เสียงดังสนั่นกระทบหูทั้งสองข้างของศิษย์ทุกคนอย่างชัดเจน พวกเขาััได้ถึงเสียงอื้ออึงที่ยังคงก้องอยู่ในหู จนพลังปราณทั้งร่างเริ่มพลุ่งพล่าน
ฝุ่นและเศษกรวดหินถูกคลื่นที่กระแทกเข้ามาพัดพา ก่อตัวเป็คลื่นวงกลมที่กำลังแผ่กระจายไปอย่างดุเดือด และหอบเอาศิษย์จำนวนมากลอยออกไป แม้แต่อสูรร้ายที่อยู่โดยรอบยังถูกสายลมนั้นโหมกระหน่ำเข้าใส่จนถอยห่างออกไปหลายจ้าง
แต่พวกเขากลับไม่สนใจต่อเืลมที่พลุ่งพล่านในร่างกาย สายตาของแต่ละคนต่างกลมโต มโนจิตของพวกเขาสามารถััได้ว่าภายใต้การโจมตีอันน่าสะพรึงนี้ เรือนไม้ที่ฉินอวี่สร้างเอาไว้กลับไม่เป็อันตรายใดๆ ราวกับมีความแข็งแกร่งมากจนไม่สามารถทำลายได้!
“เป็ไปได้อย่างไร!” คลื่นแห่งความใได้ถาโถมเข้าใส่จิตใจของทุกคน สิ่งนี้ทำลายความรู้ความเข้าใจทั้งหมดที่พวกเขาเคยมีมา
นั่นจะต้องไม่ใช่ไม้ธรรมดาอย่างแน่นอน จะต้องเป็สุดยอดของไม้วิเศษอย่างแน่นอน หรืออาจจะเป็ไม้ที่แข็งแรงกว่านั้นอย่างไม้เสวียนชิง!
จะต้องใช่แน่นอน จะต้องเป็เช่นนี้แน่นอน
แต่สิ่งที่แตกต่างไปจากพวกฉู่เยว่ฉานคือ ในตอนนี้ใจของวานรยุทธ์นั้นตกตะลึงจนไม่รู้จะพูดอะไรออกมา เขามองเพียงพริบตาเดียวก็รู้ได้ว่าไม้ที่ฉินอวี่นำมาใช้เป็เพียงไม้ธรรมดาเท่านั้น แต่สิ่งที่ทำให้เขาเหลือเชื่ออย่างมากนั่นคือ ไม้ธรรมดาเหล่านี้กลับนำมาสร้างเรือนไม้ที่แข็งแกร่งจนยากจะทำลายได้อย่างไร!
เป็ไปได้อย่างไร? วานรยุทธ์ยังคงถามตัวเองอยู่ตลอดเวลา หากพูดโดยทั่วไปแล้ว เขาคงไม่มีทางเชื่ออย่างแน่นอน แต่ตอนนี้ ความจริงประจักษ์ชัดอยู่ตรงหน้า เขาจึงเชื่อได้ทันที
นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?
เ้าเด็กคนนี้เป็ใครมาจากไหนกันแน่? ก่อนหน้านี้ยิ่งสู้ยิ่งแข็งแกร่ง และตอนนี้... นึกไม่ถึงว่าจะสามารถสร้างเรือนไม้ซึ่งเป็อาวุธิญญาป้องกันในระดับสูงเช่นนี้ได้?
วานรยุทธ์ยิ่งรู้สึกสับสน และใเมื่อเห็นภาพที่เกิดขึ้นตรงหน้า เขานึกไม่ออกเลยว่าฉินอวี่ทำเช่นนี้ได้อย่างไร
ชายหนุ่มชุดคลุมสีแดงมองเรือนไม้ที่อยู่ด้านล่างซึ่งยังคงสภาพเดิม ดวงตาของเขาก็แทบจะถลนออกมา ใบหน้าบิดเบี้ยว ทั่วทั้งร่างเริ่มสั่นเทา ริมฝีปากสั่นสะท้าน หลังจากผ่านไปเป็เวลานาน ชายหนุ่มชุดคลุมสีแดงก็กระอักเืสีดำสนิทออกมาเต็มคำ ร่างกายของเขาร่วงตกลงมาจากอากาศ ไม่รู้ว่าเพราะความอ่อนล้าของร่างกายและจิตใจ หรือจะเป็เพราะเป็ลมหมดสติไป
หมัดที่แข็งแกร่งที่สุดของตนเองถูกสกัดไว้ด้วยเรือนไม้นี่จริงหรือ? ผลที่เกิดขึ้นต่อหน้า ทำให้ชายหนุ่มชุดคลุมสีแดงไม่สามารถรับได้จนหมดสติไป
ในตอนนี้ ฉือเซียวกลับกำลังตื่นเต้นมากขึ้น ซึ่งแตกต่างจากคนอื่นที่กำลังตกตะลึงและยังไม่อยากเชื่อสายตา!
