อาภรณ์สีเขียวกลมกลืนไปกับความมืด แสงไฟสลัวจากตะเกียงก่อให้เกิดเงาเลือนราง สตรีสองคนเดินผ่านต้นไม้ใหญ่ หญิงสาวในชุดสีเขียวมีผมยาวถึงเอวและดูงดงามราวเทพเซียน ส่วนหญิงสาวอีกคนสวมเสื้อผ้าสีขาว ผมดำขลับ รวบผมสูง คิ้วยกเฉียง และดวงตาดอกท้องดงาม
หญิงสาวสองคนนี้คือชิงซีและเทพธิดาอวี้เหอ
เมื่ออวิ๋นจื่อออกมาต้อนรับแขกและเชื้อเชิญให้พวกนางเข้าไปด้านใน นางรู้สึกราวกับว่าได้เห็นเทพธิดาจาก์ทั้งเก้า
ชิงซีแย้มยิ้มและแนะนำเทพธิดาอวี้เหอให้สองพี่น้องรู้จัก จากนั้นทุกคนก็สนทนากันอย่างเป็มิตร
เทพธิดาอวี้เหอมองอวิ๋นจื่อหัวจรดเท้าและกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “เด็กคนนี้เป็ต้นกล้าที่ดี เหตุใดเ้าถึงไม่ส่งนางไปที่สำนักของข้าล่ะ?”
ชิงซีส่ายหน้า “สำนักชิงซานของข้าได้เตรียมการไว้แล้ว อีกทั้งตอนนี้เ้ามีลูกศิษย์ถึงสามคนแล้วไม่ใช่หรือ? ข้าไม่ได้รับศิษย์มานานแล้ว จะปล่อยให้นางไปอยู่กับเ้าได้อย่างไร?”
เทพธิดาอวี้เหอกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ข้ากลัวว่าเ้าจะให้จูเหยาสอนนาง ถ้าเป็แบบนั้นก็แย่สิ ถ้าเ้าไม่สอนนางเอง ข้าจะชิงตัวนางมาอยู่สำนักของข้า”
ชิงซียิ้มตอบ “อวี้เหอเ้าเป็อะไรหรือเปล่า? มีอะไรผิดปกติเกิดขึ้นกับเ้าหรือไม่?”
อวิ๋นจื่อและซูเจินฟังการสนทนาของสาวงามสองคนเงียบๆ พวกเขาไม่รู้ว่าจะเข้าไปมีส่วนร่วมในการสนทนาอย่างไร โดยเฉพาะอวิ๋นจื่อที่มีท่าทีใอยู่พักหนึ่ง
นางไม่เคยได้ยินชื่ออวี้เหอมาก่อน
และไม่รู้ด้วยซ้ำว่าความสัมพันธ์ระหว่างชิงซีกับหญิงสาวตรงหน้าเป็อย่างไร
สิ่งที่ทำให้นางหวาดกลัวยิ่งกว่าก็คือ ทั้งสองดูเหมือนจะโต้เถียงกันเกี่ยวกับการชิงตัวนาง
ยิ่งทำให้นางไม่รู้ว่าจะกล่าวอะไรดี
เทพธิดาอวี้เหอยิ้ม “ไม่มีอะไร ข้าแค่ชอบเด็กคนนี้มาก”
สีหน้าของชิงซียังคงไม่เปลี่ยนแปลง นางถามย้ำว่า “อวี้เหอ เ้าไม่เคยเป็เช่นนี้มาก่อน บอกข้าทีว่าเกิดอะไรขึ้น?”
