การสู้รบยุติอย่างรวดเร็วคือผลลัพธ์ที่ดีที่สุด มาตรว่าอยากทดสอบฝีมือ ดูสองตาเฒ่าต่อสู้อีกหลายท่า แต่จะอย่างไรระดับต่างกันเกินไป สิ่งนี้ทำให้ไท้หยูเข้าใจคำว่า “ความต่างของระดับ” เพิ่มขึ้นมา
การที่สองเ้าสำนักจิตไร้ขอบขั้นสมบูรณ์และผู้ใช้มนต์ดำระดับครึ่งก้าวเข้าสู่เทพปรากฏ ตกตายโดยไม่ทันได้ร้องออกเสียง มิได้หมายความว่าพวกเขาอ่อนแอ ทว่าตัวตนของสองตาเฒ่านี้ทรงพลังเหนือจินตนาการไปมาก
จะอย่างไรผู้ที่เคยไปถึงจุดสูงสุดของโลกใบนี้ แม้เหลือเพียงขวัญิญญาก็สุดที่คนธรรมดาจะต้านทาน อีกอย่างนี้เป็การประหัตปะาด้านิญญา มิได้ต่อสู้ด้วยกายเนื้อ ในบรรดาเจ็ดมรรคา หากไม่ใช่ผู้ฝึกเต๋ายากจะที่มีวิธีต่อสู้กันด้วยขวัญิญญา
แม้จะแตกตื่นกับความทรงพลังของทั้งสองอยู่บ้าง ทว่าไท้หยูมองว่าสิ่งเหล่านี้สมเหตุสมผล หากสองตาเฒ่านี้เมื่อต่อสู้กับระดับที่ต่ำกว่าตนเองเช่นนี้ ยังใช้เวลาหนึ่งวันหนึ่งคืน เช่นนั้นไท้หยูคงไม่มีความจำเป็ต้องรับคำชี้แนะและทำตามความ้าของพวกเขาแล้ว
ความสามารถเพียงเท่านี้ยังทำไม่ได้ เช่นนั้นย่อมไม่สามารถเรียกตนเองว่าผู้ที่เคยอยู่จุดสูงสุดของโลก ของเผ่าพันธุ์
ในโลกฝึกตนหากให้ต่อสู้กับคนธรรมดา แน่นอนว่าขุมกำลังที่ยกมาที่เทือกเขาหยกในวันนี้สามารถถล่มลบล้างหนึ่งสำนักได้จริงๆ ทว่าน่าเสียดายที่พวกเขาพบเจอกับสัตว์ประหลาดเช่นนี้ ระดับจิตไร้ขอบ ครึ่งก้าวเทพปรากฏ สามารถเรียกได้ว่าเป็ตัวตนระดับสูงของเจ็ดดินแดนแล้ว
ไท้หยูกวาดตามองร่างที่นอนแผ่อยู่บนซากกองดินที่เกิดถล่มจากฝ่ามือพินาศ ในสมองยังนึกย้อนกลับไปถึงเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้น
มหาพยุหะที่ใช้โจมตีด้วยฝ่ามือพลังธาตุ ยังมิได้เปล่งประกายพลังทำลายล้างขั้นสูงสุด เนื่องจากร่างกายของเขารับไม่ไหว กระนั้นยังทรงพลังและพิสดารถึงขั้นนี้ เขายังนึกภาพไม่ออกว่ายามเมื่อถูกใช้โดยปรมาจารย์ผู้ก่อตั้งตอนที่ทรงพลังที่สุด มหาพยุหะนี้จะร้ายกาจปานใด
