บางครั้งเมื่อเสี่ยวหมี่มองลงไปเห็นผู้ชายทั้งหนุ่มทั้งแก่เกือบทั้งหมู่บ้านมารวมตัวกันไถพรวนดินเพื่อให้มันฝรั่งในพื้นที่สามสิบหมู่งอกงาม นางก็อดขมวดคิ้วไม่ได้ ถึงแม้ทุกคนจะไม่รู้สึกเหนื่อยเพราะได้รับสารอาหารเต็มที่จากเสบียงของสกุลลู่ ทั้งยังมีงานทำไม่ขาด ปลูกผักในฤดูหนาว เก็บเกี่ยวในฤดูใบไม้ร่วง พวกเขาจึงมีอนาคตให้รอคอย
หากเป็ในชาติก่อน รถสี่ล้อที่ชาวสวนใช้กันก็สามารถทำได้ทั้งหว่านและไถโดยอัตโนมัติ น่าเสียดายที่ความก้าวหน้าในการเพาะปลูกของที่นี่ยังด้อยอยู่มาก
ที่สำคัญที่สุดก็คือ นางไม่เคยเรียนเื่เครื่องจักรกลมาก่อน ไม่อาจมีนิ้วทองคำ [1] สร้างเครื่องจักรขึ้นมาเองได้ นางจึงต้องใช้วิธีที่ทั้งโง่และเหมาะสมที่สุด
แรกเริ่ม ตอนที่ผู้อำนวยการนำพวกนางเด็กกำพร้าทุกคนมาริเริ่มเพาะปลูกนั้น ชาวบ้านในอำเภอข้างๆ ต่างก็มาช่วยเหลือ
นางเห็นชาวบ้านควบม้าลากคันไถ ม้าพวกนั้นเชื่องมาก และคันไถตรงกลางก็โค้งเหมือนคันธนู เมื่อเทียบกับท่าทางเงอะงะเปิดหน้าดินของคนที่นี่แล้ว ดูท่าจะประหยัดแรงกว่ากันมาก
บางทีนางอาจจะลองทำเื่นี้ดู
คืนนี้หลังจากรับประทานอาหารเย็นเสร็จพวกผู้หญิงก็มารวมตัวกันทำงานเย็บปักเช่นเดิม เสี่ยวหมี่เองก็ร่วมสนทนาสัพเพเหระไปกับพวกนาง ขณะเดียวกันก็ก้มหน้าก้มตาวาดรูป จนเมื่อท่านป้าหลิวเตรียมตัวลากลับ นางก็ส่งรูปวาดนั้นฝากให้ป้าหลิวเอาไปให้ท่านลุงหลิวดู
เช้าตรู่วันรุ่งขึ้น เมื่อพี่ใหญ่ลู่เปิดประตูออกไปก็เจอท่านลุงหลิวยืนรออยู่ ศีรษะเขาเปียกชุ่มเหมือนจะรอมาสักพักแล้ว
พี่ใหญ่ลู่ใไม่น้อย “ท่านลุงหลิว ท่านมีเื่เร่งด่วนอันใดหรือ? เหตุใดไม่เคาะประตู?”