“นึกไม่ถึงว่าศิษย์น้องจะเป็ทักษะวิชาการสร้างเรือนไม้ของอาจารย์... อืม ตอนนั้นทำไมข้าไม่ขยันเรียนรู้ั้แ่แรก?” ในใจของฉือเซียวมีทั้งความตื่นเต้นและเสียใจภายหลัง ในตอนนั้น เลี่ยเอ๋าให้เขาสร้างเรือนไม้ไปไม่น้อย แต่ฉือเซียวเต็มไปด้วยจิติญญาของการต่อสู้ จะเอาจิตใจสงบจากไหนไปศึกษาการสร้างเรือนไม้? ถ้าไม่ใช่เพราะเลี่ยเอ๋าเป็อาจารย์ ฉือเซียวคงะเิออกไปแล้ว
แต่ตอนนี้ เมื่อเห็นฉินอวี่สกัดกั้นการโจมตีอันรุนแรงเช่นนั้นได้ด้วยเรือนไม้ ฉือเซียวจึงรู้สึกประหลาดใจเป็อย่างมาก และแอบตัดสินใจไว้ในใจแล้วว่า หากออกไปจากที่นี่เมื่อไร จะต้องไปขอเรียนรู้วิชาการสร้างเรือนไม้จากผู้เป็อาจารย์...
ฉินอวี่ที่อยู่ในเรือนไม้รู้สึกได้ถึงแรงสั่นะเืของเรือนไม้ นอกจากจะใแล้ว ยังถอนหายใจด้วยความโล่งอก เขานึกไม่ถึงเลยว่าในวินาทีสุดท้าย ข้อบังคับของฟ้าดินของผู้าุโเฒ่าคนนั้นจะเป็สิ่งช่วยชีวิตเขา แม้ว่าวิธีการที่ใช้ไป อาจจะทำให้คนอื่นยากที่จะยอมรับได้ แต่ถึงอย่างไรก็เป็สิ่งช่วยชีวิตตนเอง
สิ่งนี้ทำให้ฉินอวี่ตัดสินใจอย่างแน่ชัด ว่านับจากนี้ไปเขาจะพยายามศึกษาเื่ข้อบังคับให้มากขึ้น หากสามารถรวบรวมกฎข้อบังคับเหล่านี้ให้เข้ากับการโจมตีหรือบางทีก็นำเข้าไว้ในกายตนเอง เช่นนั้น... จะมีใครในระดับฝึกฝนเดียวกันที่จะโจมตีเขาได้อีกหรือ?
ฉินอวี่รู้ดีว่าเป็เื่ยากมากที่ชายหนุ่มชุดคลุมสีแดงจะโจมตีเรือนไม้ของเขาได้ ทันทีที่ผ่อนคลายลง ก็รู้สึกได้ถึงความอ่อนแอที่ผุดขึ้นมาในใจ ฉินอวี่เริ่มรู้สึกไม่ค่อยดี จึงรีบหยิบโอสถออกมาขวดหนึ่งก่อนจะกรอกเข้าปาก ทันทีที่กลืนโอสถลงไป เขาก็หมดสติล้มลงไปกับพื้นทันที
การต่อสู้ครั้งนี้ เขาก็ใช้พลังปราณของตนเองไปจนเกือบหมดเช่นกัน
วานรยุทธ์ที่อยู่ด้านนอกได้เหวี่ยงชายหนุ่มชุดคลุมสีแดงขึ้นมา และวางไว้บนหลังของอสูรร้ายตัวหนึ่ง พลางส่งสายตามองเรือนไม้ที่อยู่เบื้องล่าง เมื่อสังเกตเห็นว่าฉินอวี่ที่อยู่ในเรือนไม้ได้เป็ลมหมดสติไปแล้ว วานรยุทธ์ก็มองเรือนไม้นั้นอย่างละเอียด
ผ่านไปเป็เวลานาน ฝ่ามือข้างหนึ่งของวานรยุทธ์ก็กดลงมาทันที
“เวิง!”
