“เ้า...เป็ใคร?”
โอเลเกร์รู้สึกหนาวะเืไปทั่วร่าง
ถึงแม้ว่าบนใบหน้าของเขาจะไม่แสดงสีหน้าอะไร นอกจากมองไปทางชายชุดคลุมสีดำตรงหน้าที่จู่ๆ ก็โผล่ขึ้นมากะทันหัน ในใจของเขาพลันรู้สึกเคร่งเครียดขึ้นมา ก่อนจะเหลือบมองไปที่ประตูใหญ่ที่อยู่ห่างออกไป พลางคำนวณเส้นทางหลบหนีที่เป็ไปได้ เขาค่อยๆ ขยับเท้า สองมือไพล่หลังแล้วค่อยๆ แอบยืดมือจะไปหยิบดาบที่วางไว้อยู่ข้างๆ กระจกด้านหลังตัวเอง
ตราบเท่าที่ดาบอยู่ในมือ พลังการต่อสู้ของโอเลเกร์ก็จะเพิ่มมากขึ้น เขามั่นใจว่าอาจจะต้านทานชายชุดดำที่มีพลังแข็งแกร่งตรงหน้าได้ไม่กี่กระบวนท่า แต่ขอแค่พวกทหารยามที่อยู่ด้านนอกได้ยินเสียง พวกนั้นก็จะรีบวิ่งเข้ามาช่วยทันที และโอกาสที่เขาจะหลบหนีไปได้นั้นก็จะเพิ่มมากขึ้น
เวลาเหมือนจะหยุดชะงักไปชั่วครู่
นิ้วของเขาััไปที่ดาบที่เย็นเฉียบ วินาทีนั้น โอเลเกร์ก็รู้สึกโล่งใจเล็กๆ เพราะอย่างน้อยเขาก็มีดาบอยู่ในมือ
เขากระชากดาบมาไว้ที่หน้าอก ประกายแสงเย็นเยือกสะท้อนบนพื้นห้องโถง พลังบนร่างของโอเลเกร์ก็พุ่งทะยานขึ้น เขามองไปที่ชายชุดคลุมสีดำตรงหน้าด้วยความรู้สึกมั่นใจเล็กๆ ขณะที่กำลังะโเรียนทหารยามเข้ามา...
แต่
“นำข้าไปยังยอดเขาตะวันออก แล้วข้าจะไว้ชีวิตเ้า!”
เพียงแค่ชายชุดคลุมสีดำยกมือขึ้น ปากก็ท่องคาถาที่ฟังเข้าใจยากออกมา เวทมนตร์มหาศาลก็พวยพุ่งออกมาจากร่างของเขา จากนั้นเขาก็กดนิ้วทั้งห้าของเขาในอากาศ มีเชือกไฟสีแดงแวววาวห้าเส้นยืดออกมาจากนิ้วมือของเขา เหมือนเชือกทั้งห้าเส้นจะมีจิติญญา พวกมันต่างพากันเคลื่อนไหวด้วยตัวเองราวกับงูไฟ ชั่วพริบตามันก็เข้ารัดแขนและดาบของโอเลเกร์ ก่อนที่เชือกจะค่อยๆ กระจายไปรัดทั่วร่างของโอเลเกร์แน่น
ถึงแม้ว่าโอเลเกร์จะเป็นักรบคลื่นพลังหนึ่งดาว และยังมีพละกำลังเทียบเท่ากับนักรบสองดาว แต่เมื่อต้องเผชิญหน้ากับเชือกไฟที่ดูอ่อนแอนี้ เขาไม่มีแรงมากพอที่จะดิ้นรนสักนิด ไม่ช้าเขาก็ถูกควบคุมได้อย่างง่ายดาย
หลังจากนั้น นิ้วมือของชายชุดคลุมสีดำก็ขยับเบาๆ
เพียงแค่การเคลื่อนไหวธรรมดาๆ แต่กลับแฝงไปด้วยพลังมหาศาล
เขาเห็นเชือกไฟที่พันรอบดาบจู่ๆ ก็ส่องสว่าง เสียงซู่ๆ ดังขึ้น ก่อนดาบที่ทำจากเหล็กกล้าชั้นดีจะกลายเป็น้ำเหล็กสีแดงหยดลงบนพื้น...