ยังมีอีกอย่าง ยามนี้จิตใจเขาคันอย่างยิ่ง รู้สึกเสียดายที่ไท้หยูคนเก่าฝึกมรรคายุทธ เขาเห็นอานุภาพของผู้ใช้ยันต์แล้ว ช่างมีลวดลายลูกเล่นและทรงพลังอย่างยิ่ง
มรรคาอักษรยันต์เร้น ระดับรับแสงปราณ เริ่มต้นใช้อักษรเข้าถึงพลังธาตุ เมื่อถึงระดับขั้นรวมกาย สามารถเขียนอักษรลงกระดาษแปรเป็ยันต์ ทว่าระดับนี้ยังไม่ทรงพลัง เพียงมีอิทธิฤทธิ์เคลื่อนย้ายสิ่งของ ยังมิสามารถต่อสู้จริงจัง
เมื่อถึงระดับรวมกาย จะสามารถเขียนยันต์โจมตี เขียนยันต์สลักใส่สิ่งของให้มีอิทธิฤทธิ์บางอย่าง ยกตัวอย่างเช่น เขียนยันต์เบาใส่ดาบ อาวุธที่หนักสิบชั่งจะเบาหวิวราวขนนก เขียนยันต์เพลิงใส่ลูกธนู ยามยิงเกาทัณฑ์ปลายศรจะะเิเปลวไฟออกมา
เมื่อฝึกถึงระดับจิตไร้ขอบ การเขียนยันต์จะถูกยกระดับ เมื่ออยู่ในระดับนี้จึงสามารถต่อสู้ได้อย่างแท้จริง สามารถขีดเขียนยันต์กลางอากาศ ก่อเกิดอิทธิฤทธิ์เฉพาะของตัวยันต์
เมื่อฝึกถึงระดับเทพปรากฏ เพียงแค่คิดโบกมือก็สามารถปลดปล่อยอักษรแทนยันต์ สามารถปล่อยยันต์พร้อมกันอย่างหลากหลาย และเมื่อฝึกถึงระดับสูงสุดอย่างเซียนนิรันดร์ เพียงแค่กล่าววาจาก็สามารถสยบศัตรูอย่างง่ายดาย
ดั่งเช่นปรมาจารย์ผู้ก่อตั้งทำเมื่อครู่ วาจาหลุดจากปากไม่มีผู้ใดสามารถขัดขืน
“สุดท้ายกลับเป็ผู้ฝึกยุทธ์ที่อ่อนด้อยไร้ลวดลายที่สุด มารดามันเถอะ ข้าอยากฝึกมรรคาอื่น” ไท้หยูทุบอกอย่างชอกช้ำในใจ สีหน้าอาลัยตายอยาก
“ร่างกายเหล่านี้ยังไม่ตาย สามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้หรือไม่ อย่างเช่น นำไปหลอมกลั่นเป็ยา? เพิ่มพูนพลัง จะอย่างไรร่างเหล่านี้ก็เป็ผู้ฝึกตนระดับสูง”
ฉงฉงส่ายหน้ากล่าวว่า
“นำไปกลั่นยาย่อมไร้ประโยชน์ มิสู้ให้ข้ากินเข้าไป ของไร้ประโยชน์เช่นนี้ ข้ายินดียกตัวเองทำลายมันทิ้ง”
เห็นชัดๆ ว่าเ้าสนใจปากกลับกล่าวว่าไร้ประโยชน์ เฮอะ หนอนน่ารังเกียจ คิดจะกวาดประโยชน์เข้าแต่ตัวเอง ไท้หยูเบะปากกล่าวแซะมันว่า
“เ้าตะกละตะกลาม เมื่อครู่กินไม่แบ่งปันผู้อื่น ยามนี้ยังคิดจะกินร่างเนื้อคนเดียวอีกหรือ ตาเฒ่าเ้ามีความคิดเช่นไร”
ปรมาจารย์ผู้ก่อตั้งพยักหน้ากล่าวว่า
