เซวียเสี่ยวหรั่นกระซิบถามหงกู
หงกูมองนางปราดหนึ่ง "คุณหนูเซวียรอนายท่านกลับมาค่อยถามเองเถอะเ้าค่ะ"
ความหมายก็คือนางไม่สะดวกพูด
เซวียเสี่ยวหรั่นชักเริ่มกลัดกลุ้ม เมื่อก่อนเธอไม่เคยถามเหลียนเซวียน เขาไม่เคยบอก เธอก็ไม่เคยซักถามอย่างละเอียด ตอนนี้มานึกดูก็รู้สึกเหมือนว่าถูกปิดบัง
เอาเถอะ รอเขากลับมาค่อยถามแล้วกัน
พอถูกซ่งจิ่งซีทำเสียบรรยากาศ ความตื่นเต้นของพวกเขาในตอนแรกก็มอดดับสนิท พวกเขาเดินวนรอบอุโบสถต่างๆ จนครบรอบ สักการะพระพุทธรูปสององค์ จากนั้นไม่เดินเล่นต่ออีก
เปลี่ยนทิศไปยังอารามด้านข้างซึ่งเป็สถานที่ที่ทางวัดต้าฝออินจัดอาหารเจต้อนรับผู้มาแสวงบุญ พวกนางนั่งลงตรงมุมด้านหนึ่งซึ่งมีฉากกั้นภาพเขียนสีเคลือบเงาตั้งอยู่
เซวียเสี่ยวหรั่นให้อูหลันฮวากับหงกูนั่งกินอาหารเจด้วยกัน
หงกูตรึกตรองแล้ว สุดท้ายก็ไม่ปฏิเสธ
ฟางขุยพาองครักษ์คนไปนั่งโต๊ะติดกัน
"หงกู ไหนๆ ท่านก็มาแล้ว ช่วยสั่งอาหารให้ทีเถิด ปริมาณเอาเท่าที่พวกเราสี่คนกินไหวก็พอ อย่าสั่งมากเกินไป" เซวียเสี่ยวหรั่นมอบหน้าที่สั่งอาหารให้หงกู ส่วนโต๊ะของฟางขุยก็ให้พวกเขาสั่งอาหารกันเอง
หงกูยิ้มรับคำแล้วออกไปจัดการ
ไม่ช้าอาหารก็ยกมาขึ้นโต๊ะ
หลัวฮั่นเจ [1] แป้งหมี่กึงเห็ดหอม [2] ผัดผักรวมมิตร หัวสิงโตน้ำแดงเจ และน้ำแกงข้นเต้าหู้
อาหารสี่น้ำอย่างน้ำแกงหนึ่งอย่าง เต็มไปด้วยสีสันและกลิ่นหอม เห็นแล้วชวนให้คนนึกอยากอาหาร
"หัวสิงโตนี้เป็ของเจ เสี่ยวเหล่ยลองชิมดูซิ ว่ามีกลิ่นเนื้อหรือไม่" เซวียเสี่ยวหรั่นยิ้มพลางคีบหัวสิงโตน้ำแดงเจให้เซวียเสี่ยวเหล่ย
"พี่สาว ท่านก็กินด้วยสิ" เซวียเสี่ยวเหล่ยทำใจกล้าคีบหัวสิงโตน้ำแดงชิ้นหนึ่งให้เซวียเสี่ยวหรั่น
รอยยิ้มของเซวียเสี่ยวหรั่นยิ่งกระจ่างพร่างพราย "เอาล่ะ ทุกคนเริ่มขยับตะเกียบ ชิมอาหารเจของวัดต้าฝออินกันเถอะ"
"จะว่าไปแล้ว นายท่านค่อนข้างโปรดปรานอาหารเจของวัดต้าฝออินแห่งนี้" หงกูเอ่ยออกมาประโยคหนึ่ง ก่อนขยับตะเกียบ
เซวียเสี่ยวหรั่นหัวใจสะดุดไปหนึ่งจังหวะ นึกถึงปรกติเหลียนเซวียนก็ชอบกินผักมากกว่ากินเนื้อ
แม้ทุกมื้อเธอจะคีบเนื้อให้ เขาก็กินหมด แต่ถ้าหากเขาเป็คนคีบเอง ส่วนใหญ่จะเลือกกินแต่ผัก
ชิ คนตัวใหญ่ขนาดนั้น ดันชอบกินแต่อาหารจืดชืด
เซวียเสี่ยวหรั่นคีบเห็ดหอมใส่ปาก อืม... แม้รสชาติอาหารเจจะไม่เลว แต่เธอก็ยังรู้สึกว่าเนื้ออร่อยกว่าอยู่ดี
