ใบหน้านั้นทำเอาทุกคนในที่นี้แทบตกตะลึง
โดยเฉพาะการแสดงออกของซูจ้งนั้นช่างดูวิเศษนัก เป็เขาที่ค้นพบความแตกต่างของซิ่งหลิวหลีเขาทั้งรีบเร่ง ทั้งเบิกบานที่จะเปิดเผยข้อเท็จจริง เพื่ออ้างเอาความดีความชอบเบื้องพระพักตร์ฮ่องเต้ว่าเขาเป็ผู้ที่ถอดหน้ากากิัมนุษย์ออกจากใบหน้าของซิ่งหลิวหลีด้วยตนเอง
ทว่าคิดอย่างไรก็คิดไม่ถึงเลยว่า ใบหน้าที่อยู่ภายใต้หน้ากากิัมนุษย์นั้นจะกลายเป็บุตรสาวของตนเอง ‘ซูเมิ่งเหยา’
นี่เท่ากับว่าเป็การตบหน้าตนเองอย่างรุนแรง
ซูจ้งยืนอยู่ตรงนั้นในมือของเขาถือหน้ากากิัมนุษย์ที่ดึงออกจากใบหน้าของซูเมิ่งเหยา ปากอ้าเปิดด้วยความประหลาดใจเป็รูปตัว‘O’ ดวงตาทั้งสองข้างแสดงออกถึงความไม่อยากจะเชื่อ ทั้งยังไม่กล่าวอันใดแม้แต่น้อย
ใบหน้าของซูจิ่นซีก็เต็มไปด้วยความตกตะลึงเช่นกัน
นางจำได้ว่าตนเองเคยไปหาซูเมิ่งเหยาที่เรือนก่อนหน้าที่จะแต่งเข้าจวนโยวอ๋องหลังจากที่ซูจิ่นซีออกจากเรือนไป ซูเมิ่งเหยาก็ไม่ปรากฎตัวออกมาอีก หลังจากนั้นนางก็ติดต่อกับจวนสกุลซูน้อยมากซูจิ่นซีจึงไม่ได้พบเจอกับซูเมิ่งเหยาอีกเลย
คาดไม่ถึงว่าซิ่งหลิวหลีจะกลายเป็ซูเมิ่งเหยาไปได้
นางเป็ผู้ที่อ่อนโยนและใจดีผู้หนึ่ง!
สิ่งที่ซิ่งหลิวหลีทำทั้งหมดนั้น อย่างไรก็ไม่มีทางเทียบกับซูเมิ่งเหยาได้ทว่าในเวลานี้ ข้อเท็จจริงปรากฏอยู่ตรงหน้า ซูจิ่นซีทนไม่ได้ที่จะเก็บความสงสัยแม้แต่ครึ่งคำ
เยี่ยโยวเหยาที่ไม่เคยใส่ใจสิ่งใด บัดนี้การแสดงออกของเขายากที่จะเก็บงำไว้ได้ใบหน้าเกิดการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย
เขาเคยพบซูเมิ่งเหยามาก่อน
องครักษ์เงาของเขาเคยเข้าใจผิดเพียงเพราะเข็มขัดหยกเส้นหนึ่ง ซูเมิ่งเหยาเคยเป็ผู้ที่เขา้าตามหาตัวองครักษ์เงาได้นำนางมาที่จวนโยวอ๋อง ในตอนนั้นเยี่ยโยวเหยายังเข้าใจผิด คิดว่าผู้ที่บังคับขืนใจตนที่สวนหลังจวนสกุลซูคือซูเมิ่งเหยาผู้นี้
ทว่าเขาจำได้ว่า ตอนนั้นได้สั่งให้องครักษ์สับร่างของคนผู้นี้ให้เป็หมื่นๆชิ้นแล้ว เหตุใดนางยังมีชีวิตอยู่ได้?