“นี่... นี่คือข้อบังคับในตำนานจริงหรือ?” ดวงตาของวานรยุทธ์เบิกกว้าง ตกตะลึงเป็อย่างมาก ก่อนหน้านี้เขาได้ใช้มือปัดเบาๆ ไปยังเรือนไม้ แม้ว่าจะเหมือนไม่ได้ออกแรงมากนัก แต่ก็แข็งแกร่งกว่าพลังของบรรพชนที่ชายหนุ่มชุดคลุมสีแดงใช้ไป สิ่งที่ทำให้วานรยุทธ์ต้องตกตะลึงคือ เรือนไม้นี้เพียงแค่ส่งเสียงสั่นะเืออกมา... แต่นึกไม่ถึงว่าเสียงที่ดังขึ้นนี้จะส่งผลต่อพื้นที่!
ในตอนนี้... วานรยุทธ์รู้สึกราวกับว่าเรือนไม้นี้จะรวมเป็หนึ่งเดียวกับฟ้าดิน!
“ข้อบังคับ เป็ข้อบังคับจริงๆ ข้อบังคับที่รวบรวมพลังของฟ้าดิน เด็กคนนี้ ควบคุมข้อบังคับเช่นนี้ได้หรือ? สำนักยุทธ์ว่านจ้งได้ถือกำเนิดปีศาจเช่นนี้ขึ้นมาจริงหรือ?”
คลื่นที่แสนจะปั่นป่วนในจิตใจของวานรยุทธ์ไม่อาจสงบลงได้เป็เวลานาน เขามองเรือนไม้อย่างเงียบๆ ด้วยสีหน้าที่ดูไม่แน่นอน ความลังเลหายไปจากดวงตา การดิ้นรนของเขายิ่งมีความอาฆาตที่รุนแรงขึ้น
เมื่อมองชายหนุ่มชุดคลุมสีแดงที่อยู่บนหลังของอสูรร้าย วานรยุทธ์ก็สูดลมหายใจเข้าลึก ก่อนจะปัดมือข้างขวาไปอย่างรวดเร็ว
เขา้ากำจัดฉินอวี่ให้ตายเสียั้แ่ตอนนี้!
“ช่างกล้านัก!” ฉือเซียวะโออกไปอย่างรุนแรง เขาพยายามต่อต้านพลังนั้นอย่างหนัก เพื่อจะเข้าไปหยุดเขาไว้ แต่ด้วยพลังอันมหาศาลทำให้ตอนนี้เขาไม่สามารถเคลื่อนไหวได้ ในขณะนี้ ความโกรธในใจของฉือเซียวได้ปิดกั้นสติของเขาไปแล้ว
นึกไม่ถึงว่าวานรยุทธ์อันน่าสะพรึง คิดจะสังหารศิษย์น้องของเขาจริงๆ!
ดูเหมือนวานรยุทธ์จะตั้งใจอย่างแน่วแน่แล้ว ฉือเซียวจะขัดขวางเขาได้อย่างไร?
ทันทีที่ฝ่ามือกดลงมา พื้นที่บริเวณนั้นก็แตกร้าว ดูเหมือนว่าฝ่ามือนี้จะมีพลังในการเบิกฟ้าดินแฝงอยู่
ในขณะที่ฝ่ามือกำลังกดลงบนเรือนไม้ ร่างกายของวานรยุทธ์ก็สั่นสะท้าน ดวงตาของเขาเบิกโพลง จ้องตรงไปยังใบไม้ที่อยู่ตรงเบื้องหน้า
ใบไม้สีเขียว มีลายของใบที่ปกคลุมอยู่อย่างหนาแน่น และในที่สุดก็เรียงตัวกันเป็ตัวอักษรโบราณที่ดูแปลกประหลาด
คำนี้ ดูไม่เป็ระเบียบ ราวกับเป็ลายมือเขียนของเด็กเล็ก
คำคำนี้ คือตัวอักษร “ฟ้า” !
วานรยุทธ์เงยหน้าขึ้นมองไปในอากาศ ในใจของเขาก็เหมือนเกิดพายุที่พัดกระหน่ำเข้ามา จะเป็เขาได้อย่างไร? หรือว่า... เด็กคนนี้จะเกี่ยวข้องกับเขา?