“ถ้าเ้ากล้าขัดขืนอีกครั้ง เนื้อและกระดูกของเ้าจะเป็เช่นดาบนี้!”
“เ้า...เ้าเป็ใครกันแน่?” วินาทีนี้โอเลเกร์ได้สูญเสียความมกล้าที่จะต่อต้านไปแล้ว ความแข็งแกร่งของทั้งสองฝ่ายไม่ได้อยู่ในระดับเดียวกัน ชายชุดคลุมสีดำคนนี้อย่างน้อยก็น่าจะเป็นักเวทธาตุไฟระดับสี่ดาว
โอเลเกร์ถามคำถามนี้อย่างไม่ยินดีเท่าไก่อนที่เขาจะยอมแพ้ ใครจะรู้ว่าเมื่อชายชุดคลุมสีดำตรงหน้าได้ยินจะทำท่าลังเลอยู่สักพักก่อนจะเปิดผ้าคลุมหัวตัวเอง ใบหน้าที่อยู่ภายใต้แสงของงูไฟที่กำลังกะพริบ เผยให้เห็นเงารูปหน้าของคนคนนั้น แม้แสงไฟจะสลัว แต่โอเลเกร์กลับมองเห็นได้อย่างชัดเจน
“นี่เป็ไปไม่ได้...ทำไมถึงเป็เ้า?” โอเลเกร์ทำราวกับว่าตัวเองได้เห็นผี ดวงตาเบิกกว้าง “นี่มันเป็ไปไม่ได้...เป็ไปไม่ได้”
“ตอนนี้เ้าจะยอมพาข้าไปที่ยอดเขาตะวันออกแล้วใช่ไหม?” ชายชุดคลุมสีดำยกผ้าคลุมหัวสวมกลับ เขายังคงซ่อนอยู่ในเงามืดพลางเอ่ยถามอย่างสงบ โดยที่ไม่ปิดบังความเกลียดชังลึกๆ ของตัวเองไว้ได้ “ถึงแม้เ้าจะไม่พาข้าไป ข้าก็คงหาวิธีไปที่นั่นได้ แต่แค่อาจจะเสียเวลานิดหน่อย ส่วนเ้า ตาย!”
“ข้าจะนำทางเ้าไปเอง!”
โอเลเกร์ขาสั่นเล็กน้อย ก่อนจะยอมแพ้
……
เมืองแซมบอร์ดล้อมรอบด้วยูเาและแม่น้ำ เป็ภูมิประเทศที่ยากจะเข้าถึง
ยอดเขาตะวันออกที่อยู่ท่ามกลางูเาสูง ถือว่ามีความสำคัญต่ออาณาจักรอย่างมาก เพราะว่าที่นั่นเป็ที่ที่เหล่าาาองค์ก่อนๆ ที่ล่วงหลับไปแล้วฝังอยู่ที่นั่น นอกจากเชื้อพระวงศ์แล้ว ยังมีขุนนาง ทหาร และเหล่าวีรบุรุษที่ยอมสละชีวิตเพื่อปกป้องอาณาจักรนับั้แ่ก่อตั้งเมืองแซมบอร์ดมาจนถึงตอนนี้ต่างก็ถูกฝังไว้ที่นี่ ิญญาของพวกเขาจะคอยเฝ้าปกป้องเมืองแซมบอร์ดอยู่บนยอดเขาตะวันออกแห่งนี้
ลักษณะภูมิประเทศของยอดเขาตะวันออกค่อนข้างชันมาก และมีเพียงสองเส้นทางที่สามารถขึ้นไปบนยอดเขาได้ เส้นทางแรกเป็เส้นทางที่หมุนวนรอบูเาสิบสองครั้ง และมีขั้นบันไดทั้งหมดสามพันหนึ่งร้อยขั้น ราวกับเป็บันไดขึ้น์ก็ไม่ปาน อีกเส้นทางหนึ่งอันตรายมาก ต้องอาศัยโซ่เหล็กตอกลงบนูเาจนกลายเป็โซ่ตรึงแนวตั้ง คนที่แข็งแกร่งสามารถอาศัยโซ่เหล็กนี้ขึ้นไปบนยอดเขาได้ในระยะเวลาสั้นๆ
