เทือกเขาชิงชิวเป็เขตแดนของสำนักชิงเฉิง ทั้งแนวเขาล้วนเป็ของสำนักชิงเฉิง
ลั่วเฉิงหยวนเป็เ้าสำนักชิงเฉิงที่มีฉลาดไหวพริบดี ทั้งยังเก่งเื่การค้า เขาเปิดสถานที่ที่คนพลุกพล่านในแนวเขาชิงชิว และสร้างตัวเมืองขนาดใหญ่ขึ้น อนุญาตให้พวกมีอำนาจและพวกพ่อค้าเข้ามาเปิดร้านค้าขาย ขอเพียงจ่ายส่วยจำนวนตามที่กำหนดไว้
จากนั้นเมืองใหญ่พวกนี้ก็เจริญก้าวะโ จนถึงตอนนี้ เมืองชิงนับว่ามีชื่อเสียงที่สุดในหลายเมือง
ชื่อเสียงของเมืองชิงนั้นกว้างไกลกว่าเมืองฮุยจี๋ ประชากรอาจไม่มากเท่าเมืองฮุยจี๋ แต่คนสัญจรนั้นมากกว่าเมืองฮุยจี๋ เพราะสิ่งของล้ำค่าที่ไม่อาจหาได้จากเมืองฮุยจี๋นั้น ล้วนหาได้จากเมืองชิง
ครั้งนี้แหล่งที่หลิงเซียวสืบได้ก็คือเมืองชิง
อีกสามวันที่จะถึง เนื้อแพะหมื่นปราณอาหารของเ้าลูกบอลจะปรากฏที่เมืองชิง อีกทั้งไม่ใช่แค่ตัวเดียว ดังนั้นจึงดึงดูดผู้คนมากมายไปยังที่นั่น
แพะหมื่นปราณนั้นดึงดูดนักฝึกตน ดังนั้นการแย่งชิงต้องดุเดือดเป็แน่
เมื่อรู้ข่าวนี้ โหยวเสี่ยวโม่ก็เริ่มเตรียมตัว
จากข่าวของหลิงเซียว เขาต้องใช้วิธีสู้ราคาเพื่อให้ได้แพะหมื่นปราณมา ดังนั้นเขาต้องแน่ใจว่าเตรียมเงินไว้มากพอ
เพื่อให้เ้าลูกบอลเติบโตเร็ววัน โหยวเสี่ยวโม่จึงลงแรงเต็มที่ เขาตัดสินใจว่าจะใช้เงินที่เก็บไว้ทั้งหมด เพราะตอนนี้เขามีเมล็ดหญ้าเซียนเก็บไว้เพียงพอแล้ว คงไม่ซื้อเร็วๆ นี้ แต่เขาก็กังวลว่าเงินจะไม่พอ ดังนั้นตัดสินใจว่าลงเขาแล้วจะขายยาเซียนตันเพิ่ม
นอกจากเื่นี้ หลิงเซียวยังเล่าเื่เมืองฮุยจี๋ให้เขาฟังด้วย
แผนที่แดน์วิมานเขาได้มาแล้ว แต่อย่างที่ผู้ช่วยฉีบอก มันเป็เพียงส่วนเดียว ทว่าโชคดีที่บนนั้นมีแสดงจุดสถานที่หญ้าเจ็ดดาว
ส่วนถังฮุย โหยวเสี่ยวโม่ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าเขามีจุดจบแบบไหน
จากนิสัยของหลิงเซียว คงไม่มีทางได้เกิดใหม่ ดังนั้นหลังจากที่ถังฮุยตาย ผู้ช่วยก็ขึ้นแทนที่อย่างราบรื่น แม้พลังของเขาไม่เก่งกาจพอจะเอาทุกคนอยู่ แต่เื้ัมีหลิงเซียวก็เพียงพอแล้ว อีกทั้งที่เลือกให้เขาขึ้นปกครองเมืองฮุยจี๋ เพราะคนผู้นี้ฉลาดหลักแหลม ดูเื่ราวได้เด็ดขาดชัดเจน
จากนั้น หลิงเซียวก็อยู่ที่เมืองฮุยจี๋สองวันจึงกลับไป
