แสงแดดอ่อนๆ ของเช้าวันจันทร์เริ่มเปลี่ยนเป็ความร้อนระอุเมื่อเวลาล่วงเลยเข้าสู่แปดโมงตรง เสียงเพลงชาติไทยดังกระหึ่มจากลำโพงเก่าๆ ที่ติดอยู่ตามเสาอาคารเรียน เป็สัญญาณเริ่มพิธีหน้าเสาธงที่คุ้นเคย
ฉันยืนเอามือไพล่หลังอยู่ในแถวครูเวร สวมชุดกากีสีน้ำตาลที่รีดเรียบกริบ สายตากวาดมองนักเรียนนับร้อยคนที่ยืนเรียงแถวตามระดับชั้น เสียงเจี๊ยวจ๊าวเงียบลงเมื่อครูฝ่ายปกครองเดินขึ้นมาหน้าไมโครโฟน แต่ในหัวของฉันกลับมีเสียงอื่นดังแทรกเข้ามา
เสียงลมหายใจของตัวเอง... ที่ฟังดูเหนื่อยหน่ายเหลือเกิน
“นักเรียน ป.5/2 เข้าแถวให้ตรงครับ! คนนั้นน่ะ ยืนนิ่งๆ!”
เสียงดุผ่านไมค์ทำให้เด็กชายคนหนึ่งที่กำลังแอบแหย่เพื่อนสะดุ้งโหยง เขารีบหันกลับมายืนตรง แต่แววตายังซุกซน ผมหน้าม้ายาวปรกคิ้วที่ดูยุ่งเหยิงนั่น...
วินาทีนั้น หัวใจของฉันกระตุกวูบ
ภาพซ้อนทับบางอย่างปรากฏขึ้นในดวงตา เด็กผู้ชายคนนั้นดูคล้ายกับใครบางคนในความทรงจำเหลือเกิน ใครบางคนที่มักจะยืนอยู่ท้ายแถว แอบดึงผมเปียฉัน แล้วทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้เวลาครูหันมามอง
‘มอส...’
ชื่อนี้ผุดขึ้นมาในใจอีกครั้งหลังจากที่เมื่อเช้ามันเพิ่งแวะมาทักทายฉันหน้ากระจก ฉันสะบัดศีรษะเบาๆ ไล่ภาพหลอนในอดีตออกไป พยายามดึงสมาธิกลับมาจดจ่อกับบทสวดมนต์และคำปฏิญาณตนของนักเรียนตรงหน้า แต่มันยากเหลือเกิน
วันนี้ฉันรู้สึกเหมือนตัวเองเป็แค่ร่างเปลือกนอกที่กลวงเปล่า ข้างในมีแต่ลมแล้งๆ พัดผ่านไปมา
...
“เอาล่ะจ้ะเด็กๆ เปิดหนังสือหน้าที่สิบแปด วันนี้ครูจะสอนเื่คำสมาส คำสนธิ ต่อนะคะ”
ฉันยืนอยู่หน้ากระดานดำในห้องเรียนชั้น ป.5/1 มือข้างหนึ่งถือชอล์ก อีกข้างถือหนังสือเรียน บรรยากาศในห้องเรียนอบอ้าวไปด้วยความร้อนและความง่วงของเด็กๆ หลังมื้อเช้า
“ครูอาครับ คำว่า ‘จักรวาล’ นี่เป็สมาสหรือสนธิครับ” เด็กชายแว่นหนาหน้าห้องยกมือถาม
“เป็คำสมาสจ้ะ มาจาก จักร รวมกับ วาล” ฉันอธิบายด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลตามมาตรฐานวิชาชีพ “แปลว่าวงล้อมรอบ หรือโลก... เหมือนโลกใบเล็กๆ ของพวกเราที่มารวมกันอยู่ในห้องนี้นั่นแหละ”
ฉันพูดไป เขียนกระดานไป แต่ใจกลับลอยออกไปไกล
จักรวาล...
ครั้งหนึ่งฉันเคยมีจักรวาลที่มีแค่เราสองคน โลกใบเล็กๆ ที่มีแค่ฉันกับมอส นั่งกินขนมอยู่หลังห้อง คุยเื่ไร้สาระที่ดูยิ่งใหญ่เหลือเกินในตอนนั้น แต่ตอนนี้ จักรวาลของฉันกว้างขึ้น มีผู้คนมากมาย มีสามี มีลูก มีเพื่อนร่วมงาน แต่ทำไมฉันกลับรู้สึก ‘โดดเดี่ยว’ ยิ่งกว่าตอนที่มีแค่เขาคนเดียวเสียอีก
“ครูอาคะ! เพื่อนข้างหลังแอบกินขนมค่ะ!”
