คนทั้งหมดของจวนโหวกินอาหารเที่ยงที่จวนกั๋วกง
เมื่อยามที่ซื่อจื่อฮูหยินให้บ่าวมาเชิญไปกินอาหารเที่ยงนั้น หลี่ลั่วยังนอนกลางวันอยู่ หลี่ต้านยืนอยู่ที่หัวเตียงมองดูผู้ที่นอนกลางวัน เขานอนจนกระทั่งสี่เท้านั้นชี้ขึ้นฟ้า สะดือขาวๆ ของเด็กน้อยก็โผล่ออกมา ใบหน้าของเด็กน้อยมีเนื้อจนแก้มยุ้ย แต่คิดไม่ถึงเลยว่าตัวจะผอมเล็กเช่นนี้ สะดือที่โผล่ออกมาให้เห็นนั้นแทบจะหาเนื้อหนังไม่ได้เลย
ทว่าเด็กน้อยคนนี้กลับน่ารักยิ่งนัก ทันทีที่มาถึงก็ร้องจะนอนกลางวัน เมื่อนอนกลางวันก็นอนไปถึงครึ่งชั่วยาม[1]
“น้องหก ควรจะตื่นได้แล้ว” หลี่ต้านยื่นมือไปลูบท้องของหลี่ลั่ว
หลี่ลั่วพลิกตัว หันก้นออกด้านนอก แล้วนอนต่อ
หึๆ...หลี่ต้านหัวเราะเบาๆ เขาคิด ‘ยามที่เด็กน้อยนอนหลับนั้นช่างน่ารักเสียจริง’ แต่ทว่า เพียะ...เขาตีลงไปเบาๆ บนก้นน้อยๆ ของหลี่ลั่ว “น้องหก ตื่นเถิด”
ร่างเล็กๆ ของหลี่ลั่วขยับยุกยิก ตบมือของหลี่ต้านออกไปแล้วนอนต่อ
“ปกติเสี่ยวโหวเหฺยมิใช่เป็เช่นนี้เ้าค่ะ” ผิงอันพูดขึ้นอย่างอับอายเล็กน้อย
“ปกติมิใช่เช่นนี้รึ? เขาเพิ่งกลับมาเมื่อวาน เ้าไม่หาข้ออ้างที่ดีกว่านี้หน่อยเล่า” หลี่ต้านหัวเราะ
ผิงอันพูดทั้งหน้าแดงก่ำว่า “แม้เสี่ยวโหวเหฺยจะเพิ่งกลับมาเมื่อวาน แต่เมื่อวานทั้งยามที่นอนกลางวันและเช้าวันนี้ยามที่ตื่นั้แ่ฟ้ายังไม่สางมีบ่าวคอยรับใช้อยู่ข้างกาย มาในยามนี้ห้องนอนและผ้าห่มของเรือนท่านสบายเกินไปเ้าค่ะ”
“พูดเช่นนี้กลับเป็ความผิดของข้าหรือนี่?”
“บ่าวมิกล้าเ้าค่ะ” ผิงอันถอยหลังหลายก้าว “เป็เพราะเรือนของท่านดีเกินไปเ้าค่ะ”
“เอาละ เ้าช่างรู้จักพูดจานัก” หลี่ต้านยื่นมือไปอุ้มหลี่ลั่วขึ้นมา จากนั้นจึงบีบจมูกของเขา “ดูซิว่าเ้าจะตื่นหรือไม่?”
เมื่อถูกบีบจมูกจึงหายใจไม่สะดวก หลี่ลั่วโกรธแล้ว จึงส่งหมัดออกไปส่งเดชต่อยผู้กระทำเขา หลี่ต้านสูดลมหายใจเข้าเฮือกหนึ่ง แม้ว่าหมัดของหลี่ลั่วจะนุ่มนิ่มไม่ได้รุนแรงอันใด แต่ต่อยถูกดวงตาของหลี่ต้าน ดังนั้นหลี่ต้านจึงต้องเจ็บตัว “เด็กน้อยไม่ยอมตื่นอารมณ์ร้ายเสียจริง”
หลี่ต้านรีบวางเขาลงแล้วเอามือกุมดวงตาของตนเองไว้
หลี่ลั่วมองไปรอบๆ ด้วยความรู้สึกมึนงงเล็กน้อย จากนั้นเห็นหลี่ต้านและผิงอันที่ยืนอยู่หน้าเตียง จึงค่อยๆ รู้สึกตื่นเต็มที่ “มีเื่อันใดหรือ?”