“ไม่รีบๆ” ท่านลุงหลิวโบกมือด้วยท่าทางซื่อๆ จากนั้นก็เอาภาพวาดสองภาพออกมาจากอกเสื้ออย่างระมัดระวัง “ข้าแค่มีคำถามจะถามเสี่ยวหมี่ เพราะข้ามีส่วนที่ไม่เข้าใจในรูปนี้”
“เช่นนั้นก็รีบเข้ามาเถอะขอรับ”
พอดีเสี่ยวหมี่ล้างหน้าล้างตาเตรียมตัวเรียบร้อยแล้วกำลังเดินออกมาจากเรือนหลัง ครั้นเห็นท่านลุงหลิวมาหาแต่เช้าก็รู้สึกแปลกใจ แต่เมื่อได้ยินเหตุผลจากเขาก็หน้าแดงน้อยๆ สิ่งที่นางเห็นมาจากในโลกยุคปัจจุบัน เนื่องจากมันเป็ของที่สำเร็จแล้วนางย่อมรู้สึกว่าง่ายดาย แต่ท่านลุงหลิวต้องจินตนาการขึ้นมาเองโดยดูจากภาพของนาง จะเข้าใจทะลุปรุโปร่งได้อย่างไร
คิดได้เช่นนี้นางก็เชิญท่านลุงหลิวเข้าไปในเรือนแล้วจึงรีบไปทำอาหารเช้าอย่างว่องไว บอกให้ท่านลุงหลิวอยู่ทานอาหารเช้าด้วยกัน จากนั้นถึงได้เช็ดโต๊ะจนสะอาดแล้วจึงค่อยอธิบายภาพนั้นให้ท่านลุงหลิวฟังอย่างละเอียด
เห็นสภาพของคนทั้งสอง ทุกคนก็รู้แล้วว่าเสี่ยวหมี่คงกำลังคิดจะทำอะไรใหม่ๆ อีกแล้ว
บิดาลู่ไม่เคยสนใจอยู่แล้วว่าบุตรสาวจะทำสิ่งใด เขาถือตำราไปเตรียมสอนหนังสือพวกเด็กๆ ตามปกติ ส่วนพี่ใหญ่ลู่ก็ลงไปที่นาเช่นเคย เหลือเฝิงเจี่ยนนายบ่าวที่เข้ามาร่วมวงด้วย ทำให้เสี่ยวหมี่รู้สึกกดดันยิ่งนัก
“ข้าก็แค่คิดขึ้นมามั่วๆ เท่านั้น ไม่แน่ว่าจะใช้ได้ เพียงแต่ต้องรบกวนท่านลุงหลิวให้ลองทำขึ้นมาก่อน”
ผู้เฒ่าหยางยิ้มตาหยีไม่กล่าววาจาใด แต่ในใจกลับไม่เห็นด้วย ั้แ่ที่มายังสกุลลู่ ของแต่ละอย่างที่เสี่ยวหมี่คิดขึ้นมาล้วนไม่ใช่เล่นๆ หากไม่ใช่เพื่อขายแลกเงินก็เป็ของใช้ที่มีประโยชน์ หากไม่ใช่เพราะเขาไม่ใช่คนงมงาย ก็คงคิดเช่นเดียวกับคนอื่นๆ แล้วว่าแม่นางน้อยคนนี้เป็เทพธิดามาจาก์
เฝิงเจี่ยนเองก็ยิ้มอย่างรักใคร่เอ็นดู ปลอบนางว่า “ไม่ต้องกลัว ลองทำออกมาก่อนเดี๋ยวก็รู้”
เมื่อท่านลุงหลิวเข้าใจแบบภาพนั้นจนถ่องแท้แล้ว ก็รีบลากลับบ้านทันที
เสี่ยวหมี่พูดต่อไปว่า “ต่อให้คันไถนี่จะใช้ประโยชน์ได้ แต่เราก็ยังต้องซื้อม้าเพิ่มเพื่อเอามาใช้แทนแรงงานวัว จะปล่อยให้ชาวบ้านลากคันไถไปทั่วนาเองก็คงไม่เหมาะสมนัก”
“เช่นนั้นก็เข้าเมืองกัน?”
