับเมื่อกี้เขาเรียกชื่อกันต์ เ้าตัวรู้ดีว่ากันต์คือเพื่อนสนิทของเขา ใกล้ไม่ตอบอะไร เขาถอยหลังออกมาอีกก้าว ก่อนจะสะดุ้งด้วยความใ เพราะเมฆเคาะประตูเสียงดังมาก ความจริงใกล้คิดว่าเมฆทุบประตูมากกว่า
ปังๆ
“ใกล้ เรารู้ว่าใกล้อยู่ในนั้น”
“…”
“ใกล้ออกมาคุยกับเราได้ไหม? ...เราอยากคุยกับใกล้”
“…”
“เราชอบใกล้จริงๆ นะเว้ย…ทำไมใกล้ไม่ลองเปิดใจให้เราบ้าง?”
“…”
“ใกล้ยังชอบพี่ชินอยู่เหรอ?”
ตอนแรกใกล้คิดว่าจะไม่ตอบอะไร เขาจะรอให้เมฆทนไม่ไหวแล้วเป็ฝ่ายจากไปเอง แต่เพราะเมฆพูดถึงเื่พี่ชินขึ้นมา เขาจึงอยากรู้เื่บางอย่างที่สงสัยมานาน ถึงจะพอเดาคำตอบได้ แต่ใกล้ยังอยากถามให้แน่ใจ “เมฆรู้ได้ยังไงว่าเราชอบพี่ชิน?”
“…”
“…”
“ไอ้ทศมันเล่าให้ฟัง…แต่ใกล้อย่าไปโกรธมันเลย”
เป็อย่างที่ใกล้คิดไว้ไม่มีผิด แต่เขาไม่คิดโกรธทศ เพราะเขาชินแล้ว ใกล้รู้ดีว่าไม่ใช่แค่ทศคนเดียวที่เอาเื่ที่เขาสารภาพรักกับพี่ชินแล้วโดนปฏิเสธไปคุยเล่นสนุกปาก คนอีกเกือบครึ่งสาขาก็ทำแบบนี้ ใกล้เคยอยากรู้ว่าใครเป็คนแรกที่เอาเื่นี้มาเล่าให้เพื่อนในสาขาฟัง เพราะคนคนนั้นทำให้เขาโดนมองและซุบซิบนินทาตลอดปีหนึ่ง แต่ใกล้ก็ยังผ่าน่เวลานั้นมาได้
ตอนนี้ใกล้ไม่อยากรู้แล้วว่าเขาเป็ใคร
ใกล้แค่อยากขอบคุณที่ทำให้เขาเข้มแข็งมากขึ้นกว่าเดิม
“ที่ใกล้ไม่ยอมเปิดใจให้เรา เพราะใกล้ยังชอบพี่ชินอยู่ใช่ไหม?”
“เราไม่ชอบเมฆเพราะตัวเมฆเอง ไม่ใช่เพราะใครเลย…”
“…”
“…และเราก็ไม่ได้ชอบพี่ชินแล้ว” วันนั้นพี่ชินมองใกล้ด้วยสายตาที่เปลี่ยนไปจากเดิม และขอให้เขาเลิกชอบเ้าตัว ใกล้จึงต้องตัดใจ ในตอนแรกมันยากมาก แต่ตอนนี้ใกล้ทำได้แล้ว “เราเห็นพี่ชินเป็พี่ชายเท่านั้น เหมือนที่พี่ชินเห็นเราเป็น้องชาย”
“จริงเหรอ?”
“จริง” เพราะว่าความรักครั้งนั้นทำให้เจ็บที่สุด…คำตอบนี้จึงจริงที่สุดในชีวิต ใกล้ภาวนาไม่ให้ตัวเองตกหลุมรักใครอีก เขาไม่ได้กลัวตัวเองจะผิดหวังในความรัก แต่ใกล้แค่กลัวว่าการแอบรักของเขาจะทำให้ใครบางคนไม่สบายใจ
“งั้นใกล้ออกมาคุยกับเราหน่อย”
ใกล้ส่ายหน้าปฏิเสธ ไม่รู้ทำไมเขาถึงไม่อยากออกไปเผชิญหน้ากับเมฆในตอนนี้ “เมฆกลับไปก่อนเถอะ ตอนนี้เรายังไม่อยากเจอเมฆ”
“ใกล้จะหลบหน้าเราไปถึงไหนอะ?”
“…”
“แค่ออกมาคุยกันดีๆ สักครั้งไม่ได้เหรอ?”
น้ำเสียงของคนที่อยู่อีกฝั่งของประตูเริ่มดุดันมากขึ้น เมฆชอบใช้น้ำเสียงแบบนี้กับเมย์และกันต์บ่อยๆ ใกล้ยังจำสายตาดุๆ ของเมฆเวลาหงุดหงิดได้เป็อย่างดี
“…”
ปัง!