อมิตาพุทธ กินเจแต่ใจกลับนึกถึงเนื้อสัตว์ จะเป็การลบหลู่หรือไม่ เซวียเสี่ยวหรั่นรีบวางความคิดลงทันที
กินอาหารเจเสร็จ ก็สั่งอาหารเจมาอีกสองสามอย่าง ใส่กล่องอาหารที่ซื้อมาใหม่นำกลับไป
ขณะรถม้ากำลังควบตะบึงไปด้านหน้า
เซวียเสี่ยวหรั่นก็ลูบถุงผ้าด้วยความรู้สึกปวดใจเล็กน้อย
อาหารเจเหล่านี้ กับกล่องอาหารแบบนำกลับรวมกันแล้วต้องจ่ายไปเกือบยี่สิบตำลึง เดิมทีหงกูจะเป็คนไปจัดการ แต่เซวียเสี่ยวหรั่นจะให้นางจ่ายได้อย่างไร
ไม่น่าแปลกใจว่าเพราะเหตุใดวัดต้าฝออินถึงได้หรูหราใหญ่โตเช่นนี้ ลำพังอาศัยแค่การขายอาหารเจ ปีหนึ่งก็ไม่รู้ว่าทำเงินได้เท่าไรแล้ว
อื้อหือ... ถ้าเธอเปิดร้านอาหารเจข้างวัดที่มีชื่อเสียง ไม่แน่ว่าเงินทองอาจไหลมาเทมาทุกวันก็ได้
เซวียเสี่ยวหรั่นยิ้มพลางฝันถึงหนทางร่ำรวยของตนเอง
"พี่สาว คุณชายซ่งผู้นั้นมีจุดประสงค์บางอย่างใช่หรือไม่" เซวียเสี่ยวเหล่ยยังฝังใจกับเื่นี้ หากวันนั้นตนเองไม่ไปชนกับเคอตา ก็คงมิต้องข้องเกี่ยวกับคนเ่าั้
"อืม เ้าก็รู้สึกเหมือนกันหรือ ข้าคิดว่าสาเหตุน่าจะมาจากพวกเราเข้าไปพักในคฤหาสน์นอกของเฟิ่งอ๋องกระมัง คนแซ่ซ่งผู้นั้นนึกว่าพวกเราเป็อะไรกับเฟิงอ๋อง ดังนั้นจึงอยากเข้ามาใกล้ชิด"
เซวียเสี่ยวหรั่นนึกได้แต่เหตุผลนี้
เซวียเสี่ยวเหล่ยพยักหน้า รู้สึกว่ามีเหตุผล ต่อมาก็ถามอย่างระมัดระวัง "พี่สาว พวกเราอยู่ที่นั่น จะไม่มีปัญหาจริงหรือขอรับ"
นั่นคือคฤหาสน์ของเฟิงอ๋องเชียวนะ เซวียเสี่ยวเหล่ยไม่นึกไม่ฝันมาก่อนว่าวันหนึ่งตนเองจะได้เข้ามาอยู่ในบ้านพักตากอากาศของท่านอ๋องคนหนึ่ง
"เอ่อ ก็คงไม่มีปัญหาอะไรหรอกมั้ง อย่างไรเสียพี่ใหญ่เหลียนของเ้าก็เป็คนจัดการ หากมีปัญหาก็เป็ปัญหาของเขา" เซวียเสี่ยวหรั่นไม่นำพาต่อปัญหานี้ เื่ที่เหลียนเซวียนจัดการต้องเชื่อถือได้อยู่แล้ว
บัดนี้เธอเริ่มคิดอย่างหนัก สถานะของเหลียนเซวียนคงไม่ใช่แค่ชนชั้นสูงที่มั่งมีเงินทองเป็แน่
อาจเป็ตระกูลที่มีอำนาจ หรือเป็พวกมียศถาบรรดาศักดิ์อะไรเทือกนั้น จะว่าไป แม้ว่าเขาบอกเธอตามตรง ก็ไม่แน่ว่าเธอจะเข้าใจ
แต่อันที่จริง เธอไม่จำเป็ต้องทำความเข้าใจก็ได้ หลังจากไปถึงเมืองหลวง เขาคงจะยุ่งมาก โอกาสที่จะได้พบกันก็คงมีไม่มาก
พวกเธอเป็แค่สามัญชนธรรมดา แค่ดูแลตนเองให้อยู่รอดปลอดภัยมีชีวิตอย่างสงบสุขก็พอแล้ว เซวียเสี่ยวหรั่นเม้มริมฝีปาก ทิ้งปัญหานี้ไปไว้อีกข้าง
...