เสียงฟ้องของเด็กหญิงหัวหน้าห้องดึงฉันกลับมาสู่โลกความจริงอีกครั้ง ฉันถอนหายใจ ยิ้มบางๆ แล้วเดินไปจัดการเด็กดื้อหลังห้อง ชีวิตวนลูปอยู่แบบนี้ สอน ดุ ปลอบ ตรวจงาน จนกระทั่งเสียงระฆังพักเที่ยงดังขึ้นช่วยชีวิต
...
โรงอาหารของโรงเรียนเต็มไปด้วยกลิ่นอาหารตีกันยุ่งเหยิง กลิ่นก๋วยเตี๋ยว กลิ่นข้าวแกง และเสียงะโซื้อน้ำ ฉันนั่งลงที่โต๊ะประจำของกลุ่มครู เปิดกล่องข้าวที่เตรียมมาจากบ้าน เมนูเดิมๆ ข้าวสวย ไข่ต้ม และผัดพริกแกงที่เหลือจากเมื่อคืน
ครืด... ครืด...
โทรศัพท์มือถือที่วางอยู่ข้างจานข้าวสั่นเตือน หน้าจอสว่างขึ้นโชว์ชื่อผู้ส่งที่ฉันคุ้นเคยที่สุด
กิตติ
ฉันรีบวางช้อน กดเปิดอ่านข้อความด้วยความหวังลึกๆ ว่าเขาอาจจะทักมาถามว่า ‘กินข้าวหรือยัง’ หรือ ‘เย็นนี้อยากกินอะไรไหม’
แต่ข้อความสั้นๆ ที่ปรากฏอยู่บนหน้าจอทำลายความหวังนั้นจนย่อยยับ
[กิตติ: เย็นนี้ไม่กลับกินข้าวนะ เพื่อนชวนไปดูงานที่ร้านล้างรถ]
ฉันจ้องมองตัวอักษรเ่าั้ นิ่งงันไปหลายวินาที ไม่มีคำลงท้าย ไม่มีอีโมจิแสดงอารมณ์ ไม่มีคำว่ารัก หรือแม้แต่คำว่าขอโทษ
นิ้วโป้งของฉันสั่นน้อยๆ ขณะพิมพ์ตอบกลับไปเพียงสั้นๆ
[อา: ค่ะ]
แค่นั้น... บทสนทนาของสามีภรรยาที่อยู่กินกันมาสิบปี จบลงที่คำว่า ‘ค่ะ’
“สามีทักมาเหรอครูอา” ครูเมย์ เพื่อนครูรุ่นน้องที่นั่งฝั่งตรงข้ามเอ่ยถาม พลางตักก๋วยเตี๋ยวเข้าปาก
“อืม... เขาบอกว่าติดงานน่ะ วันนี้คงกลับดึก” ฉันตอบเสียงเรียบ พยายามปั้นหน้าให้ดูปกติที่สุด
“ขยันจังเลยนะเนี่ยพี่กิตติ ่นี้เศรษฐกิจไม่ดี มีงานทำก็ดีแล้วเนอะครูอา” ครูเมย์พูดด้วยเจตนาดี
“จ้ะ... ก็ดีแหละ”
ฉันฝืนยิ้ม แต่ข้างในอกมันขมปร่า ขยันงั้นเหรอ? หรือจริงๆ แล้วเขาแค่หาข้ออ้างที่จะไม่อยู่บ้าน หาข้ออ้างที่จะไม่ต้องเผชิญหน้ากับความเงียบงันระหว่างเรา งานใหม่ เพื่อนใหม่ วงเหล้าใหม่ เขาพร้อมจะมีเวลาให้ทุกอย่างบนโลกใบนี้ ยกเว้นครอบครัว
“ดูนี่สิครูอา เพื่อนเมย์ลงรูปไปเที่ยวทะเลกับแฟน น่ารักมากเลย”
ครูเมย์ยื่นหน้าจอโทรศัพท์มาให้ดู ภาพในนั้นคือคู่รักวัยทำงาน ยืนกอดคอกันอยู่ริมทะเลพร้อมลูกตัวเล็กๆ รอยยิ้มของพวกเขาเจิดจ้าแข่งกับแสงแดด มันดูเป็ธรรมชาติ ดูมีความสุขจนทะลุจอออกมา
“น่าอิจฉาเนอะ” ครูเมย์พร่ำเพ้อ
ฉันมองภาพนั้น แล้วรู้สึกเหมือนมีก้อนแข็งๆ จุกอยู่ที่คอหอย
ถ้าฉันต้องยิ้มแบบนั้นในตอนนี้... ฉันจะทำได้ไหม? หรือรอยยิ้มของฉันมันตายไปพร้อมกับความรักที่ค่อยๆ จืดจางลงไปตั้งนานแล้ว
...