“อย่าหลบหน้ากันแบบนี้ได้ปะ?! ...เราไม่ชอบเลยอะ”
คนตัวเล็กสะดุ้งด้วยความใ เมื่อประตูโดนทุบจนเกิดเสียงดัง เมฆพูดด้วยน้ำเสียงไม่พอใจพลางดึงประตูห้องน้ำให้เปิดออก ใกล้เข้าใจว่าเมฆเป็คนอารมณ์ร้อน เ้าตัวถึงได้แสดงพฤติกรรมไม่ดีแบบนี้ เขาจึงตัดสินใจจะออกไปคุยกับเมฆเพื่อให้เื่จบ ก่อนที่เมฆจะอารมณ์เสียไปมากกว่านี้
มือเรียวเอื้อมไปจับที่กลอนประตู ก่อนจะชักกลับมาไว้ข้างกาย ตอนนี้ใกล้ยอมรับว่าเริ่มกลัวเมฆ ทั้งที่เขาไม่เคยกลัวอีกฝ่ายเลย ใกล้คิดว่าอาจจะเป็เพราะเขาอยู่ในสถานที่ไม่คุ้นเคยเพียงคนเดียว กลิ่นเหล้าที่คาดว่าเป็ของเมฆโชยมาเตะจมูก ใกล้จึงหยุดนิ่งเพื่อตัดสินใจใหม่อีกครั้ง…
ปัง!
“ใกล้!”
“เราไม่ออกไปแล้ว...” ใกล้พูด ก่อนจะล้วงโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋ากางเกงเพื่อโทรหาใครบางคน เขามั่นใจว่าคนคนนี้จะช่วยเขาได้ ใกล้ไล่สายตามองจอโทรศัพท์ขณะใช้นิ้วเลื่อนหาเบอร์
‘พี่ดอม’
เขากำลังจะกดโทรหาลูกพี่ลูกน้องเพื่อขอให้มารับที่ร้าน เพราะคอนโดของพี่ดอมอยู่ไม่ไกลจากร้านนี้สักเท่าไหร่ แต่ที่เขาไม่ให้เ้าตัวมารับั้แ่แรกเพราะเกรงใจ ทว่าตอนนี้ใกล้คงต้องเก็บความเกรงใจนั้นไว้ก่อน
แกร๊ก!
เสียงเปิดประตูบานใหญ่ดังขึ้นอีกครั้ง ใกล้หลุบตามองที่ช่องว่างระหว่างพื้น เขายังเห็นรองเท้าผ้าใบสีขาวของเมฆอยู่ เ้าตัวไม่ได้เดินไปไหน ใกล้คิดว่าคงเป็ใครบางคนที่เพิ่งเข้ามาใหม่ และเมฆที่เงียบไปทำให้ใกล้มั่นใจว่ามีคนอื่นเข้ามาใช้ห้องน้ำจริงๆ
ใกล้นิ่งเงียบ ฟังเสียงที่คล้ายน้ำไหลชั่วครู่ เขาลดโทรศัพท์ลงข้างกาย ก่อนตัดสินใจว่าจะเปิดประตูออกไป เพราะอย่างน้อยก็มีคนอื่นอยู่ด้วย ไม่ได้มีแค่เขากับเมฆ แต่เหมือนวันนี้โลกจะใจร้ายกับเขาสุดๆ ไปเลย เพราะในจังหวะที่ใกล้กำลังจะเปิดประตูออกไป เสียงฝีเท้าของใครบางคนเริ่มเบาบางลง ทำให้ใกล้รู้ว่าเขาจะต้องกลับไปอยู่กับเมฆสองคนอีกแล้ว
คนคนนั้นกำลังจะเดินออกไปจากที่นี่
เขามองมือตัวเองที่จับกลอนประตูอยู่ คนคนนั้นคงออกไปจากห้องน้ำแล้ว ถ้าเขาเปิดประตูออกไป ใกล้อาจจะต้องเผชิญหน้ากับเมฆเพียงลำพัง
ปังๆ
“ออกมาได้แล้ว…อย่าให้เราหงุดหงิดไปมากกว่านี้เลย”
“…” ใกล้ละมือออกจากกลอนประตู เขามองประตูที่ถูกฝ่ามือใหญ่ทุบซ้ำๆ จนเกิดเสียงดัง
“เราบอกให้ออกมาไง!”