“ข้าเห็นด้วย ร่างเหล่านี้นำไปกลั่นยาไม่ได้ประโยชน์อะไร ไม่สู้รับประทานเข้าไปเลย ทว่าของเสียเช่นนี้ ข้าจะรับไว้เอง พวกเ้ามิต้องแปดเปื้อน”
รับประทานในที่นี้มิได้หมายความว่ากินเนื้อทั้งเป็ ทว่าเป็การดูดกลืนพลังชีวิตที่เหลืออยู่ในร่างกาย ผู้ฝึกตนเมื่อถึงขั้นรวมกาย จะหลอมรวมลมปราณ ิญญาและกายเนื้อเข้าด้วยกัน
เมื่อครู่ขวัญิญญาถูกกระชากออกไป ภายในร่างจึงไร้พลังลมปราณ ทว่ายังหลงเหลือพลังชีวิตของผู้ฝึกตน สิ่งนี้ยังเป็ของล้ำค่าไม่ต่างจากสมุนไพรชั้นดินชั้นฟ้า ส่วนพลังชีวิตจะเทียบสมุนไพรชั้นฟ้าหรือดินก็อยู่ที่ระดับของแต่ละคน
สองตาเฒ่าไม่เห็นผู้ใดอยู่ในสายตา จึงมักละเลยเื่บางเื่ไป กลับเป็ไท้หยูที่ต้องขบคิดและคอยแย้งสองตัวประหลาดนี้ ด้วยฐานะของคนเหล่านี้ หากให้ตายไปคงน่าเสียดายเกินไป ไท้หยูจึงกล่าวขึ้นมาว่า
“มีวิธีควบคุมร่างของพวกเขาหรือไม่ แม้นว่าไร้พลังต่อสู้แล้ว ทว่าชื่อและฐานะของพวกเขายังมีอยู่ สามารถใช้ประโยชน์จากสิ่งนี้ สืบสาวเื่ราวคนที่อยู่เื้ั”
ฉงฉงพลันกล่าวขึ้นมาว่า
“ข้าบอกแล้วว่าเ้าโง่เขลา ไยต้องทำเื่ให้ยุ่งยากเช่นนั้น เ้าทำลายแผนการของมันแล้ว อีกไม่นานมันย่อมลงมือต่อเ้าอีกครั้ง รอคอยจนถึงเวลานั้นก็สิ้นเื่”
ที่อยู่ห่างออกไปจากเทือกเขาหยกราวสิบลี้ ต้นไม้ใหญ่รกชัฏ บนกิ่งไม้เท่าขาลำต้นสามคนโอบยืนไว้ด้วยคนสองคน ใบหน้าซีดเผือด สองตายังหวาดหวั่นไม่คาย
“เกิดอะไรขึ้น เมื่อครู่คือสิ่งใด ไฉนจึงน่าสะพรึงถึงเพียงนั้น?” บุรุษชุดแพรไหมเลิศหรูสองมือสั่นเทา ภาพสยองขวัญเมื่อครู่แม้อยู่ห่างไกลนับสิบลี้ ยังคล้ายเกิดขึ้นตรงหน้า แรงกดดันมหาศาลนั้น ยังสามารถรับรู้ได้ว่าน่าสะพรึงปานใด เขาจินตนาการว่าหากตนเองยืนอยู่ในเหตุการณ์ คงมีสภาพไม่ต่างจากยอดฝีมือเ่าั้
ชายชุดดำพันแขนพันหน้า สองขาสั่นราวกับลูกเจี้ยบที่เพิ่งฝักจากไข่ ยืนหยัดไม่มั่นคงต้องใช้แขนจับกิ่งไม้พยุงร่างตนเองเอาไว้