ดวงตาของเยี่ยโยวเหยาค่อยๆ หรี่ลง ดำมืดเป็อย่างยิ่ง
ฉินเทียนที่ยืนอยู่ด้านข้างคอยเฝ้าดูได้สังเกตเห็นถึงการเปลี่ยนแปลงของเยี่ยโยวเหยามานานแล้วฉินเทียนกล่าวด้วยน้ำเสียงเข้มว่า “โยวเหยาเื่นี้ข้าจะไปตรวจสอบให้ชัดเจน”
ดูเหมือนว่าคนของจวนโยวอ๋องและคนของวิหาริญญาจะไม่จงรักภักดีมากพอ คงต้องได้รับการจัดระเบียบเสียใหม่
ซูจิ่นซีมองไปยังใบหน้าของซูเมิ่งเหยาที่หมองคล้ำ ทว่าซูเมิ่งเหยากลับสงบนิ่งเป็อย่างมากนางยกยิ้มแ่เบาที่มุมปาก
ฮ่องเต้ไม่มีพระทัยต่อเื่เหล่านี้แล้ว ทว่าทันทีที่พระองค์คิดจะจากไปก็ราวกับบีบหางของใครบางคนเอาไว้ได้ฮ่องเต้หันกลับมาด้วยความสนพระทัย
“หึ... ดูเหมือนว่าละครฉากนี้ยิ่งแสดงก็ยิ่งน่าสนใจมากขึ้นเสียแล้ว” เยี่ยเซินหัวเราะเยาะเย้ยขึ้นมา
ซูจ้งที่กำลังตกตะลึงก็ยิ่งทำอันใดไม่ถูก
“ซูจ้ง ที่แท้เ้านี่ช่างทุ่มเทแสดงความซื่อสัตย์เสียจริง คงเป็เื่ยากสำหรับเ้าเมื่อคนในสกุลทำผิด เ้าก็ว่าไปตามผิดโดยไม่เห็นแก่ความเป็ญาติมิตรถึงสองครั้งสองหนคงลำบากเ้าไม่น้อยเลย ก่อนหน้านี้เป็ซูจิ่นซี ตอนนี้ก็เป็ซูเมิ่งเหยาอีก หึๆ... ” เยี่ยเซินเย้ยหยัน
“เื่ราวนี้ คาดไม่ถึงว่าตัวการหลักที่ก่อคดีร้ายแรงกลับเป็คนของสกุลซูตามกฎหมายของจงหนิง อย่างไรก็ตามต้องปะาเก้าชั่วโคตร ความผิดของสกุลซูนับว่าร้ายแรงกว่าสกุลฮั่วอีก! ดูเหมือนว่าคราวนี้สกุลซูคงหนีไม่พ้นเสียแล้ว”
“หัวหน้าสำนักหมอหลวงซูทำเช่นนี้ได้อย่างไร? เขาโง่หรือไม่?คาดไม่ถึงว่าจะยกก้อนหินขึ้นมาทุบเท้าตนเอง”
“ข้าว่านะ เขา้าได้หน้าในราชสำนักจนบ้าไปแล้วอย่างไรเล่า! เ้าดูการแสดงออกของเขาสิ ไม่รู้ความจริงอย่างแน่นอน!”
“อ้าว... แท้ที่จริงสกุลซูก็น่าสงสารเช่นกัน คาดไม่ถึงว่าซูเมิ่งเหยาจะเป็ผู้ที่ทำให้เกิดหายนะถึงเพียงนี้สงสารก็เพียงแต่พระชายาโยวอ๋อง เกรงว่าครั้งนี้ แม้โยวอ๋องจะมีใจปกป้อง ก็คงปกป้องนางไม่ไหวแล้วกระมัง? ”
“ไม่แน่หรอก? ไม่ว่าอย่างไรโยวอ๋องกับฝ่าาก็เป็พี่น้องที่สนิทชิดเชื้อกันหากโยวอ๋องมีใจจะปกป้องพระชายาโยวอ๋อง ฝ่าาก็คงต้องเห็นแก่ฮ่องเต้พระองค์ก่อน แล้วไว้หน้าโยวอ๋องสิ!”
“จะเป็ไปได้อย่างไร? ข้าได้ยินมาว่าตอนนี้ในพระทัยของฝ่าา้ากำจัดจวนโยวอ๋องนี่! ไม่แน่ว่าครั้งนี้โยวอ๋องอาจจะเกี่ยวพันกับจวนสกุลซูไปด้วย! ”
......