แม้ถังฮุยจะตายแล้ว แต่นี่ก็สร้างความยุ่งเหยิงขึ้นมาบ้าง เพราะเขาช่วยให้ผู้ช่วยขึ้นปกครอง แน่นอนว่าจะมีคนไม่พอใจ ดังนั้นหลิงเซียวจึงอยู่ต่อเพื่อกำราบคนพวกนั้นจนทุกอย่างเข้าที่ และไม่มีใครกล้าคิดทรยศ แล้วเดินกลับ
แต่พอเขากลับมา ระยะเวลาที่แพะหมื่นปราณจะปรากฏขึ้นก็เหลือเพียงวันเดียว
หลิงเซียวไม่ได้ขึ้นมารับเขาที่ทัพพิภพเอง แต่นัดพบเขาที่โรงเตี๊ยมเมืองเหอผิงแทน
เนื่องจากฟางเฉินเล่อไปเขานทีเมฆา ก่อนโหยวเสี่ยวโม่เดินทางจึงบอกกับจ้าวต๋าตันแทน ข้ออ้างที่คิดไว้คือ จะลงเขาไปขายยาเซียนตันและซื้อหญ้าเซียน จ้าวต๋าตันไม่ได้สงสัยอะไร เพียงแต่รับปากว่าจะช่วยบอกอาจารย์ให้ จากนั้นโหยวเสี่ยวโม่กล่าวขอบคุณและลงเขาไป
ลงเขาปุ๊บ เขาก็ตรงดิ่งเข้าเมืองเหอผิง เพราะเขามาถึงเร็ว ดังนั้นจึงยังไม่เห็นเงาหลิงเซียว
เ้าของโรงเตี๊ยมเห็นเขา ราวกับรู้ว่าเขาคือศิษย์สำนักเทียนซิน รีบเชื้อเชิญเข้าไปนั่ง
มีคนกินข้าวตรงโถงใหญ่มากมาย ทั้งยังเสียงดัง แต่โหยวเสี่ยวโม่ไม่ได้ให้เ้าของเตรียมห้องพักให้เขา เพราะกลัวว่าหลิงเซียวมาถึงแล้วหาเขาไม่เจอ จึงไม่ได้ไปไหน อีกทั้งห้องพักต้องใช้เงิน โหยวเสี่ยวโม่ที่แอบขี้เหนียวและต้องประหยัดจึงไม่อยากจ่ายเงินสุรุ่ยสุร่าย
เนื่องจากเื่แดน์วิมานนั้นสะพัดไปทั่วแล้ว ดังนั้นไม่ว่าที่ไหนก็จะได้ยินคนพูดถึงเื่นี้
แต่โหยวเสี่ยวโม่ฟังเื่เล่าแดน์วิมานมากมายจากหลิงเซียว จึงไม่ได้สนใจใคร่รู้กับสิ่งที่คนพวกนี้กำลังคุยกัน
ขณะที่เขาดื่มชาไปราวสิบจอก กำลังลังเลว่าจะไปเข้าห้องน้ำดีหรือไม่นั้น จู่ๆ ข้างๆ ถัดไปนั้นก็มีเสียงดังครึกโครมขึ้น เหมือนคนทะเลาะวิวาทกันเลยชะเง้อคอดู มีเงาร่างคนถูกต่อยกระเด็นมาทิศทางนี้พอดี
โหยวเสี่ยวโม่ชะงัก นี่ตั้งใจเก็บกวาดตัวประกอบหรือ?
จากนั้นเขาก็รู้สึกว่ามีคนดึงแขนเขา แล้วตัวเขาก็ถูกกระชากล้มไปอีกด้าน
ร่างที่ลอยกระเด็นมาอัดกระแทกเข้ากับโต๊ะ ร่างกำยำเหมือนวัวทับโต๊ะตัวนั้นจนแหลกละเอียด นี่ต้องใช้เรี่ยวแรงมหาศาลแค่ไหนกันถึงทำได้ขนาดนี้!
โหยวเสี่ยวโม่จ้องมองภาพนี้อย่างตกตะลึง โห! หากเปลี่ยนเป็เขาที่ถูกกระแทก กระดูกคงแตกละเอียดไปแล้ว? พลันอึ้งกึมกี่ โชคดีขนาดไหนที่เขาหลบพ้นมาได้
โหยวเสี่ยวโม่นึกว่าคนที่ช่วยเขาไว้คือหลิงเซียว หันหลังมาเอ่ย “ศิษย์พี่หลิง ท่าน...”