ซุนเฟยเดินขึ้นมาจากขั้นบันไดหิน เสียเวลากว่าหนึ่งชั่วโมงถึงจะขึ้นมาบนยอดเขาได้
สิ่งที่พวกเขาไม่ทราบคือ ก่อนที่พวกเขาจะมาถึงยอดเขา มีร่างเงาสองร่างที่ห่อหุ้มไปด้วยปีกนกเปลวเพลิงสีแดงทะยานขึ้นมาด้วยโซ่ตรึงแนวตั้ง ถ้าจะพูดให้ถูกก็คือ ร่างเงาที่สวมชุดมิดชิดกำลังจับร่างเงาที่อ้วนท้วมมีแสงสะท้อนที่หัวล้านๆ ของเขาอยู่ บางครั้งพวกเขาต้องใช้โซ่ตรึงแนวตั้งทะยานขึ้นมา
เหลือเวลาอีกไม่ถึงครึ่งชั่วโมงก่อนรุ่งอรุณจะมาถึง
ซุนเฟยกับแองเจล่าและคนอื่นๆ ต่างมาถึงยอดเขาด้วยรถม้าเวทมนตร์ เกือบทุกคนมาถึงแล้ว ไม่ว่าจะเป็พวกองค์ชายหรือเอกอัครราชทูตที่มาจากอาณาจักรเล็กซัส อาณาจักรเซินฮัว อาณาจักรฉ่านป้า อาณาจักรหลู่เหนิง และอีกยี่สิบกว่าอาณาจักร รวมทั้งเหล่าทหารองครักษ์เมืองแซมบอร์ดที่ขึ้นมาก่อนหน้านี้เพื่อจัดเตรียมพิธีาาภิเษก นอกจากนี้ยังมีบาทหลวงและอัศวินข้าราชบริพารจากโบสถ์ศักดิ์สิทธิ์มาด้วย แน่นอนว่ารวมไปถึงเหล่าคณะทูตจากราชอาณาจักรเซนิท
รถม้าเวทมนตร์ขององค์หญิงนาตาชามาหยุดอยู่ที่หน้าแท่นบูชา ที่จริงแล้วนางมาเร็วกว่าซุนเฟย แต่นางยังไม่ปรากฏตัวออกมาจากรถม้า โดยมีนักรบสาวซูซานและหัวหน้าอัศวินโรมัน ปัฟลูย์เชนโคคอยอารักขาอยู่ด้านซ้ายขวาของรถม้า ทั้งยังนำกองกำลังอัศวินที่สวมชุดเกราะแวววาวนับสองร้อยกว่าคนมาล้อมรอบรถม้าเวทมนตร์ไว้
ยอดเขาตะวันออกแม้ว่าจะสูงชันมาก แต่บนยอดเขากลับเป็พื้นหินเรียบ ดูเหมือนจะกว้างประมาณสี่พันห้าพันตารางเมตร แท่นบูชาที่อยู่ตรงกลางมีเส้นผ่านศูนย์กลางมากกว่าสิบเมตร สูงประมาณหกเมตร นี่เป็แท่นบูชาที่อาณาจักรบริวารทั้งสองร้อยห้าสิบอาณาจักรของราชอาณาจักรเซนิทต้องมี เป็สถานที่ที่องค์าาแต่ละรุ่นจะได้รับการยอมรับขึ้นเป็าาอย่างเป็ทางการ เมื่อเวลาที่แสงแรกของพระอาทิตย์โผล่ขึ้นมาจากทิศตะวันออก ซุนเฟยก็จะได้รับการแต่งตั้งขึ้นเป็าาโดยองค์หญิงนาตาชาและได้สวมมุงกุฎ