่บ่ายมีประชุมครูประจำสัปดาห์ หัวหน้ากลุ่มสาระกำลังฉายสไลด์แผนการสอนใหม่ขึ้นบนจอโปรเจกเตอร์ เสียงบรรยายโมโนโทนกล่อมให้บรรยากาศในห้องประชุมดูง่วงเหงาหาวนอน
ฉันนั่งหมุนปากกาในมือ สายตาเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่างกระจกใส
ที่สนามหญ้ากว้างหน้าอาคารเรียน แดดบ่ายเริ่มคล้อยต่ำลง ทอดเงาต้นไม้ใหญ่ให้ยาวพาดผ่านสนามเด็กเล่น
ที่ม้านั่งหินอ่อนใต้ต้นหูกวางต้นนั้น... ฉันเหมือนเห็นภาพหลอน
ภาพเด็กผู้หญิงผมสั้น กับเด็กผู้ชายตัวผอมๆ ผิวคล้ำแดด นั่งเอาหัวชนกันแบ่งขนมกิน เขาแย่งขนมในมือเธอ เธอตีแขนเขา แล้วเขาก็หัวเราะเสียงดังลั่น
“กินด้วยดิ ขี้งกว่ะอา”
“ไปซื้อเองสิยะ!”
เสียงในความทรงจำดังแว่วเข้ามาในหู ชัดเจนราวกับเปิดวิทยุ ฉันเผลอกระพริบตาถี่ๆ ภาพเ่าั้ก็เลือนหายไป เหลือเพียงม้านั่งว่างเปล่ากับใบไม้แห้งที่ปลิวว่อน
“ครูอาคะ... ครูอา ฟังอยู่หรือเปล่าคะ”
เสียงเรียกชื่อฉันดังขึ้น ฉันสะดุ้งสุดตัว หันกลับมามองในห้องประชุม ทุกสายตาจับจ้องมาที่ฉัน
“คะ... ค่ะ ฟังอยู่ค่ะ” ฉันตอบตะกุกตะกัก หน้าเริ่มร้อนผ่าว
“อาทิตย์หน้าครูอารับผิดชอบกิจกรรมหน้าเสาธงนะคะ อย่าลืมเตรียมนักเรียนด้วย”
“รับทราบค่ะ”
ฉันก้มหน้าจดบันทึกลงสมุด มือสั่นน้อยๆ ไม่ใช่เพราะตื่นเต้นกับงาน แต่เพราะใกับสิ่งที่ตัวเองเพิ่งเห็นและได้ยิน
ฉันเป็อะไรไป? ทำไมอดีตที่ผ่านไปยี่สิบกว่าปี ถึงตามมารังควานฉันถี่ขนาดนี้ในวันนี้ หรือเพราะปัจจุบันมันเ็ปเกินไป จนสมองต้องสร้างกลไกหนีกลับไปหาอดีตที่เคยมีความสุข?
...
เย็นวันนั้น ท้องฟ้าเป็สีเทาหม่นเหมือนฝนกำลังจะตก ฉันจูงมือมิกซ์เดินออกจากโรงเรียนมาขึ้นวินมอเตอร์ไซค์เหมือนเดิม
“แม่ วันนี้พ่อกลับกี่โมง” มิกซ์ถามคำถามเดิมซ้ำเป็รอบที่สาม
“พ่อทำงานลูก แม่บอกแล้วไง” ฉันตอบเสียงเริ่มห้วนขึ้นเล็กน้อยเพราะความเหนื่อยล้าสะสม ก่อนจะรีบปรับน้ำเสียงให้อ่อนลงเมื่อเห็นหน้าหงอยๆ ของลูก “เดี๋ยวพ่อก็มา วันนี้เรากินข้าวไข่เจียวกันสองคนแม่ลูกเนอะ”
รถมอเตอร์ไซค์แล่นฝ่าการจราจรที่ติดขัด ลมเย็นๆ ตีหน้าทำให้ฉันรู้สึกหนาวสะท้านเข้าไปถึงกระดูก
บ้านทาวน์โฮมของเรามืดสนิทเมื่อเราไปถึง ไม่มีไฟเปิดรอ ไม่มีรถจอดอยู่หน้าบ้าน ฉันไขกุญแจรั้ว เปิดประตูบ้านเข้าไปสู่ความว่างเปล่า
ฉันวางกระเป๋าลงบนโซฟา ทิ้งตัวลงนั่งอย่างหมดแรง ขณะที่มิกซ์วิ่งไปเปิดทีวีดูการ์ตูน
บ้านที่ไม่ใช่บ้าน... มันเป็แค่สิ่งก่อสร้างที่มีคนอาศัยอยู่ร่วมกัน แต่ไม่มีหัวใจเชื่อมถึงกันอีกแล้ว
ติ๊ง!