"องค์ชาย พวกซ่งจิ่งซีเดินทางมาจากเมืองหลวงพ่ะย่ะค่ะ พวกเขาไปถึงเมืองหลวงั้แ่ครึ่งเดือนก่อน หวงกุ้ยเฟยยังมาต้อนรับขับสู้ด้วยองค์เอง"
หน้าผากของเหลยลี่มีแต่เหงื่อ มองน้ำสมุนไพรที่มีควันโขมงแม้แต่กากยาก็ยังรวมอยู่ในถังอาบน้ำ
องค์ชายผู้น่าสงสารแทบจะกลายเป็กุ้งต้มสุกอยู่แล้ว
เหลียนเซวียนอดทนต่อกระแสความร้อน เหงื่อไหลตลอดเวลาราวกับหยาดฝน
"อาจารย์อา ดื่มยาถ้วยนี้ก่อนขอรับ" อวี๋เฟิงหยางเทน้ำสมุนไพรเสร็จแล้ว ก็ยกน้ำแกงยาสีดำร้อนๆ ถ้วยหนึ่งมาให้
เหลียนเซวียนมองยาน้ำสีดำราวกับน้ำหมึกปราดหนึ่ง เส้นเืที่หน้าผากเต้นตุบๆ ก่อนยื่นฝ่ามือที่แช่น้ำจนเหี่ยวย่นไปรับมาดื่มรวดเดียวหมด
ถ้าไม่ใช่เพราะพิษเริ่มถูกกำจัดออกไปบ้างแล้ว เขาก็อยากจับผูหยางชิงหลันลงมาแช่สักสองสามวัน ให้หมอนั่นได้ลิ้มรสชาติของการถูกต้มทุกวันว่าเป็อย่างไร
เห็นชัดอยู่ว่าเ้าบัดซบนี่ฉวยโอกาสแก้แค้นส่วนตัว โดยการจับเขามาแช่เป็หนูทดลอง เหลียนเซวียนจำได้ว่าขั้นตอนการถอนพิษไม่ต้องเปลืองแรงขนาดนี้
ผูหยางชิงหลันอ้างว่าเขาต้องพิษนานเกินไป พิษแพร่กำจายไปทั่วร่างแล้ว การแช่ตัวในน้ำสมุนไพรช่วยกำจัดพิษได้ดีกว่า
เหลียนเซวียนคิดจะโต้แย้ง แต่ถูกเขาตอกกลับมาจนหน้าดำเป็ก้นหม้อ
"ใครใช้ให้เ้าดูแคลนวิชาแพทย์เองเล่า หากเ้าศึกษากับอาจารย์ให้ดีเสียแต่ตอนนั้น ไหนเลยจะถูกคนวางยาพิษโดยไม่รู้ตัว"
ผูหยางชิงหลันเชิดคางมองเขาอย่างกระหยิ่มยิ้มย่อง ฉวยโอกาสพูดซ้ำเติมเขาอีกสองสามประโยค
เหลียนเซวียนกัดฟัน ได้แต่จำทน อีกฝ่ายพูดไม่ผิด ใครใช้ให้ตนเองไม่ศึกษาวิชาแพทย์ให้ดีแต่แรก มิเช่นนั้นคงไม่ต้องตกมาอยู่ในมือเขาอย่างตอนนี้
"อาจารย์อา อีกหนึ่งเค่อก็ขึ้นมาได้แล้วขอรับ" อวี๋เฟิงหยางมองดูผิวที่แช่จนแดงก่ำของอาจารย์อาด้วยความเวทนา
แท้จริงแล้ว จะไม่แช่น้ำสมุนไพรนี้ก็ได้ แต่อาจารย์...
อวี๋เฟิงหยางเก็บถ้วยยา ทิ้งแววตาเห็นอกเห็นใจเอาไว้ก่อนจากไป
อาจารย์เป็คนเ้าคิดเ้าแค้น ยามอาจารย์อากับอาจารย์ต่อสู้กัน ไม่เคยไว้ไมตรีแม้แต่น้อย ยามนี้สบโอกาสเป็ฝ่ายได้เปรียบ อาจารย์จะไม่แก้แค้นได้อย่างไร
อาจารย์อา หมั่นสร้างกุศลไว้ให้มากเถอะขอรับ
"ซ่งจิ่งซีมาคนเดียวรึ?" หลังกรอกยาอุ่นๆ ลงท้อง เหงื่อของเหลียนเซวียนยิ่งมากกว่าเดิม
"ยังมีน้องสาวสายตรงของเขา ซ่งหนิงซีพ่ะย่ะค่ะ แต่ซ่งหนิงซีรั้งอยู่เมืองหลวงไม่ได้ตามมาเฉียนเฟิง หวงกุ้ยเฟยทรงเรียกเข้าวังมาอยู่เป็เพื่อนบ่อยๆ "
เหลยลี่ตอบ เขาเข้ามาในห้องเพียงไม่นาน แผ่นหลังก็ชุ่มไปด้วยเหงื่อ เห็นได้ว่าความร้อนภายในมากเพียงใด
...
[1] หลัวฮั่นเจ คือฟองเต้าหู้ผัดวุ้นเส้นผักรวมมิตร
[2] หมี่กึงเห็ดหอม คือกลูเตนอบแห้งผสมเห็ดหอมปรุงรส เป็อาหารแห้งที่นิยมรับประทานกับข้าวต้ม