เฝิงเจี่ยนยกมุมปากขึ้นน้อยๆ เสี่ยวหมี่ยิ้มรับทันที “ดีเลยๆ”
ผู้เฒ่าหยางเองก็อดยิ้มไม่ได้ “ข้าจะไปเรียกเกาเหรินมา พวกท่านไม่ต้องรีบกลับมาหรอกขอรับ ที่บ้านยังมีข้าอยู่”
เสี่ยวหมี่ได้ยินคำนี้ก็รู้สึกเขินอายเล็กน้อย ท่าทางเหมือนเขากำลังสนับสนุนให้พวกเด็กวัยรุ่นออกเดตกันเต็มที่
นางหน้าแดงก่ำ รีบก้มหน้าก้มตา “เช่นนั้นข้าจะไปเปลี่ยนเสื้อตัวนอกก่อนนะเ้าคะ”
ผ้าใหม่หลายพับที่สกุลเฉินส่งมาให้ก่อนหน้านี้ ถูกพวกพี่สะใภ้ที่ฝีมือเย็บปักดีๆ ช่วยกันตัดเย็บเรียบร้อยแล้ว
เสื้อบนร่างของเสี่ยวหมี่และเฝิงเจี่ยนล้วนเป็ฝีมือของกุ้ยจือเอ๋อร์ ทั้งงดงามและพอเหมาะรูปร่างของพวกเขาอย่างพอดิบพอดี
เสี่ยวหมี่สวมเสื้อสีฟ้ามีกระดุมผ่ากลาง ปกคอเสื้อและแขนเสื้อไม่ได้ปักดอกไม้แต่ปักเป็รูปนกน้อยน่ารักสีเหลือง ดวงตาสีดำ ปากกระจุ๋มกระจิ๋มสีแดงเข้ม ดูมีชีวิตชีวาอย่างยิ่ง ด้านล่างสวมกระโปรงร้อยจีบสีงาช้าง ชายกระโปรงปักลายดอกท้อดูงดงามและน่ารักในเวลาเดียวกัน
ส่วนเฝิงเจี่ยนสวมเสื้อตัวยาวสีน้ำเงินเข้ม ปลายแขนเสื้อเป็ทรงพับขึ้นสีขาว ชายแขนเสื้อและปกคอเสื้อเก็บขอบด้วยดิ้นสีทอง เดิมเขาเป็คนรูปร่างสูงสง่า แต่งตัวเช่นนี้ก็ยิ่งขับเน้นให้เขาดูหล่อเหลาขึ้นไปอีก เสี่ยวหมี่มองแล้วก็อดหน้าแดงไม่ได้
พวกเขากำลังจะเข้าเมืองไปด้วยอารมณ์เบิกบาน แต่จู่ๆ ก็ถูกขัดขวาง
บิดาลู่้าเข้าห้องน้ำจึงปล่อยให้เด็กๆ คัดลายมือไป ส่วนตนเองเดินออกมา ปรากฏว่าเห็นลูกสาวแต่งตัวเต็มยศ เมื่อซักถามได้ความว่าจะไปหาซื้อม้าที่ตลาดม้าชานเมือง เขาก็สั่นศีรษะราวกับลูกป๋องแป๋ง
“ไม่ได้ ไม่ได้เด็ดขาด สถานที่อย่างตลาดขายม้านั้นมีคนมากหน้าหลายตาเข้าออกพลุกพล่าน ทั้งขโมยขโจรก็มี แม่นางน้อยอย่างเ้าจะไปทำอะไร หากถูกรังแกเข้าจนเสื่อมเสียชื่อเสียง สุดท้ายจะเสียใจภายหลังก็สายไปแล้ว”
เสี่ยวหมี่ที่ทีแรกราวกับดอกทานตะวันที่เบ่งบานพลันแห้งเหี่ยวลงทันใด
นางเอาแต่ตื่นเต้นกับการจะได้ออกไป ‘เดต’ กับเฝิงเจี่ยน กลับลืมไปว่าในโลกนี้มีกฎระเบียบมากมาย
เฝิงเจี่ยนไม่อาจทนเห็นนางทำหน้าตาน่าสงสารเช่นนี้ได้ จึงเอ่ยปากช่วยพูด
“ท่านลุงลู่ มีข้าอยู่ข้างๆ เสี่ยวหมี่ไม่ถูกรังแกแน่ขอรับ”
เกาเหรินเองก็ทุบอกรับรองเช่นกัน “หากมีใครกล้ารังแกเสี่ยวหมี่ ข้าจะตีมันให้ตาย”
