13
จนกระทั่งถึงตอนที่ทั้งสองจะต้องเข้านอนกันแล้ว ทั้งเจแปนและบัวก็ยังไม่มีใครสามารถตอบได้เลยว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อตอนหัวค่ำมันคืออะไรกันแน่
แล้วใครกันที่นึกพิเรนทร์มาเคาะประตูห้องของพวกเขา
เมื่อต่างฝ่ายต่างไม่สามารถอธิบายได้ว่าเหตุการณ์ตอนค่ำมันคืออะไร นั่นจึงทำให้ทั้งสองต่างเห็นพ้องตรงกันว่าควรจะทำเป็เมินเฉยและไม่ต้องไปให้ค่ามันอีก
โดยหลังจากที่คิดได้เช่นนั้นเจแปนกับบัวก็กลับมาสนทนากันแบบปกติอีกครั้ง เริ่มพูดคุยเื่ต่าง ๆ ต่อ ซึ่งเื่ส่วนใหญ่ที่ทั้งสองพูดคุยกันจนถึงตอนใกล้เข้านอน มันก็หนีไม่พ้นเื่เรียน
“ตอนนี้กูต้องเริ่มเคลียร์งานแล้ว ขอให้ทำเสร็จสักงานก่อนก็ยังดี เพราะเดี๋ยวเดือนหน้าก็จะเริ่มสอบกันแล้วอ่ะ” ขณะที่กำลังนอนอยู่บนเตียงเดียวกัน บัวที่กำลังเลื่อนหน้าจอโทรศัพท์พร้อมคุยกับเจแปนไปด้วยก็พูดขึ้น
“กูก็ว่างั้นแหละ ต้องทำให้เสร็จสักชิ้นก่อน เพราะอาจารย์แต่ละคนสั่งชิ้นใหญ่มาก ทำวันเดียวไม่มีทางเสร็จแน่นอน” เจแปนที่เอาแต่นอนมองเพดานห้องของเพื่อนตอบกลับไป ซึ่งเขาก็คิดเอาไว้ว่าจะเริ่มทำงานที่คิดว่าง่ายที่สุดก่อน อันไหนที่เจแปนมองเห็นถึงปัญหาเขาก็อาจจะทำทีหลัง เพื่อไม่ให้เป็การเสียเวลา
“แล้วมึงจะเริ่มงานชิ้นไหนก่อน” บัวถาม
“ก็คงเป็งานเขียนบทแหละมั้ง มันดูน่าจะง่ายกว่างานทำหนังสือนะ”
“แล้วเื่ข้อมูลของดอพเพลแกงเกอร์ล่ะ มึงจะไปหาเพิ่มจากที่ไหน”?
“ไม่รู้ว่ะ อาจจะเอามาจากเว็บต่างประเทศแหละ ไม่ก็ต้องไปหาหนังสือของเมืองนอกมาอ่าน แต่กูก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะมีคนเก็บข้อมูลตำนานเื่นี้เอามาทำเป็หนังสือหรือเปล่า”
“เฮ้อ เอาจริงนะ ตำนานนี้มันน่าสนใจและไม่ซ้ำใครแน่นอน กูว่ายังไงอาจารย์เขาก็ต้องชอบ แต่ว่าข้อมูลมันหายากนะมึง” บัวเอ่ยพลางถอนหายใจออกมาอย่างแรง คล้ายกับเหนื่อยแทนเจแปน
“ก็คงต้องลองดูก่อนแหละ ถ้ากูพยายามแล้วแต่มันยังเกินความสามารถของกูอยู่ กูก็คงต้องยอมแพ้แล้วหาตำนานอื่นมาเขียนแทน” เจแปนตอบเพื่อนอย่างดื้อรั้น
เหตุผลที่ทำให้เขาตัดสินใจจะเอาตำนานนี้มาเขียนเป็บทหนังส่งอาจารย์ นั่นก็เพราะเวลานี้เจแปนรู้สึกว่ามันเป็เื่ใกล้ตัว แถมการที่เจแปนได้ไปหาข้อมูลเื่นี้มา นอกจากมันจะทำให้เขามีงานไปส่งอาจารย์แล้ว มันก็อาจทำให้เขาสามารถรับมือกับร่างดอพเพลแกงเกอร์ของคนรักได้ดีอีกด้วย
อย่างน้อยมันก็น่าจะดีกว่าตอนนี้ที่เจแปนไม่รู้อะไรที่เกี่ยวกับร่างดอพเพลแกงเกอร์เลย
่ดึกของวัน...