ในฝูงชนเริ่มมีการวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างเงียบๆ ขึ้นมาอีกครั้ง
“พระชายาโยวอ๋อง เื่นี้เ้าควรอธิบายอันใดสักหน่อยหรือไม่? ”
ฮ่องเต้กดความรู้สึกพึงพอพระทัยเอาไว้ แล้วตรัสถามซูจิ่นซีอย่างจริงจัง
ในเวลานี้ซูจิ่นซีเพิ่งฟื้นจากความประหลาดใจ นางวางแผนจะเผชิญหน้ากับมันอย่างไม่หวาดหวั่น
“ฝ่าา พระองค์หมายความว่าอย่างไรเพคะ? เหตุใดหม่อมฉันจึงรู้สึกว่าพระองค์กำลังตำหนิหม่อมฉันอยู่?สมควรแล้วหรือเพคะ? หากหม่อมฉันรู้ว่าใบหน้าที่แท้จริงของฆาตกรคือพี่สี่ของหม่อมฉัน…ซูเมิ่งเหยา หม่อมฉันยังจะต้องเสียแรงทำงานมากมายถึงเพียงนั้นหรือเพคะ? ”
“ขุนนางซู เ้าจะว่าอย่างไร? ”
ฮ่องเต้เดินกลับไปยังที่นั่งัอย่างไม่รีบร้อน พลางตรัสถามซูจ้ง
ซูจ้งใจนเสียสติไปแล้ว ยังไม่ทันจะเรียกสติกลับมาก็ถูกฮ่องเต้ถามเช่นนี้ขาทั้งสองอ่อนแรงจนแทบจะคุกเข่า
ซูจ้งหันกลับมาทันทีและตบเข้าที่ใบหน้าของซูเมิ่งเหยาอย่างแรงหนึ่งครั้ง “เ้ามันลูกทรยศ!!! ”
ซูเมิ่งเหยาถูกตบจนเืกบปาก บนใบหน้ามีรอยเืจากฝ่ามือและนิ้วทั้งห้าประทับอยู่ทว่าคอของนางกลับตั้งตรงอย่างยิ่ง นางจ้องมองไปที่ซูจ้งด้วยดวงตาดุร้าย
‘ติ๊ดติ๊ดติ๊ด’
“ระวัง! มีพิษ... ”
ซูจิ่นซีรีบเอ่ยเตือนทันทีที่ได้รับการแจ้งเตือนจากระบบถอนพิษ ทว่าสายเกินไปเสียแล้ว
เข็มเงินเล่มเล็กที่ซ่อนอยู่ใต้ลิ้นของซูเมิ่งเหยาถูกพ่นออกมาราวกับลิ้นของงูมันพุ่งไปแทงที่คอของซูจ้ง
พิษออกฤทธิ์อย่างรวดเร็ว ตาทั้งสองข้างของซูจ้งเบิกค้าง ไม่ทันได้กล่าวอันใดก็ล้มลงบนพื้น
โชคดีที่ไม่ใช่ยาพิษที่ฆ่าคนได้ในทันที ซูจิ่นซีจึงไม่เร่งรีบถอนพิษให้ซูจ้งทำเพียงป้อนยาระงับพิษชั่วคราวหนึ่งเม็ด
ซูจ้งโเี้ร้ายกาจถึงเพียงนั้น ซูจิ่นซีจึงจงใจไม่ถอนพิษให้กับเขา นางตั้งใจทำให้เขาทนทุกข์ทรมานอีกสองสามวัน
“จับคนของจวนสกุลซูทั้งหมดเข้าคุกเสีย! อายัดจวนสกุลซูสั่งให้คนของศาลต้าหลี่สอบสวนคดีนี้ด้วยตนเอง” ฮ่องเต้ออกคำสั่งอย่างไม่เร็วไม่ช้าจนเกินไป
องครักษ์ทุกนายล้วนเข้าใจฮ่องเต้เป็อย่างดี พวกเขาเข้ามาจับกุมตัวคนของสกุลซูทั้งหมดไว้ในทันทีรวมถึงซูจิ่นซีด้วยเช่นกัน
“พระชายาโยวอ๋อง ล่วงเกินแล้ว ขอเชิญท่านมากับพวกเราด้วย”
ทหารองครักษ์ทั้งสองเดินมายังด้านหน้าของซูจิ่นซี ท่าทีในครานี้เป็ไปอย่างสุภาพไม่ได้เข้ามาควบคุมตัวนางในทันที
เื่ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วเกินไป แม้ในใจของซูจิ่นซีจะสงบนิ่งทว่านางยังคิดไม่ออกว่าควรจัดการเื่นี้อย่างไร ดังนั้นจึงไม่พูดอันใดออกไปแม้แต่น้อยทำได้เพียงเดินตามทหารองครักษ์ทั้งสองคนนั้นไปก่อน
ก่อนจากไป ซูจิ่นซีเหลือบมองไปยังฮ่องเต้ ฮองเฮา และเยี่ยเซิน
ใบหน้าของทุกคนแสดงออกถึงความสุขและความพึงพอใจเป็อย่างยิ่ง
สารเลว!