แต่บิดาลู่ก็ยังไม่ยินยอม มีครั้งหนึ่งเขาเข้าเมืองไปได้ยินคนเล่าลือกันว่ามีแม่นางถูกลวนลามโดนจับก้นในตลาด เมื่อกลับบ้านมาก็ถูกชาวบ้านเยาะหยันดูถูก เพียงไม่กี่วันก็ผูกคอตาย
ถึงแม้เฝิงเจี่ยนและเกาเหรินจะมีวรยุทธ์สูงส่งแค่ไหน แต่ก็ไม่อาจรับรองได้ว่าจะไม่เกิดเื่อะไรขึ้น เขาไม่อยากให้เกิดอะไรขึ้นกับบุตรสาวของเขา
ครั้นเสี่ยวหมี่เห็นว่าบิดาดื้อรั้นเช่นนี้ก็รู้สึกท้อแท้เล็กน้อย แต่สักพักก็คิดวิธีออก
“ท่านพ่อ เช่นนั้นข้าเปลี่ยนเป็สวมอาภรณ์บุรุษไปตลาดแทนดีหรือไม่เ้าคะ? การซื้อม้าเข้าบ้านครั้งนี้หากไม่ได้เลือกด้วยตาตัวเองข้าไม่วางใจ”
บิดาลู่ขมวดคิ้ว ไม่เอ่ยวาจาใด
เสี่ยวหมี่รีบสำทับว่า “อีกอย่างข้ายังคิดจะจ้างคนกลับมาช่วยทำงานจำนวนหนึ่งด้วย งานซักผ้าทำกับข้าวทั่วไปข้าคนเดียวก็เริ่มจะไม่ค่อยไหวแล้ว”
เดิมทีบิดาลู่ยังลังเลอยู่ แต่เมื่อได้ยินประโยคนี้ เมื่อเห็นรูปร่างเล็กจ้อยของบุตรสาว ใจเขาก็รู้สึกผิดยิ่งนัก
สกุลลู่มีเสี่ยวหมี่เป็บุตรสาวคนเดียว ที่เหลือก็มีแต่พวกผู้ชายตัวใหญ่เกะกะ ให้เขาผ่าฟืนตักน้ำก็คงพอไหว แต่งานละเอียดอย่างทำกับข้าวและซักผ้านั้นให้เป็หน้าที่บุตรสาวจะดีกว่า แต่นางเพิ่งอายุสิบสี่ ก็เหมือนจะยากลำบากเกินไป...
“เช่นนั้นก็รีบไปรีบกลับ ห้ามไปเถลไถลที่ไหน”
“เ้าค่ะ ท่านพ่อ ท่านวางใจ ข้ารับปากว่าเมื่อเสร็จเื่แล้วจะกลับมาทันที”
ยามเมื่อพบปัญหา หากวิธีการหนึ่งแก้ไขไม่ได้ ก็ลองใช้อีกวิธีหนึ่งแก้ปัญหาดู ที่บ้านไม่มีเสื้อผ้าผู้ชายที่เล็กพอจะให้นางสวมใส่ได้ เสี่ยวหมี่จึงต้องไปขอยืมบ้านอื่นในหมู่บ้าน
รอจนออกมาถึงปากทางหมู่บ้าน ก็เป็หลังจากนั้นไปครึ่งชั่วยามแล้ว
เสี่ยวหมี่ถอนใจโล่งอก ลูบหน้าอกเบาๆ จากนั้นก็ทำท่าทางเหมือนบิดากำลังลูบเครา ดัดเสียงเป็บุรุษชราเอ่ยว่า “ทำเอาข้าใหมดเลย การจะออกจากบ้านได้นี่ไม่ง่ายเลยจริงๆ”
คนอื่นได้ยินก็หัวเราะออกมาทันที เกาเหรินถึงกับลงไปนอนหัวร่องอหายเลยทีเดียว เฝิงเจี่ยนยื่นมือออกไปลูบเส้นผมสีดำของเสี่ยวหมี่ที่รวบเป็มวยเดี่ยวอยู่กลางศีรษะ “อีกเดี๋ยวก็ซื้อเสื้อผ้าบุรุษมาเผื่อไว้สักหน่อย วันหน้าเกรงว่าคงจะได้ใช้บ่อยๆ”
เสี่ยวหมี่หัวเราะพลางพยักหน้า หากถอดกระโปรงออกสวมอาภรณ์บุรุษแทนแล้วเคลื่อนไหวได้สะดวกกว่าจริงๆ