รอบๆ แท่นบูชาาาเป็เหวและมีรูปปั้นนักรบหินั์ถือดาบปักบนพื้นซึ่งสูงราวๆ สามสิบสี่สิบเมตร ยืนตระหง่านทั้งหมดหกสิบหกตัว การแสดงออกบนใบหน้าเสมือนมีชีวิตจริงๆ สูงใหญ่น่าเกรงขาม พวกเขาเป็สัญลักษณ์ของความยุติธรรมและความรุ่งโรจน์ และยังเป็สัญลักษณ์ของเหล่าวีรบุรุษจำนวนนับไม่ถ้วนที่พิทักษ์เมืองแซมบอร์ดมาเป็ระยะเวลาสองร้อยกว่าปี
องค์ชาย เอกอัครราชทูต และข้ารับใช้ของพวกเขาทุกอาณาจักรต่างล้อมรอบแท่นบูชา
ผู้ที่ติดตามซุนเฟยมายังยอดเขาก็มีนักรบที่ร่วมรบกับซุนเฟยบนสะพานหินสิบคนและดร็อกบา ทั้งยังมีแฟรงก์ แลมพาร์ดที่นำทหารองค์รักษ์มาด้วยนับยี่สิบกว่านาย ไปประจำจุดทั้งสี่ด้านของแท่นบูชา
“องค์าาอเล็กซานเดอร์!”
พัศดีโอเลเกร์ก้าวขาสั่นๆ รีบเดินมาเคารพซุนเฟย
ด้านหลังของเขามีชายวัยกลางคนผู้หนึ่งตามมาติดๆ ทุกคนต่างคิดว่าคนคนนั้นคือคนสนิทของโอเลเกร์ แม้ว่านี้เ้าอ้วนจะนำคนสนิทแปลกหน้าตามขึ้นมาที่ยอดเขาด้วย แต่เื่นี้ก็ไม่ถือว่าเป็เื่ที่เกินเลยอะไร ดังนั้นจึงไม่มีใครสนใจ
“เริ่มเตรียมตัวกันเถอะ!”
ซุนเฟยพยักหน้าโดยไม่แสดงสีหน้าอะไร ก่อนจะบอกใบ้ให้พัศดีโอเลเกร์รับหน้าที่เป็ผู้จัดการงานหลักและเริ่มเตรียมงานทันที เนื่องจากเลขานุการเบสท์ถูกซุนเฟยจงใจทิ้งให้อยู่ที่ตีนเขา ดังนั้นโอเลเกร์จึงได้รับหน้าที่ผู้จัดการงานหลักอย่างคาดไม่ถึง นี่เกินความคาดคิดของคนจำนวนมาก
ของเซ่นไหว้จำนวนมากถูกย้ายมาวางที่แท่นบูชา การเตรียมการก่อนพิธีดำเนินไปอย่างช้าๆ
ซุนเฟยยังยืนอยู่บนคานรถม้าเวทมนตร์ กวาดสายตามองสีหน้าแต่ละคน นอกจากคณะทูตเธรซที่มาไม่ได้เพราะถูกยอดฝีมือสังหารปิดปากแล้ว คณะทูตคนอื่นทุกอาณาจักรต่างมาถึงแล้ว ซุนเฟยมองไปยังองค์ชายมอดริชแห่งอาณาจักรเล็กซัสที่อยู่ท่ามกลางฝูงชน เด็กหนุ่มผมบลอนด์ทองคนนี้รูปหล่อและยังมีกิริยางดงาม ท่าทางสง่างาม องอาจ ไม่ว่าเมื่อไรเขายังคงเป็จุดสนใจของทุกคน
เหมือนจะรู้สึกได้ถึงสายตาของซุนเฟย มอดริชพยักหน้าพลางยิ้มตอบ
ซุนเฟยพยักหน้า จากนั้นก็สังเกตไปรอบๆ