นี่มันสังคมอันใดกัน!
ฮ่องเต้กับเ้าสุนัขเยี่ยเซินนั่นก็ช่างเถิด ทว่าฮองเฮาช่างไร้ยางอายเกินไปแล้วนางโชคดีที่ก่อนหน้านี้ซูจิ่นซีทั้งถอนพิษให้ ทั้งยังหาฆาตกรให้นางอีก
ที่แท้นางก็เป็จิ้งจอกตาขาว [1] อันดับต้นๆ นี่เอง
ซูจิ่นซีแอบกำหมัดแน่น แต่นี้ต่อไปอย่าให้มีเื่อันใดที่ต้องมาขอร้องนางเล่ามิฉะนั้นละก็กินเข้าไปอย่างไรก็จะให้นางอาเจียนออกมาอย่างนั้น หลังจากนั้นก็จะปล่อยให้นางตายไปเสีย
ซูจิ่นซีเหลือบมองไปที่จิ่วหรงอีกครั้ง จิ่วหรงขมวดคิ้วเล็กน้อยในมือแอบบีบบางอย่างเอาไว้เป็ข้อความส่งให้กับซูจิ่นซีว่าไม่ต้องสนใจอันใดอีกแล้วเขาจะใช้กำลังแก้ปัญหานี้ เขาจะเข่นฆ่าผู้คน ทำให้กลายเป็ถนนเืแล้วนำตัวซูจิ่นซีไป
ซูจิ่นซียิ้มแ่เบาที่มุมปาก และส่ายหน้าไปทางจิ่วหรง ส่งสัญญานว่าไม่ให้เขาทำเช่นนั้น
นางเข้าใจเจตนาของจิ่วหรงเป็อย่างดีและรู้ด้วยว่าสำนักแพทย์เทียนอีและราชวงศ์ไม่ยึดโยงหรือเกี่ยวพันกัน ทั้งสองอยู่ในจุดยืนที่ปกป้องและเคารพซึ่งกันและกันเสมอมา
หากเป็เื่อื่น เมื่อจิ่วหรงเอ่ยปาก บางทีฮ่องเต้อาจไว้หน้าหรือชายตาแลสำนักแพทย์เทียนอีอยู่บ้างทว่าในสถานการณ์ตอนนี้ จิ่วหรงไม่สามารถพูดอันใดได้เลย
หากคิดจะช่วยซูจิ่นซี คงมีเพียงแต่ต้องใช้กำลังแก้ไขเท่านั้น
ทว่าซูจิ่นซีไม่้าให้จิ่วหรงเข้ามาพัวพัน
ซูจิ่นซีไม่กล้ามองไปทางเยี่ยโยวเหยา
เพราะในใจของนางกลัวมาก กลัวว่าหากมองไปทางนั้นแล้วจะเห็นใบหน้าที่เฉยเมยอีกเมื่อครู่เยี่ยโยวเหยาได้แต่งแต้มความประทับใจอันดีด้วยการปกป้องนาง ซูจิ่นซีกลัวว่าหากมองไปแล้วจะพบเจอกับใบหน้าที่ปฏิเสธว่าไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นทั้งนั้น
ทว่าซูจิ่นซีไม่คาดคิดว่า ในขณะที่องครักษ์สองนายกำลังนำนางจากไปทันใดนั้นเสียงที่เ็าและหนาวเหน็บของเยี่ยโยวเหยาก็ดังสะท้อนขึ้นมา
“ช้าก่อน! ”
มุมปากของฮ่องเต้เผยรอยยิ้มเยาะเย้ยแ่เบาอย่างไร้ร่องรอย จากการกระทำของเยี่ยโยวเหยาดูเหมือนว่าเขาจะตกอยู่ในกำมือของพระองค์แล้ว
......
เชิงอรรถ
[1] จิ้งจอกตาขาว สำนวนจีน หมายถึง คนเนรคุณคนหรือคนที่ไม่รู้จักบุญคุณคน