อาจเพราะเ้าม้าทั้งสองตัวรับรู้ได้ว่าวันนี้จะเข้าเมืองไปหาพี่น้องเพิ่มให้พวกมัน พวกมันจึงเคลื่อนฝีเท้าอย่างรวดเร็วยิ่ง เพียงไม่นานก็มาถึงนอกเมือง
เกาเหรินรับหน้าที่ดูแลรถม้า ส่วนเสี่ยวหมี่เข้าเมืองไปกับเฝิงเจี่ยน จากนั้นเมื่อออกมาจากเมืองแล้วก็เดินมาหาเกาเหริน ให้เคลื่อนรถม้าไปทางตลาดม้าที่อยู่ห่างจากประตูเมืองทิศเหนือไปครึ่งลี้ ถึงจะพูดว่าเป็ตลาดแต่ที่จริงแล้วเป็เพียงลานโล่งๆ สร้างเป็ตลาดกลางแจ้ง และสร้างเพิงหลังคามุงจากล้อมรอบเป็วงกลมเพื่อกันแดดและฝน ทางราชการส่งคนมาเฝ้าอยู่หน้าประตูเพื่อดูแลความเรียบร้อย พวกเขาตั้งโต๊ะน้ำชาเฝ้าอยู่หน้าประตู ไม่ว่าใครที่จูงวัวจูงม้าเดินออกไป ล้วนต้องเสียภาษีวัวม้าทั้งสิ้น แน่นอนว่าวัวนั้นเป็สัตว์ล้ำค่าหายาก จึงไม่นิยมค้าขายกัน ส่วนใหญ่จึงขายม้ากันมากกว่า
เสี่ยวหมี่ถูกเฝิงเจี่ยนและเกาเหรินเบียดให้ยืนตรงกลางระหว่างพวกเขา นางเดินดูโน่นดูนี่ในตลาดไปก็รู้สึกตื่นตาตื่นใจมาก
อันโจวตั้งอยู่ทางภาคเหนือของแคว้นต้าหยวน ทิศตะวันตกติดซีเจียง ทิศเหนือติดทุ่งหญ้าอันเวิ้งว้าง เป็สถานที่เหมาะสมสำหรับเพาะเลี้ยงม้า
ยามนี้ยิ่งเป็ฤดูใบไม้ผลิ มีคนออกมาเดินกันพลุกพล่าน พ่อค้าขายม้าจึงนำม้ามาขายใน่นี้กันมากเป็พิเศษ
แรกเริ่มเสี่ยวหมี่เพียงแค่เห็นม้าตัวสูงใหญ่ดวงตาก็เป็ประกาย แต่เมื่อยืนฟังคนอื่นวิเคราะห์อยู่ครู่หนึ่งก็ได้ความรู้เพิ่มขึ้น นางเริ่มมองหาม้าเพศเมียที่เตี้ยแต่กำยำและมีนิสัยอ่อนโยนแทน
ส่วนเฝิงเจี่ยนนับว่ารู้เื่ม้าเป็อย่างดี แรกเริ่มเขาเห็นเสี่ยวหมี่ตื่นเต้นไปกับม้าตัวใหญ่ก็ไม่ได้เอ่ยขัดอะไร ยามนี้เมื่อเห็นว่านางเริ่มกลับมามองหาม้าที่ถูกต้องแล้วก็ยิ่งไม่มีความจำเป็ต้องพูดอะไรอีก
ในแคว้นต้าหยวนยังไม่มีใครคิดอะไรแปลกใหม่ได้แบบเสี่ยวหมี่ คิดจะใช้ม้ามาลากคันไถ ดังนั้นม้าเพศเมียตัวเตี้ยส่วนใหญ่มักจะขายให้กับสตรีเสียมากกว่า
แต่ในยุคสมัยนี้ จะมีสตรีสักกี่คนที่กล้ามาเลือกม้าท่ามกลางสายตาคนมากมายเช่นนี้ จึงมีสตรีเพียงไม่กี่คนในตลาด
เสี่ยวหมี่หาไปหามาในที่สุดก็เจอม้าเพศเมียสี่ห้าตัวที่ขายอยู่ตรงมุมตลาด ด้วยอารามตื่นเต้นดีใจก็รีบพุ่งเข้าไปถามว่า “ม้านี่ขายอย่างไร? หากซื้อหลายตัวเล่าจะขายให้ในราคาเท่าใด?”