ตอนนี้บนยอดเขาตะวันออกมีผู้คนทั้งหมดห้าร้อยกว่าคน นอกจากอัศวินของราชอาณาจักรเซนิทสองร้อยกว่าคนที่มาคุ้มกันองค์หญิงนาตาชาแล้ว อีกสองร้อยกว่าคนก็เป็คนของเหล่าคณะทูต ส่วนคนของเมืองแซมบอร์ดมีไม่ถึงหกสิบคนเลย และส่วนใหญ่เป็ข้ารับใช้ที่ไม่มีพลังการต่อสู้อะไร สายตาของซุนเฟยมองไปที่ใบหน้าของเหล่าอัศวินเซนิทและคณะทูตทุกอาณาจักร ก่อนที่เขาจะเปลี่ยนเป็ ‘โหมดคนเถื่อน’ อย่างเงียบๆ เขารู้สึกถึงอันตรายที่ร้ายแรงมาก แต่อันตรายมาจากไหนหรือมาจากใคร เขากลับไม่รู้เลย
ในที่สุด ท้องฟ้าที่มืดมิดก็ค่อยๆ เผยแสงสว่าง
ท่ามกลางทะเลหมอกของทิศตะวันออก เริ่มเห็นแสงแรงของอาทิตย์ค่อยๆ สาดส่องลงมา
องค์หญิงนาตาชาขึ้นมายังแท่นบูชาทีละก้าว ภายใต้การคุ้มกันของนักรบสาวซูซาน ด้านหลังยังมีผู้คุ้มกันที่ถือพานสีเงินที่มีผ้าสีแดงปูไว้ ้ามีมงกุฎธรรมดาๆ ที่สร้างขึ้นจากทองคำบริสุทธิ์และเป็รูปใบไม้ นี่ก็คือมงกุฎาาที่ราชอาณาจักรเซนิทมอบให้แก่ซุนเฟย
ซุนเฟยโบกมือ
ข้ารับใช้ที่ไม่มีพลังสู้รบและเหล่าทหารคนอื่นๆ ต่างพากันถอยลงไปจากแท่นหินบูชา จากนั้นก็เดินลงไปจากยอดเขาอย่างช้าๆ
ตอนนี้เอง บนยอดเขาตะวันออกก็เหลือคนของฝ่ายเมืองแซมบอร์ดไม่ถึงยี่สิบคน
ด้านล่างแท่นบูชา พวกคณะทูตทุกคนต่างพากันวิพากษ์วิจารณ์ ในดวงตาสีฟ้าขององค์หญิงนาตาชาเผยสีหน้าแปลกใจ แต่สำหรับซุนเฟยแล้ว นี่เป็เื่ที่ช่วยไม่ได้ แม้ว่าเขาจะคาดการณ์ได้ว่าวันนี้จะเกิดเื่ที่อันตรายมาก แต่กลับไม่รู้ว่าอันตรายนั้นจะมาจากไหน ดังนั้นเขาจึงพยายามให้คนของตัวเองมีจำนวนน้อยที่สุด เพื่อหลีกเลี่ยงการสูญเสียที่ไม่จำเป็เมื่อเกิดอันตรายขึ้น
ในที่สุดแสงพระอาทิตย์ก็ขึ้นเหนือชั้นเมฆส่องแสงสว่างสีทองลงมา
เวลามาถึงแล้ว
ตอนนี้เอง...
องค์หญิงหยิบมงกุฎาาในพานเงินขึ้นมา ตามประเพณีราชอาณาจักร ต้องรอให้แสงอาทิตย์ทะลุผ่านทะเลหมอก ส่องลงมาที่มงกุฎนี้ และรอจนกว่าจะกล่าวคำสาบานโบราณและคำอวยพรของพระเ้าสิ้นสุด ถึงจะสวมมงกุฎลงบนหัวของซุนเฟย...
สายตาและความสนใจของทุกคนจับจ้องไปที่แสงพระอาทิตย์
แน่นอนว่า มีบางคนที่ดวงตาเป็ประกาย
แล้วตอนนี้เอง...
ไม่มีใครจะทันระวัง ด้านหลังของโอเลเกร์ ชายวัยกลางคนที่ไม่พูดจาใดๆ ออกมาั้แ่ต้นได้เงยหน้าขึ้น ในดวงตาของเขาก็ส่องประกายความเกลียดชังออกมา
-------------------------
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้