เสียงของเขาที่หันมาเห็นหน้าอีกฝ่ายนั้นหยุดชะงักลง หมอนี่ไม่ใช่หลิงเซียวนี่ ห่างชั้นกับหลิงเซียวมากเมื่อเทียบกัน ใบหน้าเต็มไปด้วยผื่น…
“เ้าน้องชาย เ้าจำคนผิดแล้ว ข้าน้อยแซ่หลิน แต่จำไม่ได้ว่ามีศิษย์น้องที่ดีขนาดนี้ เมื่อครู่ข้าเห็นว่าท่านเกือบถูกคนกลุ่มนั้นกระแทกเข้าให้ ดังนั้นจึงออกมือช่วย หากล่วงเกินประการใด ได้โปรดอภัยด้วย!” ชายชุดฟ้าครามเห็นโหยวเสี่ยวโม่จำคนผิด หาได้เคือง แต่น้ำเสียงกลับมีความละมุมละม่อมและมีเอกลักษณ์ ท่าทีมีมารยาทและกล่าวคำขอโทษโหยวเสี่ยวโม่แทนอีก
“ขอโทษๆ ข้านึกว่าศิษย์พี่ข้ามาน่ะ” โหยวเสี่ยวโม่รีบขอโทษ หัวเราะเขินๆ
ชายชุดฟ้าครามตาลุกวาว หัวเราะแล้วเอ่ย “อย่าได้ใส่ใจ หากว่าข้ามีศิษย์น้องหน้าตาดีอย่างนี้ ข้าคงหัวเราะอารมณ์ดีไปหลายวัน ใช่สิ น้องชาย ศิษย์พี่เ้ายังไม่มาหรือ?”
“ใช่ ท่านมีอะไรหรือเปล่า?” โหยวเสี่ยวโม่ถาม
“ไม่มีอะไร ถ้าอย่างนั้น ไม่มีโต๊ะว่างอยู่เลย หากน้องชายไม่รังเกียจก็มานั่งด้วยกันสิ ยังไงข้าก็นั่งคนเดียวอยู่แล้ว ว่าไง?” ชายชุดฟ้าครามผายมือบอก กลัวว่าเขาจะคิดว่าตัวเองมีจุดประสงค์แอบแฝง จากนั้นจึงเอ่ยชวนใบหน้ายิ้มแย้ม
โหยวเสี่ยวโม่เห็นว่าเขาพูดมีเหตุผล จึงไม่ได้ปฏิเสธ กำลังจะอ้าปากตอบรับ ในตอนนั้นก็มีคนเดินเข้ามา แต่งกายดูหรูมีสง่า แลดูไม่ธรรมดา รูปโฉมงดงาม เป็คนประเภทที่เดินไปถึงไหนก็เปล่งแสงสว่างจ้า บวกกับรังสีที่แผ่ออกมาจากตัวเขา ดูก็รู้ว่าเป็จอมยุทธ์
ขณะที่ผู้คนกำลังวิเคราะห์ชายสง่างามผู้นี้ โหยวเสี่ยวโม่ก็ลุกขึ้น โบกมือไปยังชายผู้นี้ ะโน้ำเสียงดีใจ “ศิษย์พี่หลิง ข้าอยู่นี่”
ที่เขาไม่ทันสังเกตคือ เมื่อชายชุดฟ้าครามได้ยินคำนี้เข้า ใบหน้าก็เปลี่ยนเป็อารมณ์เสียเอาดื้อๆ ราวกับว่าเนื้อเป็ดกำลังจะเข้าปากแต่ก็บินหายวับไป
หลิงเซียวเดินมา กวาดตามองโต๊ะที่แตกละเอียด จากนั้นเลื่อนสายตาไปยังโหยวเสี่ยวโม่และชายชุดฟ้าคราม ไม่ได้ถามอะไร สายตาดูแคลนจรดอยู่ที่ตัวชายชุดฟ้าคราม
ชายคนนั้นถูกจ้องจนวางตัวไม่ถูก รู้สึกได้ว่ากำลังถูกผู้ชายคนนี้จ้องลึกจนเห็นทุกอย่างแล้ว พลันเหงื่อตก พลังของชายคนนี้คงสูงกว่าเขามาก เห็นทีเป็ดที่ต้มได้ครึ่งตัวนี่คงจะบินหนีไปจริงๆ แล้ว
คิดเช่นนี้ ชายชุดฟ้าครามก็ปั้นหน้ายิ้มแย้มแล้วเอ่ยกับโหยวเสี่ยวโม่ “น้องชาย ในเมื่อศิษย์พี่เ้ามาแล้ว งั้นข้าน้อยก็ไม่รบกวนพวกท่านต่อ พึ่งนึกได้ว่ายังมีธุระต้องทำ ข้าน้อยขอตัว ลาก่อน”
โหยวเสี่ยวโม่อุทาน “เอ๊ะ” ตั้งใจจะแนะนำเขาให้หลิงเซียว อย่างไรเสียเขาก็ช่วยชีวิตตัวเองไว้ แต่ก็นึกขึ้นได้จึงรีบะโเรียกเขาไว้ “พี่ชาย ไม่ทราบว่าท่านชื่ออะไรรึ?”
