อวี้ฉู่จาวอุ้มหลินหร่านเข้ามาในหอเนี่ยนอวิ๋นเมิ่งซีพร้อมให้คนนำอาหารเข้ามาให้
เขาวางหลินหร่านลงบนเตียงแต่ไม่ได้เปิดผ้าคลุมหน้าของอีกคนออก
นี่เป็เื่ที่ต้องทำในคืนเข้าห้องหอ ทำตามพิธีไปจะเป็การดีที่สุด
“หิวแล้วใช่ไหม” อวี้ฉู่จาวย่อตัวลงตรงหน้าหลินหร่าน จับมือเรียวเล็กแล้วเอ่ยถาม
“พ่ะย่ะค่ะ” หลินหร่านพยักหน้ารับ
“ทำไมเ้าไม่กินข้าว พวกเขาไม่ให้เ้ากินหรือ”
“แม่นมบอกว่ากินไม่ได้พ่ะย่ะค่ะ ต้องรอวันพรุ่งนี้ มิเช่นนั้นจะผิดธรรมเนียม”
“ไม่ต้องไปฟังพวกเขา เ้าแต่งงานกับข้าไม่จำเป็ต้องพิธีรีตองขนาดนั้น ทำใจให้สบาย เอาตามที่ข้าบอก คืนนี้ยังมีอะไรที่ต้องทำ หากไม่กินเลยเ้าจะไม่มีแรง” อวี้ฉู่จาวยื่นมือเข้าไปใกล้ ลูบลงบนแก้มน้อยๆ
“นี่เพิ่งจะเริ่ม อีกประเดี๋ยวเสด็จพ่อจะเสด็จ แม้ว่าเ้าจะไม่ต้องออกไปต้อนรับ แต่ก็ต้องอยู่ในนี้ห้ามออกไปเดินตามอำเภอใจ ข้าจะให้คนไปนำอาหารมาให้ หากพวกเขาออกไปแล้วเ้าก็กินอะไรเสียหน่อย ข้าจะให้ติงหร่วนอยู่กับเ้า”
“ข้ารู้ ท่านอ๋องก็ต้องรักษาสุขภาพด้วย อย่าทรงดื่มเยอะ คืนนี้...พวกเรายังต้องส่งตัวเข้าห้องหออยู่นะพ่ะย่ะค่ะ” เดี๋ยวนี้หลินหร่านพูดจาตรงไปตรงมามากขึ้น คำพูดหรือความรู้สึกที่อยู่ในใจ เขาแสดงออกมาหมดไม่คิดปิดบัง
ยิ่งผ่านไปกลับยิ่งกวนใจอวี้ฉู่จาวมากขึ้นเสียแล้ว
อวี้ฉู่จาวยิ้มมุมปาก ก่อนประทับจูบลงบนหลังมืออีกคนแ่เบา “ข้ารู้ ข้าไม่พลาดแน่นอน”
หลังจากนั้นอวี้ฉู่จาวถึงเดินออกไป
หลินหร่านเชื่อฟังเป็อย่างดี หลังจากรับประทานอาหารเสร็จก็นั่งรออยู่นิ่งๆ ไม่ไปไหนราวกับเป็รูปปั้น
เมื่อเห็นคุณชายน้อยของตนเอาแต่นั่งอยู่เงียบๆ ติงหร่วนจึงทำได้เพียงนั่งเป็เพื่อน
.........
อวี้ฉู่จาวกลับมาในห้องโถงใหญ่ ยังไม่ทันได้เริ่มรินเหล้า เสียงของหลี่ิลู่ก็ดังมาจากหน้าประตู “ฮ่องเต้เสด็จ!”