ในเวลานี้ วานรยุทธ์รู้สึกได้เพียงความเย็นวาบที่บนแผ่นหลัง ขนลุกซู่ขึ้นทั้งร่าง ร่างกายอันแข็งแกร่งและทรงพลังไม่รู้ว่าเริ่มสั่นเทาขึ้นั้แ่เมื่อใด เขาคิดจะหนีออกไป แต่ขาทั้งสองกลับหนักอึ้งเหมือนูเาไท่ซาน ซึ่งไม่สามารถยกหรือขยับได้เลย
ในที่สุดใบไม้นั้นก็ตกลงบนเรือนไม้ เรือนไม้อันแข็งแกร่งที่สกัดขวางการโจมตีอันน่ากลัวของชายหนุ่มชุดคลุมสีแดงก่อนหน้านี้ ได้พลังทลายลงด้วยตนเองทันที
“ข้อบังคับ? นึกไม่ถึงว่าในร่างกายของเด็กคนนี้มีข้อบังคับถึงสองชนิดเชียวหรือ? ข้าดูไม่ผิดใช่หรือไม่?”
“เป็ไปไม่ได้... ระดับการฝึกตนเช่นนี้จะััข้อบังคับได้อย่างไร? ข้อบังคับที่อยู่ในมือของเขาก่อนหน้านี้น่าจะเกิดจากใครสักคนเป็คนประทับเอาไว้ แต่ในครั้งนี้ นึกไม่ถึงว่าเขาจะสร้างข้อบังคับขึ้นมาจากไม้เหล่านี้? แม้ว่าจะมีอยู่น้อยนิด...”
“หาก้าจะรู้จริงๆ ขอเพียงเ้ายินยอม พวกข้าจะพาตัวเ้าเด็กคนนี้มา เช่นนี้แล้ว พวกเราก็จะมีเวลาในการพิสูจน์หาข้อเท็จจริง?”
“กฎระเบียบไม่อาจทำลายได้ หากไม่มีกฎระเบียบก็ไม่มีดินแดน แม้ว่าเด็กคนนี้จะไม่เลว แต่ยังไม่สอดคล้องกับกฎเกณฑ์”
“อวดรู้ อวดรู้สิ้นดี! หวังจู๋รื่อ เ้าก็เป็ถึงองค์ชายของราชวงศ์ เหตุใดจึงอวดรู้และหัวโบราณเช่นนี้? ข้าไม่เข้าใจเลยจริงๆ ว่าทำไมอดีตจักรพรรดิจึงสนใจในตัวเ้า”
“ถึงแม้ตอนนี้เด็กคนนี้จะยังไม่บรรลุตามเงื่อนไข แต่หากเป็เช่นนี้ต่อไป อย่างน้อยที่สุดวันหนึ่งเขาจะต้องเข้าใจในวิชาเต๋าสามชนิด เ้าคิดดู เด็กคนนี้สามารถควบคุมข้อบังคับได้แม้จะอยู่ในระดับฝึกฝนเช่นนี้ เ้าว่าเขาจะไม่เข้าใจวิชาเต๋าสามชนิดหรือ? หรือจะต้องให้แน่ใจว่าเขาเข้าถึงเขตแดนเต๋าแล้ว จึงจะยอมให้เขาเข้ามาได้?”