เทพธิดาอวี้เหอส่ายหน้าเบาๆ แสดงให้เห็นว่านางปฏิเสธที่จะตอบคำถาม
ชิงซีหันไปกล่าวกับอวิ๋นจื่อและซูเจินว่า “เอาล่ะ ให้เ้าสองคนดูพวกเราเถียงกันก็ไม่มีประโยชน์อันใด มานั่งด้วยกันเร็วเข้า”
หลังจากที่ทุกคนนั่งลงเรียบร้อยแล้ว จู่ๆ ซูเจินก็กล่าวว่า “ปรมาจารย์ให้เกียรติมาเยี่ยมเยือนถึงจวนอันต่ำต้อยของข้า เป็วาสนาของตระกูลข้าจริงๆ ข้าสงสัยว่าท่านยังจำได้หรือไม่ว่าเคยสั่งสอนศิษย์ผู้หนึ่งที่อาศัยอยู่ชายแดน?”
เทพธิดาอวี้เหอยิ้ม “เ้าหมายถึงเย่เช่อ?”
ซูเจินกล่าวว่า “ขอรับ ตอนนี้เขาพักอยู่ที่จวนข้าเช่นกัน ให้เขามาร่วมการสนทนากับพวกเราดีหรือไม่ขอรับ?”
เทพธิดาอวี้เหอและชิงซีต่างก็พยักหน้าเห็นด้วย
ในไม่ช้าเย่เช่อก็มาถึง
เขารู้สึกตื่นเต้นที่จะได้พบอาจารย์ของตนเอง หลังจากคำนับอีกฝ่ายตามธรรมเนียมแล้ว เขาก็ไม่ได้พูดอะไรอีก
ชิงซีรู้ว่าเซียวเหยียนและเย่เช่อเป็ศิษย์ร่วมอาจารย์กัน นางสงสัยว่าหลังจากนี้จะเกิดการต่อสู้ระหว่างพวกเขาหรือไม่?
ชิงซีมักสดใสร่าเริงอยู่เสมอ แต่วันนี้นางกลับทำตัวแปลกไปจากเดิม ดูไม่เหมือนนางเลย
นี่เป็ครั้งแรกที่อวิ๋นจื่อได้พบชิงซีในฐานะสมาชิกตระกูลซู นางจึงไม่กล้าพูดอะไรมาก
ดังนั้นจึงมีเพียงซูเจินเท่านั้นที่เป็ฝ่ายพูด
เขายังคงมีชีวิตชีวา ดวงตาดอกท้อของเขาทอประกายแวววาว
พวกเขาพูดคุยและทานอาหารร่วมกันอย่างครึกครื้นแม้ว่าต่างคนต่างมีเื่ให้ครุ่นคิด ถึงอย่างนั้นการพูดคุยของซูเจินก็ลื่นไหลเป็ธรรมชาติ แม้กระทั่งชิงซียังต้องยอมรับว่าทักษะการพูดของซูเจินนั้นยอดเยี่ยมจริงๆ
หลังจากทานอาหารเสร็จแล้ว พวกเขาก็ย้ายไปนั่งที่ศาลาในสวน เทพธิดาอวี้เหอ้าใช้ประโยชน์จากดวงจันทร์ที่ส่องสว่าง นางจึงเรียกเย่เช่อให้ลุกออกมาด้านนอกศาลาเพื่อที่จะทดสอบเขา นางหวังว่าศิษย์ของนางจะไม่ล้าหลังในวิชากระบี่
ในค่ำคืนที่ดวงจันทร์ทอแสงสีเหลืองนวลและสายลมพัดพาทำให้อากาศปลอดโปร่ง การประลองกระบี่ได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว
อีกด้านหนึ่ง ชิงซีลากอวิ๋นจื่อไปยังที่ลับตาคนและกระซิบว่า
“อาจารย์ที่ข้าเลือกให้เ้าคือเ้าสำนักคนปัจจุบันของสำนักชิงซานนามว่าจูเหยา” น้ำเสียงของชิงซีฟังดูแปลกไปเล็กน้อย