“ท่านควรตื่นมากินอาหารเที่ยงแล้วเ้าค่ะ” ผิงอันตอบ คุณชายต้านมาปลุกท่านตื่นเ้าค่ะ”
เช่นนั้นหรือ? หลี่ลั่วมองไปทางหลี่ต้าน เห็นเพียงหลี่ต้านที่ยกมือขึ้นปิดดวงตาไว้
“มองอันใดเล่า?” หลี่ต้านมิได้กล่าวอย่างอารมณ์ดีเท่าใดนัก ทว่าน้ำเสียงนั้นกลับมีรอยยิ้มปะปนอยู่ด้วย “ถูกเ้าต่อยเข้าแล้ว เ้าคนตัวเล็กอารมณ์ร้าย”
หลี่ลั่วแบะจู๋
“ล้อเ้าเล่นหรอก” รอให้หลี่ลั่วสวมเสื้อผ้าและล้างหน้าเสร็จ หลี่ต้านจึงอุ้มหลี่ลั่วขึ้น “ไป พี่ชายอุ้มเ้าไปกินข้าว”
หลังอาหารเที่ยงคนของจวนจงหย่งโหวก็พากันกลับไป หลังจากกลับไปหลี่หยางซื่อถามหลี่หงว่าคิดเห็นเช่นใดกับิเจี๋ยเอ๋อร์ เมื่อเห็นบุตรชายหน้าแดงก่ำหลี่หยางซื่อก็เข้าใจแล้ว
ณ จวนฉีอ๋อง
กู้จวิ้นเฉินนั้นมีวาสนาได้พบหน้ากับหลี่ซวี่สองครั้งด้วยกัน ครั้งที่หนึ่งคือท่ามกลางสถานการณ์ก่อฏเมื่อหกปีที่แล้ว ครั้งที่สองคืองานศพของหลี่ซวี่เมื่อสี่ปีก่อน
“ท่านอ๋อง” เมื่อมีคนเห็นเขา แต่ละคนก็ได้แต่คุกเข่าลง คารวะตามธรรมเนียมอย่างไร้เสียง
กู้จวิ้นเฉินเดินผ่านหน้าพวกเขาไป แม้จะอายุเพียงสิบสามปี ทว่ามีฐานะสูงส่ง กลิ่นอายแห่งความเ็าที่แผ่ออกมานั้นทำให้ผู้คนไม่กล้าแม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมองตรงๆ
“เรียนท่านอ๋อง ที่จวนขององค์หญิงฉางหนิงเกิดเื่แล้วพ่ะย่ะค่ะ” องค์หญิงฉางหนิง บุตรีคนโตของไท่จื่อเยี่ยน ไท่จื่อเยี่ยนมีบุตรชายสามคนและบุตรีหนึ่งคน เหลือเพียงบุตรชายคนเล็กคือกู้จวิ้นเฉิน บุตรสาวคนโตคือองค์หญิงฉางหนิง แต่องค์หญิงฉางหนิงมิใช่บุตรีในภรรยาเอกของไท่จื่อเยี่ยน ก่อนไท่จื่อเยี่ยนจะตายนั้นเพียงตั้งให้กู้จวิ้นเฉินเป็ฉีอ๋อง บรรดาศักดิ์องค์หญิงขององค์หญิงฉางหนิงนั้นเป็จ้าวหนิงฮ่องเต้ที่เป็ผู้แต่งตั้งให้ ปีนี้องค์หญิงฉางหนิงมีอายุสามสิบปี นางและราชบุตรเขย[2]มีเพียงบุตรสาวคนเดียวคือท่านหญิงหลิงโหมว
“มีเื่อันใด?”
“ราชบุตรเขยต้องสงสัยว่าข่มขืนบุตรีขุนนางพ่ะย่ะค่ะ”
อะไรกัน? กู้จวิ้นเฉินหยุดฝีเท้าลง “บุตรีขุนนางครอบครัวใด?”
“หลานสาวของหยางถีเจิ้ง ขุนนางขั้นสี่ ฮ่านหลิน พ่ะย่ะค่ะ”
“หยางถีเจิ้ง ชื่อนี้ช่างคุ้นหูนัก” สีหน้าของกู้จวิ้นเฉินไม่ปรากฏอารมณ์ใดๆ ราวกับว่าเคยชินเสียแล้วที่จะได้ยินเื่ราวพรรค์นี้
“หยางถีเจิ้งมีบุตรชายหนึ่งคน บุตรสาวหนึ่งคน บุตรสาวเป็ฮูหยินของหลี่ซวี่ อดีตจงหย่งโหวขอรับ”
อะไรนะ “เหลวไหล”
[1] ครึ่งชั่วยาม เป็การนับเวลาของจีนในสมัยโบราณ หนึ่งชั่วยามเท่ากับสองชั่วโมงในปัจจุบัน ครึ่งชั่วยามจึงเท่ากับหนึ่งชั่วโมงในปัจจุบัน
[2] ราชบุตรเขย (驸马) หมายถึง พระสวามีขององค์หญิง