เหยาเชียนเชียนแสร้งทำเป็ไม่ได้ยินน้ำเสียงขุ่นเคืองของเขา นางหยิบผ้าซึ่งปกป้องมาตลอดทางผืนนั้นออกมาจากอกเสื้อ และบรรจงปูลงในรังแมว
นั่นคือผ้าสีดำทั้งผืน บนผ้าปักเป็ลายอุ้งเท้าแมวอย่างประณีต มีทั้งใหญ่และเล็ก มองไปแล้วก็น่ารักไม่น้อย
เหยาเชียนเชียนคิดมาแล้ว แผนภาพนี้น่าจะเป็แบบที่ง่ายที่สุดและไม่เสียมารยาทมากนัก ลายที่ปักล้วนเป็ลายกลมๆ ไม่ต้องใช้งานฝีมือและทักษะที่ซับซ้อน สำหรับมือใหม่อย่างนางก็สามารถทำเสร็จได้ภายในเวลาไม่กี่วัน
“ท่านอ๋องโปรดทอดพระเนตร” นางยื่นส่งให้อย่างกระตือรือร้น “รอยอุ้งเท้านี้เหมือนกับของเสี่ยวไกวไกวไม่ผิดเพี้ยน แต่หม่อมฉันปรับให้ใหญ่ขึ้นมาเล็กน้อย ดูไปแล้วก็น่ารักมากใช่หรือไม่เพคะ”
พูดไร้สาระกันต่อหน้าต่อตา อุ้งเท้าแมวก็เหมือนกันหมดมิใช่หรือ จะมาบอกว่าเหมือนกับอุ้งเท้าของเขาไม่ผิดเพี้ยนได้อย่างไร เป่ยเหลียนโม่ยืนขึ้น เดินวนรอบรังแมวขนาดสูงเท่าครึ่งตัวคนรอบหนึ่ง สุดท้ายก็พูดทิ้งท้ายไว้เพียงว่า “ทำใหม่”
“ทำไมเล่าเพคะ!” เหยาเชียนเชียนโวยวาย แต่ก็ต้องหดคอลงเมื่อเห็นสายตาคมปลาบของเป่ยเหลียนโม่ นางพึมพำอย่างน้อยอกน้อยใจ รังแมวนี้นางทำอยู่นาน เสี่ยวไกวไกวยังไม่เคยได้เห็นเลยสักครั้ง
“สิ่งของพรรค์นี้ไม่คู่ควรให้เขาดูหรอก” เป่ยเหลียนโม่ได้ยินชื่อนั้นก็โกรธขึ้นมา “เปิ่นหวังบอกให้ทำใหม่”
ตุ่มเืบนมือยังไม่ทันหาย เหยาเชียนเชียนบีบนิ้วมือสองสามนิ้วด้วยท่าทางน้อยอกน้อยใจ นางเบะปาก นานครั้งที่นางจะกล้าโต้ตอบกลับไปอย่างแข็งกร้าว
“เหตุใดพระองค์ไม่เรียกเสี่ยวไกวไกวมาดูสักหน่อยเล่าเพคะ พระองค์ไม่โปรด แต่ไม่แน่ว่ามันอาจจะชอบก็ได้ พระองค์เป็เ้าของมัน ย่อมต้องรักและเอ็นดูมัน หากมันชอบ เช่นนั้นมันจะไม่พลาดรังนี้ไปโดยเสียเปล่าหรือ?”
เขาตัดสินใจแทนแมวไม่ได้หรือ?
เป่ยเหลียนโม่หรี่ตาลง ระยะนี้เขายอมนางมากแล้วจึงทำให้นางเข้าใจผิดไปมาก กล้าชี้ไม้ชี้มือบงการคำพูดของเขา หากเขาบอกว่าไม่ได้ก็คือไม่ได้
“ทำชิ้นใหม่มา จนกว่าเปิ่นหวังจะพอใจ มิเช่นนั้นเ้าก็นอนที่นี่เสีย”
เขาทิ้งท้ายไว้เพียงเท่านั้นก่อนจะจากไป เหยาเชียนเชียนมองแผ่นหลังของเขาเดินออกไปไกลด้วยความขุ่นเคือง นางเดินวนอยู่ที่เดิมอย่างโกรธเคือง
รังแมวที่ทำมาไม่ผ่าน ดึกมากแล้วข้างกายนางก็ไม่มีผู้คุ้มครองที่เก่งกาจคอยปกป้อง เช่นนั้นแล้วนางจะหลับลงได้อย่างไร!