หลังจากนั้น ทุกคนต่างก็ลุกขึ้นก่อนคุกเข่าลง “ถวายบังคมฝ่าา”
ฮ่องเต้ฉงเต๋อเอ่ยด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ “ลุกขึ้นเถิด วันนี้เป็วันมงคลของจาวเอ๋อร์ พวกเ้าไม่ต้องพิธีรีตองมากนัก ข้าก็แค่มาเยี่ยมชมและมาแสดงความยินดี”
การมาถึงของฮ่องเต้ทำให้งานเลี้ยงในครั้งนี้ยิ่งดูเป็งานเลี้ยงสำหรับชนชั้นสูง
อวี้ฉู่จาวรินเหล้าและดื่มเหล้ากับฮ่องเต้ฉงเต๋อก่อนเป็อันดับแรก ก่อนจะเป็เหล่าเครือญาติและขุนนางระดับสูงที่เข้ามาแสดงความยินดี
ฮ่องเต้ฉงเต๋อมาร่วมงานอยู่ครู่หนึ่งถึงกลับไป แม้วันนี้งานอภิเษกสมรสของอวี้ฉู่จาวจะเป็สาเหตุที่ทำให้ต้องยกเลิกการประชุมของราชสำนักในยามเช้า แต่ถึงอย่างไรพระองค์ก็ไม่อาจละทิ้งภาพพจน์ ‘ความขยันหมั่นเพียรและรักประชาชน’ ได้
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว หลัง่เที่ยงผ่านไปจึงเริ่มเข้าสู่งานเลี้ยงฉลองยามค่ำคืน
เวลาต่อมา อวี้ฉู่ซวนกับอวี้ฉู่หลิงต่างเข้ามารินเหล้าอวยพรทำท่าทีแสดงความยินดี
หลังจากแสดงความยินดีเรียบร้อย พวกเขาทั้งคู่ก็กลับไปทันที
ไม่ได้สนิทสนมกันขนาดนั้น จะให้อยู่รอส่งเข้าห้องหอหรืออย่างไร?
ซูชิงเฟิง หรงจิ่งและเหล่าแม่ทัพผู้ร่วมรบที่สนิทสนมต่างก็พากันนั่งดื่มเหล้าฉลองอยู่พร้อมหน้า
เมื่อมาถึงคราวงานเฉลิมฉลองของอวี้ฉู่จาว พวกเขาไม่คิดยอมปล่อยไปง่ายๆ ต่างคนต่างไม่สนใจกฎระเบียบอะไรทั้งสิ้น สนุกกันจนท่านอ๋องถึงกับหลีกเลี่ยงได้ยาก
หากแกล้งอะไรท่านอ๋องผู้นี้ไม่ได้ พวกเขาก็จะรอไปสร้างความวุ่นวายในห้องหอแทน
ถึงแม้ว่าอวี้ฉู่จาวจะรับปากกับหลินหร่านไว้แล้วว่าจะดื่มให้น้อย แต่คนพวกนี้กลับรินเหล้าให้เขาไม่น้อยเอาเสียเลย
หรงจิ่งมองอวี้ฉู่จาวที่ปกติจะหน้านิ่งไม่ค่อยมีรอยยิ้ม แต่วันนี้กลับมีความสุขอย่างเห็นได้ชัด
ท่านอ๋องถือจอกเหล้าแล้วหันไปชนจอกกับซูชิงเฟิงที่อยู่ข้างๆ ด้วยตนเองอยู่หลายครั้งเลยเชียว
ซูชิงเฟิงกำลังมองดูเหล่าทหารที่พากันดื่มเหล้าอย่างมีความสุข ฉับพลัน จอกเหล้าของเขาถูกใครมาชนด้วยจึงได้สติกลับมา เป็หรงจิ่งที่กำลังพูดกับเขานั่นเอง
“ท่านอ๋องกับพระชายาองค์นี้ไปรักกันได้อย่างไร เหตุใดจึงดูมีความสุขถึงเพียงนี้”
พรึบ!