พ่อค้าม้าคนนั้นกำลังกินแป้งทอดไส้เนื้ออยู่ บางทีอาจเพราะรสชาติไม่ดีนักจึงขมวดคิ้วมุ่น เห็นเสี่ยวหมี่สวมอาภรณ์เก่าๆ แต่เฝิงเจี่ยนที่ยืนอยู่ด้านหลังกลับสวมอาภรณ์ชั้นดีตัวใหม่ ก็นึกว่านางเป็เด็กรับใช้
เขาจึโยนแป้งทอดในมือทิ้งแล้วรีบดีดตัวขึ้นมายิ้มแย้มต้อนรับ “แหม คุณชายท่านนี้จะซื้อม้าหรือขอรับ ไม่ได้จะอวดอะไรหรอกนะ แต่ม้าพวกนี้ข้าได้มาจากซีเจียง เป็ม้าเตียน [2] ขนานแท้ นิสัยอ่อนโยนเป็ที่สุด ทั้งยังอึดและแรงเยอะ เหมาะให้ฮูหยินและคุณหนูในบ้านขี่อย่างยิ่ง ส่วนเื่ราคานั้น ถ้าไปซื้อร้านอื่นคงขายในราคายี่สิบตำลึง แต่ร้านข้าคิดแค่สิบแปดตำลึงก็พอขอรับ”
เสี่ยวหมี่เลิกคิ้ว เมื่อครู่นางได้ยินมาชัดๆ ว่าม้าลักษณะนี้ราคาสิบห้าตำลึง ชัดเจนว่าพ่อค้าคนนี้เห็นว่านางมีใจอยากจะซื้อแน่แล้วจึงคิดจะค้ากำไรเกินควร
แน่นอนว่านางเองก็ไม่มีทางยอมถูกรังแกง่ายๆ มีผู้หญิงคนไหนบ้างที่ต่อราคาไม่เป็ กางเกงยีนส์ราคาเป็ร้อยนางต่อเหลือสิบแปดหยวนก็เคยทำมาแล้ว นางไม่เห็นพ่อค้าม้าคนนี้อยู่ในสายตาหรอก
“สิบแปดตำลึง ร้านก่อนหน้านี้บอกว่าคิดแค่สิบห้าตำลึงเท่านั้น เช่นนั้นข้ากลับไปถามดูใหม่แล้วกัน หากซื้อสี่ห้าตัวคงได้ราคาถูกลงอีกแน่”
เสี่ยวหมี่พูดจบก็หมุนกายกลับทันที เฝิงเจี่ยนและเกาเหรินเองก็ยิ้มแย้มเดินหันหลังตามนางไปเช่นกัน เหลือไว้เพียงพ่อค้าม้าที่บัดนี้มีสีหน้าโง่งมยิ่งนัก
เคยเห็นแต่เด็กรับใช้เดินตามรับใช้เ้านาย ที่ไหนกันที่เ้านายกลายมาเป็คนเดินตามเด็กรับใช้ต้อยๆ เช่นนี้...
“แหมๆ น้องชายอย่าเพิ่งไปสิ เรายังคุยกันได้นะ คุยกันได้”
พ่อค้าม้ารีบรั้งคนไว้ทันที เมื่อโน้มน้าวคนทั้งสามเอาไว้ได้แล้วก็เอ่ยอย่างจริงใจว่า “รอบนี้ข้าได้ม้ามาสามสิบตัว ขายออกไปหมดแล้ว เหลือแค่ม้าเตี้ยๆ สี่ตัวนี้ ถ้าอย่างไรก็ขายออกไปให้น้องชายด้วยราคาทุนแล้วกัน ตัวละสิบสามตำลึง สี่ตัวข้าคิดน้องชายห้าสิบสองตำลึงก็แล้วกัน เป็อย่างไร?
“ถ้วนๆ ก็แล้วกัน ห้าสิบตำลึงได้หรือไม่”
เชิงอรรถ
[1] นิ้วทองคำ (金手指) หมายถึงสูตรโกง หรือก็คือความสามารถพิเศษของตัวเอกในนวนิยาย
[2] ม้าเตียน(滇马)ม้าเตี้ยแห่งยูนนาน มีจุดเด่นที่ตัวเตี้ยแต่กำยำแรงเยอะและนิสัยอ่อนโยนมั่นคง
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้