“สัตว์ประหลาด เ้าไท้หยูมันกลายเป็สัตว์ประหลาดไปแล้ว เ้าบ้านั้นมันทำอะไรกับตนเอง ทำอะไรกับสำนักพันปีของข้า มารดามันเถอะ ตำแหน่งประมุขของข้า สำนักของข้า!! เ้าศิษย์น้องชั่วช้า หากไม่ใช่เพราะเ้า อาจารย์ อาจารย์ อ๊าก” ชายชุดดำแผดเสียงคำราม สติเริ่มกระเจิดกระเจิงไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ถูกภาพเหตุการณ์เมื่อครู่ข่มจนขวัญหนีดีฝ่อ จิตใจใกล้พังทลายเต็มที่
บุรุษชุดแพรไหมหันมามองชายชุดดำแวบหนึ่ง เห็นดวงตาภายใต้ผ้าสีดำที่พันไว้กลายเป็สีแดงฉาน เริ่มปูดโปนจนจะถลนออกมา จึงล้วงมือในถุงผ้าแพรหยิบเอาเม็ดกลมสีแดงยัดใส่ปาก ชายชุดดำพอกลืนเม็ดกลมสีแดงเข้าไป อาการก็เริ่มสงบลง ไม่คลุ้มคลั่งเช่นเมื่อครู่อีก
เมืองหลวง…พระราชวังยิ่งใหญ่อลังการ กำแพงวังหลวงสูงกว่ากำแพงป้องกันราชธานี หากจะเข้าสู่ใจกลางพระราชวัง จำต้องผ่านอุทยานชั้นนอกและเขตพระราชทานชั้นในเสียก่อน
ภายในห้องบรรทมของฮ่องเต้ โอรส์ผู้กุมอำนาจทั้งหมดของอาณาจักรไว้ในหัตถ์พลันลืมตาตื่นขึ้น สายตาคมจับจ้องไปทางทิศใต้ ใบหน้าเคร่งขรึม คิ้วหนาโค้งงามราววาดด้วยพู่กัน ดวงตาเจิดจ้า จมูกโด่งเป็สัน เหนือริมฝีปากมีหนวดไว้เคราเบาบาง เป็ใบหน้าผู้ทรงอำนาจที่สุดแห่งอาณาจักรชางไห่
ฮ่องเต้ลุกจากแท่นบรรทม โบกพระหัตถ์ ชุดคลุมสีเหลืองอร่าปักลายัด้วยดิ้นทองพลันลอยมาสวมทับร่าง ฝ่าารับรู้ถึงพลังอันแผ่ซ่านที่เกิดขึ้นเมื่อครู่
ฮ่องเต้ผู้ยังคงอยู่ในร่างมนุษย์ก้าวออกจากห้องบรรทม พบกับขันทีชราผู้หนึ่ง แม้ใบหน้าจะเริ่มมีริ้วรอย หางตามีรอยย่น ทว่าร่างกายยังคงเปล่งปลั่ง แข็งแรงด้วยพลังชีวิต
ขันทีชราค้อมกายก้มศีรษะรอรับราชโองการของโอรส์
ฮ่องเต้ตรัสด้วยเสียงทรงอำนาจว่า
“ตรวจสอบเื่ที่เกิดขึ้น”
ขันทีชรากล่าวตอบ “รับทราบฝ่าา” จากนั้นค้อมกายถอยหลังออกไปอย่างสงบเสงี่ยม
ฮ่องเต้คลี่ยิ้มอย่างมีเลศนัย จ้องมองไปทางทิศใต้ พึมพำเสียงแ่เบา
“อยู่มาหลายร้อยปีจนรู้สึกเบื่อหน่าย… ยามนี้ คล้ายจะมีเื่สนุกสนานเกิดขึ้นแล้ว”
นับั้แ่สถาปนาแผ่นดินชางไห่ขึ้นมา หนึ่งพันสี่ร้อยกว่าปี มีฮ่องเต้ทั้งหมดสี่พระองค์เท่านั้น...