เสียงพัดกางออกดังขึ้น
ซูชิงเฟิงกางพัดด้ามยาวในมือ ปกปิดใบหน้าครึ่งหนึ่งไว้พร้อมกับยกจอกเหล้าขึ้นมา
“ไม่มีทาง นี่ตาข้างไหนของเ้ากันที่กำลังมองว่าท่านอ๋องมีความสุข”
ซูชิงเฟิงจ้องไปทางอวี้ฉู่จาวที่แสดงท่าทีเ็าไม่ต่างจากทุกที เอ่ยถามด้วยความสงสัย
“เหอะ นั่นเป็เพราะเ้ายังไม่รู้จักท่านอ๋องดีพอ ท่านอ๋องมักไม่แสดงความรู้สึกบนใบหน้า แต่เ้าต้องดูจากร่างกายของท่าน ท่าทางการเคลื่อนไหว รวมไปถึงการปฏิบัติต่อผู้อื่น หากอารมณ์ไม่ดีหรือกำลังฝืนทำในสิ่งที่ไม่อยากทำแล้วละก็ ท่านอ๋องจะไม่อยากแม้แต่จะคุยกับใครเลยด้วยซ้ำ รวมถึงพร้อมตีตัวออกห่างจากทุกคน…”
ซูชิงเฟิงฟังด้วยความตั้งใจ
“แล้วก็…” หรงจิ่งรินเหล้าให้พวกเขาทั้งคู่ก่อนเอ่ยต่อ “เ้าดูสิ ดวงตาของท่านอ๋องตอนนี้แดงเสียแล้ว นั่นเป็เพราะดื่มจนเมามาย หากเป็ปกติแล้ว ท่านอ๋องจะไม่ยอมปล่อยให้ตนเองเป็เช่นนี้ อีกทั้งใครก็บังคับท่านไม่ได้ แต่ว่าตอนนี้ ท่านอ๋องกลับยังคงนั่งดื่มเหล้ากับคนอื่นอย่างใจเย็น ไม่ปฏิเสธแม้แต่จอกเดียว ท่าทีเช่นนี้แสดงให้เห็นว่าเวลานี้ ท่านอ๋องอารมณ์ดีและกำลังมีความสุข”
ซูชิงเฟิงทำปากยื่น ภายในใจได้แต่ทอดถอนหายใจ
แม้ว่าหรงจิ่งจะเ้าเล่ห์ราวกับจิ้งจอก แต่เขาก็มองท่านอ๋องออกทะลุปรุโปร่ง
“ข้าก็แปลกใจเช่นกัน เหตุใดท่านอ๋องถึงได้ดูแลคุณชายหลินดีเช่นนี้ เลี้ยงอย่างกับลูกเชียวล่ะ” ซูชิงเฟิงยกมือขึ้นมาพัด เขาขมวดคิ้วพลางตอบกลับ นี่คือสิ่งที่เขาสงสัยที่สุด
“เื่นี้เป็เื่ส่วนตัวของท่ายอ๋อง หากชายาผู้นี้ไม่ได้มาขวางทางท่านก็คงไม่เกี่ยวอะไรกับพวกเรา”
ซูชิงเฟิงไม่เอ่ยอะไรอีก เพียงมองผู้คนที่ดื่มเหล้าและร้องเพลงกันอย่างมีความสุข
ผ่านไปไม่นาน อวี้ฉู่จาวเริ่มดื่มเหล้าไม่ไหว
เขาก็ควรจะได้เวลาออกไปจากห้องโถงใหญ่ กลับไปยังห้องหอแล้วสินะ
.........
หอเนี่ยนอวิ๋นเมิ่งซี
“อาหร่วน ด้านนอกเป็อย่างไรบ้าง”
“งานน่าจะใกล้เลิกแล้วขอรับ”
หลังพูดจบ ประตูห้องกลับมีเสียงเคาะดังขึ้น
พอติงหร่วนเปิดประตูออกไปดู อีกฝ่ายก็ไม่กลับเข้ามาอีก
“...อาหร่วน ใครหรือ?” ติงหร่วนไม่กลับเข้ามาเสียที หลินหร่านจึงไม่แน่ใจว่าตนเองควรจะส่งเสียงถามออกไปอีกหรือไม่ แต่สุดท้ายก็เลือกที่จะถามออกไป
ทว่า ไม่มีคนตอบกลับ ได้ยินเพียงเสียงลมพัดและเสียงประตูกระทบกันเท่านั้น
หลินหร่านรู้สึกแปลก แต่เขาคิดว่าหากไม่ออกไปจากห้องคงไม่เป็อะไร จึงลุกขึ้นยืนก่อนเดินไปตรงหน้าประตู