“เรียนรู้วิชาเต๋าสามชนิดเสียได้จึงจะได้เข้ามา ไม่เช่นนั้น จะต้องทำความเข้าใจวิชาเต๋าร้อยอันดับแรกในสามพันวิชาเต๋า นี่เป็กฎ หลายปีมานี้ มีเหล่าอัจฉริยะมากมาย ยังมีคนอีกมากที่อาจเก่งกว่าเด็กคนนี้ที่ยังไม่ออกมา หากพวกเขาเข้ามากันทุกคน โลกภายนอกไม่ยิ่งวุ่นวายหรือ”
“ยังมีคนอีกมากที่อาจเก่งกว่าเด็กคนนี้? หวังจู๋รื่อ ข้าขอถามเ้าหน่อยเถอะ ในคนที่เ้าพูดถึง มีใครสักคนไหมที่สามารถได้ยินการพูดคุยของพวกเรา? จะต้องเข้าถึงเขตแดนเต๋าหรือ? เหตุใดข้าจึงได้ยินมาว่าพี่ใหญ่เทียนกับพี่ใหญ่ตี้ก็ยังเข้ามาในดินแดนแห่งนี้ได้ทั้งที่ยังไม่เข้าถึงเขตแดนเต๋า? หากจะยึดตามกฎระเบียบนี้ เ้าจะกล้าไล่พี่ใหญ่เทียนกับพี่ใหญ่ตี้ออกจากโลกแห่งนี้หรือไม่”
“นั่นไม่เหมือนกัน พี่ใหญ่เทียนคือผู้ถูกเลือกโดยพี่ใหญ่ทั้งสองท่านในยุคก่อน... เว้นแต่ว่า พี่ใหญ่เทียนและพี่ใหญ่ตี้จะแน่ใจแล้วว่าเขาจะเป็ประมุขดินแดนรุ่นต่อไป จึงจะสามารถเข้ามาก่อนล่วงหน้าได้”
“เ้าก็รู้มิใช่หรือว่าพี่ใหญ่เทียนและพี่ใหญ่ตี้ต่างมีความคุ้นเคยกับพลังปราณของเด็กคนนี้ ยิ่งไปกว่านั้น ครั้งนี้พี่ใหญ่เทียนถึงกับยอมลงมือ นั่นแสดงว่าเขาน่าจะสนใจเด็กคนนี้ รอให้พี่ใหญ่ตี้ออกจากการบำเพ็ญยุทธ์ หลังจากที่ได้ทำความเข้าใจเื่ราวทั้งหมดแล้ว พี่ใหญ่จะต้องยอมยกเว้นให้เขาเข้ามาได้”
“รอให้พี่ใหญ่ตี้ออกจากการบำเพ็ญยุทธ์ก่อนเถอะ”
“เ้า...”
ฉินอวี่ที่กำลังหมดสติได้ยินเสียงสนทนาของทั้งสองคนอีกครั้ง เสียงของทั้งสองคนนี้ดูเหมือนจะคอยตามหลอกหลอนเขา หลังจากที่ได้ยินเสียงนี้ในหอคอยว่านจ้งในวันนั้น ฉินอวี่ก็เคยนึกถึงสาเหตุเช่นกัน แต่ก็ไม่พบเบาะแสอะไร จากนั้นมา เสียงทั้งสองก็ไม่เคยปรากฏขึ้นอีก จนฉินอวี่เริ่มลืมมันไป
แต่กลับนึกไม่ถึงเลยว่าในตอนนี้จะกลับมาได้ยินอีกครั้ง
หัวข้อในการสนทนาครั้งนี้แตกต่างไปจากครั้งก่อน และน้ำเสียงที่ดูโกรธเคืองของเสียงทั้งสองก็แตกต่างออกไป ในครั้งนี้ ฉินอวี่ทั้งแปลกใจทั้งใอย่างยิ่ง
ราวกับว่าทั้งสองคนจะอยู่ข้างกายเขาตลอดเวลา เฝ้าดูทุกการเคลื่อนไหวของตนเอง และสิ่งที่พวกเขากำลังพูดคุยกันยิ่งทำให้ฉินอวี่ยากที่จะเชื่อขึ้นไปอีก
จักรพรรดิ? พี่ใหญ่เทียน? พี่ใหญ่ตี้? พื้นที่? หวังจู๋รื่อ? วิชาร้อยอันดับในสามพันวิชาเต๋า? เข้ามาก่อนเวลา?
ฉินอวี่ใเป็อย่างยิ่ง เขาไม่เคยได้ยินเื่ที่ทั้งสองคนกำลังพูดคุยกันมาก่อนเลย
นี่มันคือสถานการณ์อะไรกันแน่
ฉินอวี่ระงับความคิดของตนเองไว้ในใจ และไม่อยากทำอะไรที่เป็การแหวกหญ้าให้งูตื่น จึงได้แต่รอดูว่าเกิดอะไรขึ้น และตามหาแหล่งที่มาของทั้งสองคน
หลังจากรออยู่ครู่หนึ่ง จนแน่ใจว่าเสียงนั้นไม่ดังขึ้นอีกแล้ว ฉินอวี่จึงค่อยๆ ลืมตาขึ้น แต่ภาพที่ปรากฏสู่สายตาของเขาในตอนนี้ ทำให้เขาต้องะโขึ้นมาอย่างรวดเร็ว และกวาดสายตาไปโดยรอบ
ที่นี่ที่ไหน?