“เมฆไม่มีสิทธิ์มาบังคับเรานะ”
“ใช่…มึงไม่มีสิทธิ์ไปบังคับเขา”
ใกล้ก้าวเท้าถอยหลังอีกครั้ง เมื่อได้ยินเสียงไม่คุ้นหู เขาหลุบตามองที่ช่องว่างด้านล่าง ตอนนี้ใกล้ไม่ได้เห็นแค่รองเท้าผ้าใบสีขาวของเมฆเท่านั้น แต่เขาเห็นรองเท้าผ้าใบสีดำของใครบางคนด้วย ใกล้ลองกะระยะห่างด้วยสายตา เขาคิดว่าเ้าของรองเท้าผ้าใบสีดำกำลังยืนประจันหน้ากับเมฆอยู่
เ้าของรองเท้าคู่นี้…
คงเป็คนที่เข้ามาใช้ห้องน้ำเมื่อกี้
คนที่เขาคิดว่าออกไปจากห้องน้ำแล้ว
“แล้วมึงเสือกเหี้ยอะไรด้วย?”
“ปกติกูไม่ค่อยเสือกเื่ของใครหรอก…แต่พอเจอคนเก่งแบบมึงแล้วอดไม่ได้เลย”
“…”
“กูกลายเป็คนขี้เสือกขึ้นมาทันที”
“กูไม่อยากมีเื่กับมึง…พันลี้”
ใกล้จ้องรองเท้าผ้าใบสีดำดีๆ อีกครั้ง เขาถึงได้รู้ว่า…
เ้าของรองเท้าคู่นี้…คือ ‘พันลี้’ จริงๆ
“รู้จักกูด้วย?”
“…”
“แล้วทำไมกูไม่รู้จักมึงวะ?”
“…”
“แต่อย่างว่าแหละ…สันดานแบบนี้ กูไม่คบหรอก”
“ไอ้สัดนี่!”
“…”
“กูจะเคลียร์กับแฟน มึงอย่าเสือก!”
ใกล้ขมวดคิ้ว ก่อนจะเอ่ยออกไป “เราไม่ใช่แฟนเมฆ อย่าพูดมั่วๆ นะ”
“นั่นไง…มั่วเก่งฉิบหาย” พันลี้พูดปนหัวเราะ
“ห้าวเหรอมึงอะ?”
“ไม่เท่ามึงหรอก…แต่จัดได้นะ หลังร้านเลยปะละ?”
“เหี้ยลี้!”
“คิดจะต่อยกู…มึงต้องเอาให้ล้มนะ เพราะถ้ากูไม่ล้มแล้วเริ่มซัดกลับ มึงไม่ได้ลุกแน่”
ใกล้กลืนน้ำลายลงคอในตอนที่เสียงติดขี้เล่นของพันลี้เปลี่ยนเป็เรียบนิ่ง เขาเดาว่าเมฆคงทำท่าจะต่อยเ้าตัว พันลี้ถึงได้พูดแบบนี้ เพราะใกล้รู้ว่าเมฆคงไม่ยอมแน่ เขาเลยจะเปิดประตูออกไปห้าม ไม่ว่าจะเป็พันลี้หรือใคร ใกล้ไม่อยากให้มาเดือดร้อนเพราะเขา
“ฝากไว้ก่อนเถอะ ไอ้เหี้ย…”
“กูไม่รับฝาก เอาความกากของมึงกลับไปด้วย”
ใกล้ยืนกะพริบตาปริบๆ อยู่ในห้องน้ำ เขาไม่อยากจะเชื่อว่าเมฆจะยอมง่ายๆ ทว่ารองเท้าผ้าใบสีขาวที่หายไปจากช่องว่างด้านล่างช่วยยืนยันว่าเมฆยอมถอยจริงๆ ใกล้สูดลมหายใจเข้าลึกอีกครั้ง ก่อนจะเอื้อมมือไปจับกลอนประตู
ก๊อกๆ
เสียงเคาะประตูเบาๆ ทำให้เขาหยุดนิ่ง ใกล้เม้มริมฝีปากแล้วมองรองเท้าผ้าใบคู่สีดำผ่านช่องว่างด้านล่าง เขาอยากเปิดประตูออกไปขอบคุณพันลี้ แต่ความรู้สึกประหม่าที่กำลังก่อตัวทำให้ใกล้ไม่กล้าเปิดประตูออกไป
ใกล้คิดว่าพันลี้ไม่เหมือนเมฆ…
“คนที่อยู่ข้างในนั้น…โอเคแล้วใช่ไหม?”