อวิ๋นจื่อรู้สึกงุนงง โดยปกติแล้วประมุขตระกูลมู่มักวางตัวอย่างเหมาะสมมาโดยตลอด แต่ครั้งนี้ดูเหมือนว่านางจะทำตัวแตกต่างไปจากเดิม
นางทำตัวค่อนข้างสุขุมและเคร่งครัด
อวิ๋นจื่อตอบทันทีว่า “ข้ารู้ว่าอาจไม่เหมาะสมที่จะกล่าวเช่นนี้ แต่ข้าแอบหวังว่าจะได้รับเกียรติให้เป็ศิษย์ของท่านประมุข”
ชิงซีตกตะลึง เพราะตอนที่นางอยู่เหนือ์ทั้งเก้า ใครเล่าไม่รู้บ้างว่าพระธิดาองค์เดียวของฮ่องเต้แห่งลั่วซานเป็ผู้เชี่ยวชาญวิชากระบี่? นางยังไปเยือนพระราชวังลั่วซานเพื่อเรียนรู้วิชากระบี่เลย
แต่ดูสถานการณ์ตอนนี้สิ
ชิงซียิ้มบางๆ และกล่าวว่า “อย่าไปสนใจคำพูดไร้สาระของอวี้เหอเลย จูเหยาเป็ศิษย์ที่น่าภาคภูมิใจที่สุดของเ้าสำนักคนก่อน ถ้าเขาเป็คนสั่งสอนเ้าข้าก็ไม่มีสิ่งใดต้องกังวล”
อวิ๋นจื่อก้มหน้าและกล่าวว่า “ขอบคุณท่านประมุข ลำบากท่านแล้ว”
ชิงซียิ้ม
จากนั้นชิงซีก็กล่าวว่า “อีกประมาณสองสัปดาห์ข้าจะพาเ้าไปทีู่เาชิงเฉิง เ้าคิดอย่างไร?”
อวิ๋นจื่อกล่าวว่า “ทุกอย่างย่อมขึ้นอยู่กับการเตรียมการของท่านประมุข”
จู่ๆ ชิงซีก็ถามว่า “เ้าไม่มีความสุขใช่หรือไม่?”
อวิ๋นจื่อก้มหน้าเล็กน้อย ดวงตาของนางเหม่อลอย
ชิงซีเข้าใจทันที นางกล่าวว่า “ไม่มีใครที่จะเหมือนเดิมตลอดไปรวมทั้งข้าด้วย ทุกอย่างที่ข้าทำย่อมไม่ทำร้ายเ้า แต่หนทางข้างหน้าเ้าต้องก้าวเดินด้วยขาของตนเอง เ้าเข้าใจหรือไม่?”
น้ำตาร่วงหล่นจากดวงตาของอวิ๋นจื่อราวกับสายฝน
นางและชิงซีไม่ใช่ศิษย์และอาจารย์กัน แต่น้ำเสียงที่ชิงซีใช้เวลาพูดกับนางฟังราวกับอาจารย์ผู้หวังดีต่อศิษย์
ชิงซียื่นผ้าเช็ดหน้าให้ “ข้าหวังว่าจากนี้ไปจะไม่มีใครเห็นน้ำตาของเ้านอกจากข้า”
ผู้อื่นอาจไม่เข้าใจความหมายที่แฝงอยู่ในคำพูดของชิงซี สิ่งที่นาง้าจะบอกคือ อวิ๋นจื่ออาจได้รับความช่วยเหลือจากผู้คนมากมาย แต่ไม่สามารถเชื่อใจทุกคนได้ มีเพียงนางเท่านั้นที่อวิ๋นจื่อสามารถไว้ใจได้
อวิ๋นจื่อพยักหน้ารับคำอย่างเงียบๆ
และแล้วการประชันกระบี่อย่างดุเดือดระหว่างเย่เช่อกับอาจารย์ของเขาก็จบลง
เทพธิดาอวี้เหอกล่าวเบาๆ ว่า “อาเช่อ ความลุ่มหลงในใจเ้าลึกล้ำเกินไป”