เสียงแจ้งเตือนจากโทรศัพท์มือถือดังขึ้นอีกครั้ง ฉันหยิบมันขึ้นมาดู หวังว่าจะเป็กิตติเปลี่ยนใจจะกลับมากินข้าว
แต่ไม่ใช่...
มันเป็การแจ้งเตือนจากเฟซบุ๊ก ข้อความสั้นๆ ที่เขียนว่า “คุณมีความทรงจำเมื่อ 20 ปีที่แล้ว”
ฉันขมวดคิ้ว 20 ปีที่แล้ว? ตอนนั้นยังไม่มีเฟซบุ๊กนี่นา แต่... อ๋อ น่าจะเป็รูปเก่าที่เพื่อนสมัยมัธยมเคยแท็กมาเมื่อหลายปีก่อน แล้วมันวนกลับมาครบรอบในวันนี้พอดี
นิ้วโป้งของฉันกดเข้าไปดูโดยไม่ได้คิดอะไร
ภาพที่ปรากฏขึ้นบนหน้าจอ คือภาพถ่ายหมู่สมัยมัธยมต้น เพื่อนฝูงหน้าตาละอ่อนยืนยิ้มแย้มกันเป็กลุ่ม แต่สายตาของฉันกลับไม่ได้มองเพื่อนคนไหนเลย
ฉันมองไปที่ คอมเมนต์ ใต้ภาพนั้น
คอมเมนต์เก่าเก็บจากใครบางคนที่ใช้ชื่อโปรไฟล์สั้นๆ แค่ตัวอักษรเดียวว่า "ม"
ข้อความนั้นเขียนไว้สั้นๆ เมื่อสิบกว่าปีก่อนว่า... “คิดถึงพวกแกว่ะ โดยเฉพาะไอ้คนกลางรูป”
คนกลางรูป... คือฉัน
หัวใจของฉันกระตุกวูบ ลมหายใจขาดห้วงไปชั่วขณะ ชื่อเฟซบุ๊กนั้นไม่มีรูปโปรไฟล์ เป็เพียงเงาสีเทาๆ แต่ฉันจำสำนวนการพูดนั้นได้แม่นยำ
มอส...
เขายังเฝ้ามองฉันอยู่เหรอ? หรือเขาแค่ผ่านมา? หรือนี่คือสัญญาณบางอย่างที่จักรวาลกำลังส่งมาให้ฉันในวันที่ฉันรู้สึกอ่อนแอที่สุด
นิ้วของฉันสั่นเทาขณะจ้องมองชื่อนั้น ความรู้สึกหลากหลายประเดประดังเข้ามา ทั้งความคิดถึง ความรู้สึกผิด และความสงสัย
ฉันตัดสินใจกดเข้าไปดูที่โปรไฟล์นั้น... หน้าต่างเด้งขึ้นมาฟ้องว่า "คุณไม่ได้เป็เพื่อนกับผู้ใช้นี้"
แน่นอนสิ... เราไม่ใช่เพื่อนกันมานานมากแล้ว
เราเป็ คนแปลกหน้า ที่มีความทรงจำร่วมกันมหาศาล
ฉันนั่งนิ่งอยู่ท่ามกลางแสงไฟสลัวของห้องรับแขก ปล่อยให้ความทรงจำไหลทะลักออกมาเหมือนเขื่อนแตก โดยไม่รู้เลยว่า... คืนนี้จะเป็จุดเริ่มต้นที่ทำให้ฉันได้กลับไปเจอกับเ้าของชื่อนั้นอีกครั้ง ในแบบที่ฉันเองก็คาดไม่ถึง