ไม่เหมือนจริงๆ ด้วย
“…” ใกล้พยักหน้าตอบรับทั้งที่รู้ว่าพันลี้ไม่มีทางเห็น แต่เขาทำได้เพียงเท่านี้ เพราะอาการประหม่าที่มีมากขึ้นทำให้เขาพูดไม่ออก ร่างกายก็แข็งทื่อจนเหมือนหิน
“มันไปแล้ว…ออกมาได้แล้วนะ”
ใกล้พยักหน้ารับอีกครั้ง น้ำเสียงอ่อนโยนของพันลี้ทำให้ใกล้รู้สึกปลอดภัย เขากำลังจะเปิดประตูออกไป ทว่าใกล้ต้องหยุดชะงัก เพราะได้ยินเสียงประตูบานใหญ่ถูกเปิดออก เขาภาวนาขอไม่ให้เป็เมฆ
“ไอ้ลี้ กลับได้แล้ว…ไหนว่ามาล้างมือแป๊บเดียว แอบมาสูบบุหรี่อีกแล้วสิมึง”
“เออ เดี๋ยวกูตามออกไป”
“เค”
“…” ใกล้ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอกเมื่อรู้ว่าไม่ใช่เมฆ
“เราต้องไปแล้ว รีบออกมานะ…ก่อนที่มันจะวกกลับมาอีก”
“…” ใกล้พยักหน้าตอบรับ ก่อนจะหลุบตามองรองเท้าผ้าใบสีดำที่เริ่มเคลื่อนขยับ เมื่อรองเท้าคู่นั้นพ้นไปจากกรอบสายตา ใกล้จึงเปิดประตูออกไป
เขาแอบมองคนตัวสูงที่กำลังเปิดประตูบานใหญ่ ในจังหวะที่พันลี้ก้าวพ้นจากขอบประตู ใกล้เห็นเสี้ยวหน้าด้านข้างของเ้าตัว บนใบหน้าของพันลี้ยังคงเปื้อนรอยยิ้มเสมอ ทว่าไม่นานนักรอยยิ้มนั้นก็โดนบดบังด้วยประตูบานใหญ่ที่ถูกปิดลง
ทุกครั้งที่ใกล้หวนนึกถึงเหตุการณ์ในวันนั้น…หนังเื่ใหม่ที่มีตัวละครเอกเป็เ้าของรอยยิ้มขี้เล่นจะฉายซ้ำอยู่ในหัวแทนหนังเื่เก่าที่ใกล้ไม่ค่อยชอบ
ใกล้ยิ้มบางขณะเลื่อนสายตาจากภาพถ่ายเพื่ออ่านชื่อของเ้าของภาพนี้ เขาคิดว่าวันนั้นตัวเองเข้าใจโลกผิดไปนิดหนึ่ง ใกล้คิดว่าโลกใจร้ายสุดๆ ไปเลย แต่ความจริงแล้วโลกไม่ได้ใจร้ายกับเขาขนาดนั้น เพราะถ้าโลกใจร้ายจริงๆ วันนั้นคงไม่ส่งพันลี้มาช่วยเขา…
และเพราะโลกไม่ได้ใจร้ายจนเกินไป ใกล้จึงได้ตกหลุมรักใครสักคนอีกครั้ง ทั้งที่เคยบอกกับตัวเองว่าจะไม่ตกหลุมรักใครอีก แต่โลกกลมๆ ที่ใจร้ายในบางครั้งและใจดีในบางหน สอนให้รู้ว่า…เราสามารถมีความสุขได้ แม้จะทำได้แค่เฝ้ามองเขาอยู่ไกลๆ
เพราะคนที่เราเฝ้ามอง
มีผลต่อหัวใจ…ไม่ใช่ระยะทาง
หลังจากเกิดเหตุการณ์ในวันนั้น…ใกล้คอยเฝ้ามองพันลี้อยู่ห่างๆ เก็บภาพรอยยิ้มของเ้าตัวอยู่ไกลๆ มาสักพักแล้ว ทว่าตอนนี้เหมือนใกล้ได้เข้าใกล้พันลี้อีกหน่อย เพราะเขาได้ยืนอยู่ตรงหน้าภาพของ…
พันลี้
หรือ
ศศิน พิสุทธิ์
ใกล้รู้ว่า ‘ศศิน’ มีความหมายว่า ‘ดวงจันทร์’ เขาคิดว่าพันลี้ตั้งใจทำให้ภาพนี้เกี่ยวข้องกับชื่อจริงของตัวเอง และคงไม่มีใครรู้ว่าเ้าตัวกำลังสื่อถึงคำว่า ‘ดวงจันทร์’ มากกว่าคำว่า ‘เงา’
เพราะจะมีสักกี่คนที่หาความหมายของชื่อใครบางคน…
…ก็คงจะมีแค่คนที่ ‘หลงรักดวงจันทร์’ อย่างเขาเท่านั้นที่ทำ
:)
#ใกล้แค่พันลี้
X : @SP251566
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้