เย่เช่อกล่าวด้วยท่าทีเฉยเมย “ขอบคุณอาจารย์ที่ตักเตือน แต่มีเพียงความพากเพียรเท่านั้นที่ทำให้ศิษย์สามารถยืนหยัดได้เช่นทุกวันนี้”
เทพธิดาอวี้เหออดหัวเราะไม่ได้
นั่นทำให้เย่เช่อที่ยืนอยู่ข้างๆ นางหน้าเสียเล็กน้อย
เทพธิดาอวี้เหอกล่าวว่า “เ้ารู้หรือไม่ว่าคนสุดท้ายที่พูดเช่นนี้กับข้าตอนนี้ไปโผล่ที่ถนนหวงฉวน[1]แล้ว”
เย่เช่อก้มหน้าลงและไม่พูดอะไร
เทพธิดาอวี้เหอกล่าวต่อว่า “เ้าอาจไม่รู้ว่าคนผู้นั้นฉลาดมาก ฉลาดกว่าอวิ๋นเซียวด้วยซ้ำ แต่เขากลับตกหลุมรักคนที่ไม่ควร อาเช่อ ในฐานะอาจารย์ข้าไม่อยากให้เ้าเจริญรอยตามคนผู้นั้น”
เย่เช่อกล่าวว่า “เย่เช่อเชื่อฟังอาจารย์ขอรับ”
เทพธิดาอวี้เหอกล่าวว่า “เ้าช่างเหมือนเขาเสียจริง ถ้าข้าบอกว่าคนที่เ้ารักตอนนี้จะทำให้เ้าต้องพบเจออันตรายมากมาย แม้กระทั่งชีวิตของเ้าก็ตกอยู่ในอันตรายด้วย เ้าก็จะไม่เปลี่ยนใจใช่หรือไม่?”
สายตาของเย่เช่อดูแน่วแน่เป็อย่างยิ่ง เขากล่าวว่า “ศิษย์จะไม่มีวันเปลี่ยนใจ ศิษย์รักนาง นอกจากนางศิษย์ก็ไม่สนใจสิ่งใดอีกแม้กระทั่งชีวิตของศิษย์เอง”
“เหตุใดเ้าถึงดื้อรั้นเช่นนี้?” เทพธิดาอวี้เหอโกรธเล็กน้อย “ข้าสามารถผลักดันเ้าเป็รัชทายาทได้ ข้าทำให้เ้าเป็ได้แม้กระทั่งฮ่องเต้ผู้อยู่เหนือคนทั้งแผ่นดิน แต่ข้าไม่สนับสนุนให้เ้าอยู่กับนาง”
เย่เช่อถามเสียงต่ำว่า “อาจารย์ ศิษย์ของทราบเหตุผลได้หรือไม่ขอรับ?”
จู่ๆ สีหน้าของเทพธิดาอวี้เหอก็แปรเปลี่ยนเป็เศร้าสร้อย นางกระซิบว่า “ข้าเห็นคำทำนายของเ้าแล้ว มันเต็มไปด้วยความวุ่นวายและเป็สัญญาณของหายนะ แน่นอนว่าเ้ายังพอมีหนทางหลีกเลี่ยงคำทำนายนั้น”
“อาจารย์โปรดให้ความกระจ่างแก่ศิษย์ด้วยขอรับ” เย่เช่อมีท่าทีเคร่งขรึมขึ้นมาทันใด
เมื่อหลายปีก่อนเขาคว้าเอาดอกจื่อเยวี่ยนที่ร่วงหล่นลงมาในสวนของจวนตระกูลเย่ เขาถือดอกไม้ที่มีกลีบบอบบางเอาไว้ในมืออย่างอ่อนโยนและมองไปยังทิศทางของวังหลวง ในใจเต็มเปี่ยมไปด้วยความหวังและความสดใสของเด็กหนุ่ม
เทพธิดาอวี้เหอถอนหายใจยาว จู่ๆ นางก็รู้สึกราวกับได้ยินเสียงร้องของกระเรียน์ดังมาจากขอบฟ้าอันไกลโพ้น
------------------------
[1] หวงฉวน หมายถึง ถนนที่ผู้คนที่ตายไปแล้วใช้เดินทางไปยังยมโลก
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้