“รังแกกันเกินไปแล้ว อย่าหาว่าข้ามีปัญหากับท่านแล้วกัน”
นางจ้องรังแมวอยู่หนึ่งนาทีเต็ม ตัดสินใจตรงเข้าไปจับมุมหนึ่งไว้ และลากมันไปยังเรือนของเป่ยเหลียนโม่อย่างฉุนเฉียว
“นอนก็นอน ข้าไม่เชื่อหรอกว่าเสี่ยวไกวไกวจะไม่ชอบ ข้าจะรอมันกลับมาอยู่ที่นี่แหละ”
รังแมวชิ้นนี้สูงขนาดครึ่งตัวคน รูปทรงคล้ายกับกระโจม
คราแรกนางทำเพื่อพิสูจน์ว่าตนไม่ได้เล่นแง่ เหยาเชียนเชียนยัดปุยฝ้ายจำนวนมากเข้าไปข้างใน และนำผ้าปักลายอุ้งเท้าแมวมาห่อไว้ ดังนั้นเมื่อนางมุดเข้าไปข้างใน แม้จะเล็กไปบ้าง แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะนอนไม่ได้เลย
องครักษ์เฝ้าประตูเบิกตากว้างอ้าปากค้าง มองดูหวังเฟยของเขาลากสิ่งนั้นมาวางไว้หน้าประตู จากนั้นก็มุดตัวเข้าไปนอนโดยไม่พูดไม่จา
ครั้งนี้ทะเลาะอะไรกันอีก เหตุใดหวังเฟยของพวกเขาผู้นี้จึงไม่เหมือนผู้อื่นเอาเสียเลย?
เมื่อได้ฟังรายงานขององครักษ์ เป่ยเหลียนโม่ก็แค่นหัวเราะด้วยความโกรธ
“นางอยากนอนก็ปล่อยให้นางนอน ไปจัดการเรือนเดิมให้ว่าง และเปลี่ยนให้เป็เพิงไม้และสวนผักเสีย”
ถ้าพูดเื่ความสามารถในการยั่วโมโห เหยาเชียนเชียนคิดว่าอย่างพวกเขาสามารถเรียกได้ว่าทัดเทียมกัน
วันต่อมาอาเหยียนน้อยมาเข้าเฝ้าผู้เป็พ่อ เขาเห็นรังแมวอันคุ้นตามาั้แ่ไกล จึงเดินเข้าไปใกล้ด้วยความสงสัย แต่กลับต้องใเมื่อเห็นท่านแม่ของตนนอนอยู่ในนั้น
“ท่านแม่ ท่านแม่” เขามุดเข้าไปครึ่งตัว “ท่านแม่ตื่นขอรับ”
เหยาเชียนเชียนปวดเอวและหลังจากการนอนครั้งนี้ รังแมวนี้เล็กเกินไปจริงๆ นางต้องขดตัวอยู่ข้างในและนอนตะแคงไม่สามารถพลิกตัวได้ นอกจากนั้นคือนางนำผ้าห่มมาด้วยไม่เยอะ ทำให้ทั้งเอวและหลังแข็งมาก
“อาเหยียน” หญิงสาวขยี้ตาเบาๆ พลางลุกขึ้นนั่งและค่อยๆ ปีนออกไป “เ้ามาได้อย่างไร?”
“อาเหยียนมาเข้าเฝ้าท่านพ่อ” เขาเม้มปากเล็กน้อย “เหตุใดท่านแม่ถึงมานอนอยู่ในนี้ได้หรือขอรับ?”
นั่นเพราะพ่อของเ้าทำร้ายข้า เหยาเชียนเชียนแอบแขวะในใจ ทว่าภายนอกนางกลับกล่าวด้วยใบหน้าประดับรอยยิ้ม “รังแมวทำเสร็จแล้ว ข้าเกรงว่าจะมีจุดบกพร่องตรงที่ใด ดังนั้นจึงทดลองนอนดูสักหน่อย”
อาเหยียนน้อยขมวดคิ้วมองนาง “ท่านแม่โกหก”
ดูจากใบหน้าของผู้เป็แม่ก็รู้ว่านอนไม่สบาย ยิ่งไปกว่านั้น รังของเสี่ยวไกวไกวนี้ ไหนเลยจะจำเป็ให้ท่านแม่ต้องมาทดลอง เขาจับเหยาเชียนเชียนไว้อย่างลังเล
“ท่านแม่ ท่านทะเลาะกับท่านพ่อหรือ?”
