เมื่อจ้าวซ่งจื่อมีอายุได้ยี่สิบเอ็ดปี เขาสอบได้ตำแหน่งขุนนางระดับล่างในกรมอาญา และในวัยยี่สิบสามก็ได้รับการแต่งตั้งให้เป็ผู้ช่วยประจำกรมอาญา
หลายคนต่างวิพากษ์วิจารณ์กันว่าการเลื่อนตำแหน่งอย่างรวดเร็วของเขานั้น คงเป็เพราะอิทธิพลและบารมีของพ่อบุญธรรมอย่างจ้าวเฉิงที่คอยหนุนหลัง
จ้าวซ่งจื่อก้าวเข้าจวนด้วยท่วงท่าสง่า ใบหน้างดงามแฝงความเ็า แต่ก็มีความอบอุ่นและใจดีในคราเดียวกัน ทุกย่างก้าวที่ผ่านเหล่าสาวใช้ พวกนางก็ต่างรีบย่อตัวคารวะด้วยความนอบน้อม
เมื่อร่างสูงเดินมาถึงลานหน้าของจวนจ้าว เขาก็หยุดฝีเท้าลงทันทีที่เห็นชายวัยกลางคนยืนรอตรงหน้า จ้าวซ่งจื่อยื่นดาบในมือส่งให้พ่อบ้านไป๋
ไม่นานนักเสียงหวานใสก็ดังขึ้นจากด้านหลัง
“พี่ใหญ่กลับมาแล้วหรือเ้าคะ”
จ้าวิจูปราดเข้ามาด้วยแววตาเป็ประกาย นางยื่นมือไปถอดเสื้อคลุมให้จ้าวซ่งจื่อด้วยท่าทีเอาใจ ทว่าชายหนุ่มกลับไม่แม้แต่จะเหลือบสายตามองน้องสาวผู้นี้
เขารู้ดีว่านางแอบมีใจให้เขามานานแล้ว และมักจะหาโอกาสใกล้ชิดอยู่เสมอจนบางคราเขาอดรู้สึกระอาใจไม่ได้
จ้าวิจูสำหรับจ้าวซ่งจื่อเป็เพียงน้องสาวคนหนึ่งเท่านั้น ไม่เคยมีความรู้สึกอื่นใดเกินเลย
ชายหนุ่มเคารพในฐานะเครือญาติและพยายามรักษาระยะห่างอย่างเหมาะสม ทว่าอีกฝ่ายกลับไม่เคยเข้าใจเจตนาอันชัดเจนนั้นของเขาเลยแม้แต่น้อย
“พี่ใหญ่เหนื่อยหรือไม่เ้าคะ?” จ้าวิจูถามด้วยรอยยิ้มสดใส พร้อมยื่นมือไปเกาะท่อนแขนของชายหนุ่ม
“ก็เป็เื่ปกติ” จ้าวซ่งจื่อตอบกลับเสียงเรียบ ก่อนจะเดินต่อไปโดยไม่แสดงอาการใด
จ้าวิจูเห็นว่าชายหนุ่มตอบเพียงสั้น ๆ จึงถือโอกาสเปิดประเด็นสำคัญในวันนี้
“ท่านแม่จะส่งคนไปรับพี่เหม่ยหลินกลับจวน” นางเงยหน้ามองจ้าวซ่งจื่อเล็กน้อย ก่อนกล่าวต่อ “ท่านพี่คิดว่าพี่หญิงสมควรรับกลับจวนหรือไม่เ้าคะ?”