เพราะคิดว่าผ้าคลุมหัวนี้ต้องให้ท่านอ๋องเป็คนเปิดจึงไม่กล้าแตะต้อง เขาเดินไปทั้งอย่างนั้นพลางใช้มือคลำไปโดยรอบ
เหตุใดประตูถึงยังเปิดอยู่ ลมเย็นๆ พัดเข้ามาจนทำให้ผ้าคลุมหัวของหลินหร่านเลิกขึ้นมา
ในจังหวะที่ผ้าคลุมหัวพัดขึ้นเล็กน้อย ทำให้หลินหร่านเห็นร่างของอวี้ฉู่เฉิงที่ยืนอยู่หน้าประตูพอดี
อวี้ฉู่เฉิงมีดวงตาแดงก่ำ เขาจ้องมองมาทางหลินหร่าน ร่างกายเต็มไปด้วยความรู้สึกที่แสนจะเ็ายิ่งนัก
“เ้า…”
หลินหร่านตกตะลึงกับผู้ที่โผล่ออกมาอย่างไม่ทันตั้งตัว
น่าเสียดาย หลินหร่านยังไม่ทันได้เอ่ยอะไร ผ้าคลุมหัวที่ถูกเลิกขึ้นมาเล็กน้อยพลันร่วงหล่น ทำให้มองไม่เห็นอะไรอีกครั้ง
อวี้ฉู่เฉิงจ้องมองหลินหร่านที่แต่งตัวงดงามสำหรับงานอภิเษกสมรสในครั้งนี้ ทำให้ความปรารถนาและความไม่พอใจในใจของเขาทวีความรู้สึกมากขึ้น
เขากระโจนใส่หลินหร่านก่อนจะกดคนตัวเล็กกว่าลงไปกับพื้น
“โอ้ย!” หลินหร่านร้องเสียงดัง พร้อมกับออกแรงผลักคนตรงหน้าออกไป
ท่าเสวี่ยกับหยิ่นเยวี่ยที่อยู่ในบริเวณนั้น หลังได้ยินเสียงก็รีบโผล่ออกมา
เป็จังหวะเดียวกับอวี้ฉู่จาวที่เข้ามาที่หอเนี่ยนอวิ๋นเมิ่งซี เสียงอันแ่เบาที่ได้ยินทำให้เขารับรู้ได้โดยเร็วว่าเป็เสียงของหลินหร่าน จึงรีบวิ่งเข้าไป
เมื่ออวี้ฉู่จาวมาถึง อวี้ฉู่เฉิงก็ถูกท่าเสวี่ยกับหยิ่นเยวี่ยจับกุมตัวเอาไว้ อีกฝ่ายหลับตานิ่ง ไม่ขยับเขยื้อน
“อวิ๋นซี” หลินหร่านนั่งอยู่บนพื้นด้วยท่าทีใ เสื้อผ้ายังคงอยู่ดี แต่ผ้าคลุมหัวหลุดออกไปแล้ว
“เ้าไม่ได้าเ็ใช่หรือไม่” อวี้ฉู่จาวประคองหลินหร่านขึ้นพร้อมเอ่ยถาม
หลินหร่านส่ายหน้าไปมา สายตายังคงจับจ้องไปยังผ้าคลุมหัวที่ตนเองพยายามปกป้องเอาไว้สุดชีวิต
แต่ผลสุดท้ายเขาก็ปกป้องไว้ไม่ได้
ขณะนั้น ติงหร่วนวิ่งกลับมาพอดี “คุณชายน้อย...ท่านอ๋อง”
“คนที่เฝ้าประตูไปไหนกันหมด?” อวี้ฉู่จาวแสดงออกอย่างชัดเจนว่ากำลังโกรธ ก่อนที่เขาจะออกไปก็ได้กำชับให้คนมาคอยเฝ้าเอาไว้แล้วมิใช่หรือ
“เมื่อสักครู่นี้มีคนมาด้อมๆ มองๆ อยู่บริเวณประตู ข้าน้อยจึงได้รีบนำคนตามไปดูพ่ะย่ะค่ะ”
่ที่ติงหร่วนออกมาบริเวณหน้าประตู เขาเห็นใครบางคนวิ่งไปทางตะวันตกพร้อมกับาแและยังมีเืออก อีกทั้งเขาเห็นว่ายังมีท่าเสวี่ยกับหยิ่นเยวี่ยคอยเฝ้าดูอยู่ จึงได้นำผู้คนวิ่งตามออกไปดู
ไม่คิดเลยว่า…
----------------------------------