พ่อแม่ทะเลาะกันอาจจะกระทบความรู้สึกของลูกโดยตรง นำมาซึ่งผลกระทบด้านลบที่ไม่อาจประเมินได้ ดังนั้นเหยาเชียนเชียนจึงส่ายหน้าอย่างไม่ลังเล พลางกล่าวอย่างหนักแน่นและจริงจังว่า “แม่กับท่านพ่อจะไม่ทะเลาะกันเด็ดขาด อาเหยียนวางใจเถิด”
นั่นเพราะนางไม่กล้าทะเลาะกับเขาอยู่แล้ว...
ครั้งนี้ไร้ซึ่งวี่แววโกหก อาเหยียนน้อยจึงค่อยๆ วางใจ เขาจูงนางเข้าไปข้างในห้อง ในเมื่อเป็เช่นนี้ก็ไปเข้าเฝ้าท่านพ่อด้วยกัน ท่านพ่อต้องดีใจมากแน่ๆ
“ซื่อจื่อ ท่านอ๋องตรัสว่าวันนี้ไม่้าพบหวังเฟยพ่ะย่ะค่ะ” องครักษ์เฝ้าประตูกล่าว
อาเหยียนชะงักเล็กน้อย “เช่นนั้นพรุ่งนี้อาเหยียนกับท่านแม่จะมาอีกครั้ง”
“พรุ่งนี้ก็ไม่พบพ่ะย่ะค่ะ” องครักษ์กัดฟันกล่าวเสริม
เหยาเชียนเชียนกลอกตา ชิงผิงอ๋องตั้งใจถ่วงนางอย่างเห็นได้ชัด เขาอยากรอดูว่านางจะอดทนได้นานเท่าไร ดูท่าว่าครั้งนี้คงทำให้เขาผิดหวังแล้ว
นางเคยประทังชีวิตด้วยบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปอยู่ครึ่งปี นางอดทนได้ดีมาก!
“ท่านแม่” ไม่นานนักดวงตาของอาเหยียนก็มีน้ำตาคลอ เขาหมุนตัวกลับมาโถมเข้าใส่อ้อมกอดของนาง “ท่านพ่อนิสัยไม่ดี ท่านพ่อรังแกท่านแม่”
“ไม่ใช่นะ อาเหยียนเด็กดี ไม่ร้องนะ” เหยาเชียนเชียนรีบร้อนอุ้มเขาขึ้นมา นางไม่ได้ฟ้องเด็ก คำนี้อย่าให้ชิงผิงอ๋องได้ยินเข้าเชียว
เนื่องจากเป่ยเหลียนโม่ปฏิเสธไม่ให้เข้าพบ อาเหยียนน้อยจึงอยู่หน้าประตู ในเมื่อไม่ให้เข้าก็จะไม่ไปที่ใด ไม่ว่าเหยาเชียนเชียนจะปลอบอย่างไรก็ไม่เกิดประโยชน์ อาเหยียนน้อยยืนกรานว่าเขารังแกท่านแม่ของตน
หยาดน้ำตาแห่งความน้อยใจไหลริน เหยาเชียนเชียนเดินไปเดินมาอยู่ข้างๆ อย่างร้อนใจ พลางเช็ดน้ำตาให้เด็กน้อยราวกับกำลังจับถั่วทองคำ
“อาเหยียนเด็กดี แม่แค่หยอกล้อกับท่านพ่อเท่านั้นเอง”
“แม่อยากอยู่ที่นี่เอง เ้าดูสิ แม่เหมาะกับรังเล็กๆ นี่มากเลยใช่หรือไม่?”