จ้าวซ่งจื่อชะงักฝีเท้า หันมองจ้าวิจูที่ยืนอยู่ข้างกาย “จริงหรือ?” เขาถามเสียงต่ำ
“เ้าค่ะ” จ้าวิจูตอบพร้อมกับสังเกตท่าทางของชายหนุ่ม ทุกครั้งที่มีชื่อจ้าวเหม่ยหลินเขามักจะให้ความสนใจเป็พิเศษ นางพยายามหาคำตอบจากความสงสัยแต่กลับพบว่าตัวเองยิ่งไม่เข้าใจมากขึ้น
จ้าวซ่งจื่อยิ้มมุมปาก “ดี” เขายังจำเหตุการณ์ได้ไม่มีผิด เมื่อครั้งที่จ้าวเหม่ยหลินอายุสิบสี่ปี นางถูกตัดสินส่งตัวไปเลี้ยงดูที่เรือนนอก ในตอนนั้นนางวิ่งหนีเข้าไปซ่อนตัวในโรงเก็บฟืน
จ้าวซ่งจื่อเป็เพียงคนเดียวที่รู้ที่ซ่อนของนาง
ชายหนุ่มจึงเร่งฝีเท้าตามหาจ้าวเหม่ยหลิน ภายในโรงเก็บฟืนพบว่าเด็กสาวกำลังนั่งกอดเข่า น้ำตาไหลอาบสองแก้ม
จ้าวซ่งจื่อเข้าไปเช็ดน้ำตาให้ร่างเล็กแล้วโอบกอดปลอบใจนางอยู่ครู่ใหญ่ จนในที่สุดนางก็ยอมออกมาจากที่ซ่อน
เมื่อคิดย้อนกลับไปก็สามปีแล้วที่ชายหนุ่มรอคอยจ้าวเหม่ยหลิน ตอนนี้นางจะงดงามขึ้นหรือไม่
“เมื่อไหร่?” ชายหนุ่มถามเสียงเรียบ
“ไม่รู้เ้าค่ะ”
“ข้าจะเข้าพบท่านพ่อ เ้ากลับเรือนไปเถิด” จ้าวซ่งจื่อกล่าว พลางสาวเท้าเดินออกห่างจากจ้าวิจู
ชายหนุ่มตรงไปห้องทำงานของรองเสนาบดีจ้าวทันที แล้วเสนอตัวไปรับจ้าวเหม่ยหลินด้วยตนเองโดยให้เหตุผลว่าเพื่อความปลอดภัยของบุตรสาวรองเสนาบดีคลัง
หากกลับมาอย่างเรียบง่ายเกินไป ชาวบ้านอาจจะนินทาว่ารองเสนาบดีคลังทอดทิ้งบุตรสาวคนโตโดยไม่แยแสหรือใส่ใจ
จ้าวเฉิงเพียงพยักหน้ารับ “เื่นี้ฝากเ้าด้วย”
่ดึกจ้าวเหม่ยหลินรู้สึกว่าเวลานี้จะหนาวเย็นกว่าปกติ เพราะทุกวันนางมักจะเข้านอนเร็ว อีกทั้งยังมีซูจินคอยเติมฟืนในเตาจึงอบอุ่นตลอดทั้งคืน
ร่างเล็กนั่งอยู่บนเก้าอี้ท่าทางกำลังคิดอะไรบางอย่างอยู่ นางใช้กระดาษแผ่นที่เสี่ยวอวี้ซื้อมาแล้วใช้ถ่านจากเตามาเขียนแทนพู่กัน
จ้าวเหม่ยหลินกำลังวางเค้าโครงพล็อตเื่นิยายที่กำลังคิด ชายหนุ่มและหญิงสาวใช้ชีวิตจนแก่เฒ่าด้วยกันอย่างมีความสุข
ซูจินเห็นว่าเ้านายของตนยังไม่เข้านอน นางจึงต้มน้ำร้อนมาวางไว้ตรงหน้าจ้าวเหม่ยหลิน หวังว่านางจะดื่มเพิ่มความอบอุ่น
ส่วนเสี่ยวอวี้และเสี่ยวถังเข้านอนแล้ว
ซูจินนั่งข้างผู้เป็นายด้วยความงงงัน นางไม่สามารถอ่านหนังสือได้ ถึงแม้จะเคยเข้าเรียนบ้างตอนรับใช้คุณหนูจ้าวในจวนหลัก
“นี่คืออะไรเ้าคะ” ซูจินเอ่ยถาม
“เอ่ออ..นิยายยังไงล่ะ” จ้าวเหม่ยหลินยิ้มให้ซูจินทีหนึ่ง “ข้ายังคืดชื่อเื่ไม่ออก ชื่อหลินซูดีหรือไม่”
“เหตุใดถึงชื่อนี้เ้าคะ” ซูจินเอียงคอเล็กน้อย
“จะได้มีชื่อเ้ากับข้า หลินที่แปลว่าแสงของหยก ซูที่แปลว่าฟื้นคืน” จ้าวเหม่ยหลินหยอกล้อสาวรับใช้ ก่อนจะตามมาด้วยอาการง่วงนอน แต่นางก็ฝืนทนเขียนต่อ
“คุณหนูเ้าคะ นี่ก็ดึกมากแล้ว” ซูจินเอ่ยขึ้นเมื่อเวลาล่วงเลย แต่จ้าวเหม่ยหลินยังคงจมอยู่ในความคิดของตนเอง
ซูจินจึงลุกขึ้นเตรียมที่นอนให้จ้าวเหม่ยหลิน “คุณหนูพักหน่อยเถิดเ้าค่ะ”
“อือ” จ้าวเหม่ยหลินตอบเสียงเบาในลำคอด้วยความง่วง นางพับกระดาษเก็บก่อนจะลุกขึ้นและเข้าไปนอนบนฟูกเก่า หวังว่าพรุ่งนี้คงจะดีขึ้น
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้