พระอาทิตย์ขึ้นทางตะวันออก แสงอบอุ่นแรกของวันปกคลุมเทือกเขาหยก นกกาตื่นจากรังบินออกหาอาหาร สายลมแ่โชยพัด เสียงใบไม้กิ่งก้านเอนลู่ ทั้งเทือกเขาหยกเต็มไปด้วยพลังชีวิต ฟื้นตื่นจากการหลับใหล
พยุหะคำสาปถูกทำลายลงแล้ว ชิ้นส่วนสีขาวเจ็ดชิ้นถูกผนึกเอาไว้ มิอาจให้อยู่ด้วยกัน เพราะมันจะพยายามหลอมรวมเป็ชิ้นเดียว ไท้หยูจึงนำไปผนึกเก็บไว้ในแต่ละจุด
รูปลักษณ์เดิมของชิ้นส่วนคำสาปเคียวั์กระดูกขาวชิ้นหนึ่ง เพราะ้าใช้อาวุธชิ้นนี้เป็แกนของพยุหะคำสาป จึงแยกมันออกเป็เจ็ดชิ้น เห็นได้ชัดว่าทั้งผู้ใช้คำสาปเ้าของอาวุธและผู้ใช้พยุหะล้วนเป็ระดับสูง แน่นอนว่าเ้าของที่แท้จริงย่อมมิใช่ผู้ที่ถูกปรมาจารย์ผู้ก่อตั้งกลืนขวัญิญญาไป
อาวุธคำสาปที่สามารถเทียบเคียงกับอาวุธคู่แผ่นดินของฮ่องเต้ มีความนึกคิดและจิตสังหารที่บ้าคลั่ง ดังนั้นไท้หยูจึงไม่กล้าให้มันประกอบเข้าด้วยกันโดยสมบูรณ์ ไม่เช่นนั้นคงเกิดหายนะขึ้นเป็แน่
อาวุธแต่ละสายมีความสามารถเฉพาะของสายนั้น มาตรว่าเป็อาวุธเช่นกัน ทว่าอาวุธคำสาปหากถูกใช้โดยผู้ใช้สายอื่น ร่างกายที่ไม่มีร่างพิษเช่นของเผ่ามาร จะถูกคำสาปมนต์ดำกัดกินจนตาย แม้แต่ไท้หยูก็ไม่เว้น ดังนั้นได้แต่ผนึกเอาไว้
ร่างทั้งสิบเอ็ดร่างพลังชีวิตเริ่มรั่วไหล หลังจากหารือวิธีการมากมายก็พบว่ามีวิชาหนึ่งที่สามารถใช้ร่างคนให้เป็หุ่นเชิดได้ ทว่าเป็วิชาของสายมนต์ดำ จึงได้แต่ล้มเลิกความคิดที่จะควบคุมร่างเหล่านี้เป็หุ่นเชิด
ยามนี้ปรมาจารย์ผู้ก่อตั้งและฉงฉงเป็เพียงขวัญิญญาที่ไม่สมบูรณ์ จึงไม่สามารถใช้วิชาในสมัยที่มีชีวิตได้
ซึ่งในสถานการณ์ปกติทั้งสองเฒ่านี้มีตัวตนอยู่แต่ไม่อาจใช้พลังต่อสู้ได้ เหตุการณ์เมื่อเช้ามืดนั้นความจริงแล้วเป็เหตุสุดวิสัยบังเอิญอย่างหนึ่ง ที่เ้าสำนักเมฆัใช้ของวิเศษดึงขวัญิญญาของพวกเขาออกมา ทำให้สามารถพลิกสถานการณ์ได้
เมื่อขวัญิญญาปรากฏในรูปลักษณ์เดิม จึงมีพลังเก่าในระดับหนึ่ง แต่มิใช่พลังแห่งความเป็จริง พลังของพวกเขาไม่สามารถทำลายสิ่งที่มีจริงได้ ที่ทำได้เพียงต่อสู้ในโลกิญญา
ยามอยู่ในร่างของไท้หยู พวกเขาก็เป็เพียงิญญาที่มีประสบการณ์ยาวนานเท่านั้น ถูกจำกัดระดับไว้ด้วยร่างของไท้หยู และประการสำคัญที่สุดก็คือ พวกเขาไม่สามารถใช้รูปลักษณ์เดิมปรากฏตัวได้ ไม่เช่นนั้นจะถูกฟ้าสังหาร
ในเื่นี้ไท้หยูมีความเข้าใจเพียงเล็กน้อย สองตาเฒ่าก็อธิบายแค่ผิวเผิน บอกว่าพวกเขามิใช่ตัวตนที่ควรมีอยู่ ดังนั้นหากปรากฏตัวจะถูกกฎเกณฑ์ของฟ้าสังหารให้หายไป
ไท้หยูยังสงสัยว่าอันใดคือตัวตนที่มิควรมีอยู่ในโลก ทว่าจนใจไม่ว่าเอ่ยปากถามเท่าไรก็ไม่ได้คำตอบที่้า