“ไม่ร้องแล้วนะลูก เราไปเล่นที่อื่นกันดีหรือไม่ ตอนเย็นๆ ค่อยมาหาท่านพ่ออีกรอบ”
อาเหยียนน้อยส่ายหน้า เขาปาดน้ำตาป้อยๆ และพูดว่า “ไม่ต้องไปแล้ว ท่านพ่อมาแล้ว”
ประตูห้องถูกเปิดออกดัง ‘เอี๊ยด’ เหยาเชียนเชียนตัวแข็งทื่อ นางรู้สึกเพียงไอสังหารสายหนึ่งแล่นไล่ขึ้นมาั้แ่กระดูกสันหลัง ลามไปถึงมือเท้าทั้งสี่และกระดูกทั้งหมด กระทั่งปลายนิ้วก็เย็นไปด้วย
“อาเหยียน มาหาพ่อ”
เป่ยเหลียนโม่ยืนอยู่ตรงประตูพลางยื่นสองแขนมาทางเขา อาเหยียนน้อยก้าวสองก้าวไปเบียดอยู่กับอ้อมแขนของเหยาเชียนเชียน เขามองไปทางเป่ยเหลียนโม่พลางกะพริบตาปริบๆ แสดงท่าทางปฏิเสธชัดเจน
อยู่ด้วยกันเพียง่เวลาสั้นๆ ก็สามารถทำให้ลูกที่เขาเลี้ยงไว้ข้างกายมาหลายปีเอนเอียงไปทางนางได้ เป่ยเหลียนโม่มองเหยาเชียนเชียนด้วยสายตาซับซ้อนและกล่าวเสียงเย็นว่า “เข้ามาสิ”
ในคืนอภิเษกสมรส นางพยายามคร่าชีวิตอาเหยียนอย่างโเี้ หากไม่ใช่เพราะเขาไปพบได้ทันเวลา เกรงว่าอาจเป็สถานการณ์ที่ไม่สามารถย้อนกลับไปได้
ทว่ายามนี้ทัศนคติของนางที่มีต่ออาเหยียนเรียกได้ว่าพลิกฟ้าพลิกแผ่นดิน ั้แ่นางเผยความอ่อนโยนและความเมตตาออกมาโดยไม่ได้ตั้งใจ เขาก็พลอยเชื่อไปถึงสามส่วนด้วยเช่นกัน
เป่ยเหลียนโม่หมุนกายกลับเข้าไปในห้อง ข้างหลังมีผู้ใหญ่หนึ่งเด็กหนึ่งตามมาด้วย เหยาเชียนเชียนอุ้มอาเหยียนไว้แน่นตลอดทาง ท่าทางห่วงใยของนางทำให้เหล่าข้าหลวงต่างก็พากันกล่าวอย่างซึ้งใจว่า ในที่สุดหวังเฟยก็คิดได้และเลิกทำเื่โง่เขลาเสียที
“อาเหยียนมานี่” เป่ยเหลียนโม่นั่งลงและยื่นมือออกไปหาเด็กน้อยอีกครั้ง “ทำไมเล่า ไม่อยากยุ่งกับพ่อแล้วจริงๆ หรือ?”
เหยาเชียนเชียนลูบศีรษะเล็กของเด็กน้อยเบาๆ บอกเป็นัยให้เขาเข้าไป
“เหตุใดท่านพ่อต้องรังแกท่านแม่ด้วย” อาเหยียนน้อยเข้าไปบ่นแทนนาง “ท่านแม่ร่างกายอ่อนแอ จะให้นอนค้างคืนกลางแจ้งกลางสวนได้อย่างไร?”
นางอ่อนแอเสียจนสามารถใช้มือข้างเดียวบีบคอเ้าตายได้เลยเชียว เป่ยเหลียนโม่ตบไหล่อาเหยียนน้อยเบาๆ สตรีผู้นี้ต้องป้องกันตัวเอง เพียงแต่ยามนี้อาเหยียนเชื่อใจนางมาก เขาต้องละมุนละม่อมหน่อยจึงจะถูก
“เมื่อวานพ่อกับท่านแม่หยอกล้อกันเล่น วันนี้ท่านแม่ก็จะย้ายกลับเรือนของตนแล้ว ถ้าอาเหยียนโกรธพ่อ เช่นนั้นพ่อก็จะน้อยใจบ้าง”
“ใช่แล้ว เป็แค่การหยอกล้อกันเท่านั้นจริงๆ แม่สบายดี” เหยาเชียนเชียนเสริมขึ้นมาได้จังหวะพอดี
ในเมื่อทั้งคู่พูดเช่นนี้ อาเหยียนน้อยก็จำต้องพยักหน้ารับ ก่อนจะถูกเป่ยเหลียนโม่ยัดหนังสือกองหนึ่งให้แล้วส่งออกไป
ในห้องเหลือเพียงพวกเขาสองคน เหยาเชียนเชียนกลืนน้ำลายอึกหนึ่ง นางมีลางสังหรณ์ว่าอีกฝ่ายกำลังจะคิดบัญชีกับตน
“หวังเฟยวางแผนมาดีเหลือเกิน ขอให้อาเหยียนพูดถึงเ้าในแง่ดีโดยไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น ยามนี้ในใจของอาเหยียน เปิ่นหวังคงเทียบไม่ได้กับแม่คนใหม่เช่นเ้ากระมัง?”