ชายชุดฟ้าครามหน้านิ่งทันใด รีบโบกมือรัว สองเท้ารีบก้าวออกไปทางประตูอย่างไม่คิด แสร้งเอ่ยว่า “แค่บังเอิญสวนทางพบกัน ไม่จำเป็ต้องใส่ใจหรอก”
โหยวเสี่ยวโม่บ่นอย่างเสียดาย “ช่างเป็คนทำดีไม่หวังผลตอบแทน!”
เมื่อพูดจบ คนพวกนั้นที่กำลังเงี่ยหูฟังพวกเขาถึงกับแทบสำลัก
พวกเขาสิที่ต้องเสียดาย น้องชายคนนี้เห็นทีจะเป็พวกซื่อบื้อที่ถูกหลอกขายแล้วยังจะช่วยเขานับเงินแน่ เป็พวกทำดีไม่หวังผลตอบแทนมากกว่าเสียอีก อย่างนักฝึกตนที่ปะทะกับคนไปทั่ว มีใครบ้างที่ไม่ได้คลานขึ้นมาจากโคลนตมจนร่างกายแปดเปื้อน
ไม่มีใครที่จะช่วยเหลือเ้าอย่างไร้สาเหตุ นอกจากว่าเป็พวกโง่เขลาของแท้ อีกฝ่ายล้วนมีจุดประสงค์แฝงทั้งนั้น และชายชุดฟ้าครามนี่ก็ชัดว่าเป็กลุ่มที่สอง
“นั่นน่ะสิ เป็คนดีทีเดียว!”
ขณะนั้นเอง หลิงเซียวที่นิ่งเงียบก็เอ่ยคำชมขึ้น ทั้งยังใบหน้ายิ้มแย้มน่าเข้าหา
คนทั้งหมดอ้ำอึ้งหันไปมองเขา พวกเขาต่างนึกว่าชายคนนี้จะรีบเอ่ยตักเตือนเด็กหนุ่มไม่ให้รับความช่วยเหลือจากคนอื่นง่ายๆ คิดไม่ถึงว่าเขาจะเห็นด้วยกับเด็กหนุ่มเสียแบบนั้น ทั้งๆ ที่ดูฉลาดหลักแหลม
ชายชุดฟ้าครามที่เดินไปถึงประตูเกือบสะดุดหัวคะมำ ใบหน้าเลิ่กลั่ก หรือเขาคาดเดาผิดไป?
ขณะที่ทุกคนคิดไปต่างๆ นานา โหยวเสี่ยวโม่กลับเอะใจ เพราะจากภาพความจำของเขา หลิงเซียวไม่มีทางเอ่ยชมใครง่ายๆ ทั้งยังชมด้วยรอยยิ้มอ่อนโยนเช่นนี้ ต้องมีอะไรผิดปกติแน่
เื่จริงพิสูจน์ว่าเขาคิดไม่ผิด ชายชุดฟ้าครามไม่ทันได้ก้าวออกไปก็โดนหลิงเซียวลากกลับมา ท่าทางประมาณว่า “เ้าคือผู้มีบุญคุณของศิษย์น้องข้า ข้าจะตอบแทนเ้าเอง” จากนั้นก็ชนจอกแก้วกับเขาไม่หยุด
จนเมื่อพวกเขาออกจากโรงเตี๊ยม ชายชุดฟ้าครามก็คลานหมอบแล้ว ทั้งตัวมีแต่กลิ่นเหล้า น้ำลายไหลย้อย มีคนเห็นเขาท่าทางไม่ได้สติ อาศัยจังหวะขโมยถุงเก็บของเขาไป
ถัดมา เมืองเหอผิงก็มีเื่เล่าเพิ่มขึ้นมาอีกเื่ มีชายไม่มีตังค์จ่าย จึงถูกเ้าของซ้อมปางตายแล้วถูกเปลื้องผ้าหมด จากนั้นโยนออกจากโรงเตี๊ยม ชายคนนั้นวิ่งเปลือยกายรอบเมืองเหอผิง…
โหยวเสี่ยวโม่รู้เื่นี้มาอีกทีคือหลังจากนั้นนานพอสมควร ถึงตอนนั้นเขาก็ถูกหลิงเซียวสั่งสอนไปแล้วเรียบร้อย
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้