เหยาเชียนเชียนใจเต้นตึกตัก นางพยายามจะยืนขึ้นเพื่ออธิบายตัวเองสักเล็กน้อย แต่ขากลับอ่อนแรงอย่างไม่ได้เื่
นางจับราวด้วยมือที่สั่นเทิ้มพลางมองไปทางเป่ยเหลียนโม่ ั์ตาสีดำสนิทคู่นั้นไม่ปรากฏอารมณ์ใดๆ ทว่าเหยาเชียนเชียนรู้ อีกฝ่ายเกิดความเคลือบแคลงใจในตัวนางไปแล้ว
ในคืนอภิเษกสมรสเ้าของร่างเดิมพยายามลงมือฆ่าอาเหยียน เป่ยเหลียนโม่ก็ควรจะจับตามองนางอยู่ตลอด เป็การป้องกันไว้ในกรณีที่นางยังมีแผนการอื่น
ทว่ายามนี้นางดีต่ออาเหยียนมาก แม้นางจะรู้แก่ใจว่านางรักเด็กคนนี้จริงๆ แต่ในสายตาของเป่ยเหลียนโม่กลับถูกเขาเข้าใจว่าเป็การเสแสร้งแกล้งทำ
“ท่านอ๋อง อาเหยียนฉลาดและรู้ความ เขารู้ว่าหม่อมฉันรักเขาด้วยใจจริง และหม่อมฉันก็รู้ว่าท่านอ๋องกังวลในตัวหม่อมฉัน แต่เมื่อเวลาผ่านไป หม่อมฉันเชื่อว่าท่านอ๋องจะััได้ถึงความจริงใจของหม่อมฉัน หากยามนี้พระองค์จะเข้าพระทัยหม่อมฉันผิด หม่อมฉันก็เข้าใจและไม่คิดถือสาพระองค์เพคะ”
เ้าไม่มีสิทธิ์ถือสาอยู่แล้ว เป่ยเหลียนโม่กวาดสายตามองนางเล็กน้อย
“ของทิ้งไว้ที่นี่ คืนนี้ก็ไสหัวกลับไปที่เรือนของเ้าได้แล้ว”
เรือนของข้าถูกแปลงเป็เพิงไม้ไปแล้วมิใช่หรือ นางแอบแขวะในใจ
แต่คิดไปคิดมา เหยาเชียนเชียนกลับไม่ได้ยินความไม่พอใจในน้ำเสียงของเขาเลย ดังนั้นจึงได้คืบจะเอาศอก นางยื่นใบหน้าเข้าไป
“ท่านอ๋อง เช่นนั้นให้เสี่ยวไกวไกวมาลองนอนในรังนี้ได้หรือไม่เพคะ?”
เป่ยเหลียนโม่หักพู่กันด้วยมือข้างเดียว และทอดสายตามองไปที่นางอย่างเยือกเย็น “เ้าว่าอย่างไรนะ?”
“ไม่ต้องแล้วเพคะ ไม่ต้องแล้ว” เหยาเชียนเชียนโบกมือรัว และก้าวถอยไปข้างประตูอย่างรวดเร็ว “รอมีโอกาสค่อยเรียกมันมาลองก็ได้เพคะ หม่อมฉันทูลลา”
เป่ยเหลียนโม่หัวเราะเสียงต่ำ “ช้าก่อน เ้าไม่อยากรู้แล้วหรือว่าผู้ใดส่งนักฆ่ามา”
ร่างของเหยาเชียนเชียนชะงัก นางหันกลับไปด้วยความสงสัย
“วันนั้นท่านอ๋องตรัสว่า ถ้ารู้แล้วว่าผู้ใดบงการอยู่เื้ั เช่นนั้นก็จะสะดวกต่อการยุติเื่นี้”เป่ยเหลียนโม่เดินมาอยู่ข้างๆ และใช้มือข้างหนึ่งโอบไหล่นางไว้หลวมๆ
“ยามที่เปิ่นหวังได้รับข่าวนี้ ก็คิดว่าที่หวังเฟยพูดนั้นจริงอย่างยิ่ง คนผู้นั้นคงจะมีเพียงหวังเฟยที่ใกล้ชิดด้วยมากที่สุด”
คนใกล้ชิด...
ดวงตาของเหยาเชียนเชียนเต็มไปด้วยน้ำค้างแข็ง