ขณะที่ความเงียบและความมืดเข้าปกคลุมห้องนอนของบัว เจแปนก็เอาแต่นอนพลิกตัวไปมา เนื่องจากตอนนี้เขากำลังประสบปัญหานอนไม่หลับ ซึ่งก็อาจเป็เพราะเจแปนยังไม่คุ้นชินกับสถานที่ก็ได้ มันจึงเกิดอาการทำนองนี้ขึ้น
“หลับสักทีเถอะ!” ระหว่างที่กำลังหลับตาเพื่อบังคับให้ตัวเองเข้าสู่ห้วงนิทรา เขาก็มีการพูดกับตัวเองทั้งคิ้วขมวด เมื่อจู่ ๆ เจแปนก็เกิดหงุดหงิดตัวเองขึ้นมา เพียงเพราะทุกอย่างมันไม่เป็ไปตามที่เขา้า
เขามีการนอนพลิกตัวไปมาแบบนั้นอยู่สองสามหน จนกระทั่งเจแปนได้ท่านอนที่คิดว่าสบายตัว จากนั้นทุกอย่างภายในห้องก็กลับมาอยู่ในความสงบอีกครั้ง พร้อมกับเจแปนที่ค่อย ๆ ผล็อยหลับไปในที่สุด เพื่อที่เขาจะได้ไปพบเจอกับฝันร้ายที่เขาไม่อยากพบพาน
“นี่แปนนอกใจเราเหรอ”
“...”
“ทำไมกล้าทำแบบนี้ได้วะ! ระหว่างเรามันไม่มีความหมายเลยใช่ไหม”
“พอร์ตช่วยฟังเราก่อนนะ เราไม่ได้ตั้งใจ”
“ไม่ได้ตั้งใจงั้นเหรอ? ตลกว่ะ...ไม่มีเหตุผลอื่นที่มันดีกว่านี้แล้วหรือไง” ภายในคอนโดของเจแปน เสียงสนทนาระหว่างเ้าของห้องและแฟนหนุ่มก็ดังขึ้นอยู่เป็ระยะ เมื่อทั้งสองกำลังทะเลาะกัน เพราะความจงใจของบุคคลที่สามที่พยายามจะทำให้เกิดความเข้าใจผิดและคิดจะแทรกเข้ามาในความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขา
แถมบุคคลที่ว่านั้นก็ทำสำเร็จแล้วด้วย เนื่องจากตอนนี้เจแปนกับคนรักเริ่มมีปัญหากันแล้วจริง ๆ
“เราคบกันมาตั้งหลายปี มันไม่มีความหมายเลยใช่ไหม?” พอร์ตถามต่อทั้งใบหน้าถมึงทึง ซึ่งเวลานี้เจแปนก็รู้สึกกลัวคนรักของตัวเองมาก เพราะเขาไม่เคยเห็นอีกฝ่ายมีท่าทีโมโหเท่านี้มาก่อน
“...”
“ถามก็ตอบดิวะ!”
“มีสิ ถ้ามันไม่มีความหมายกับเรา แล้วเราจะอดทนคบกับพอร์ตมานานถึงขนาดนี้เหรอ” เจแปนสวนกลับไป
“หมายความว่าไงนะ?” พอร์ตถามกลับมาเหมือนไม่อยากจะเชื่อหู และทันใดนั้นประตูห้องของพวกเขาก็ถูกเปิดเข้ามาจากบุคคลภายนอกโดยไม่ได้รับอนุญาต
“นี่ใคร?” พอร์ตที่ตั้งสติได้ก่อนถามเจแปนทั้งคิ้วขมวด
“...พัตเตอร์”
“พัตเตอร์งั้นเหรอ” คนรักของเจแปนทวนคำพูดนั้น แล้วนิ่งไปครู่หนึ่งคล้ายกำลังคิดอะไรบางอย่าง ก่อนที่ต่อมาเ้าตัวจะพูดขึ้นอีกครั้ง หลังนึกอะไรออกแล้ว “นี่น่ะเหรอ ชู้ของแปนที่แปนเคยเผลอพูดชื่อมันออกมา ตอนที่อยู่กับเรา”
“...”
“คนนี้สินะ” พอร์ตเอ่ยพร้อมสูดลมหายใจเข้าปอดไปหนึ่งหน หลังจากนั้นอีกฝ่ายก็หันไปมองพัตเตอร์ที่กำลังยืนยิ้มเหมือนคนที่ไม่ได้รู้สึกผิดอะไร
“เดี๋ยวนะ...ทำไมมันถึงหน้าตาเหมือนเราแบบนี้ล่ะ” พอร์ตที่เพิ่งได้เห็นใบหน้าของพัตเตอร์อย่างชัด ๆ พูดขึ้นเสียงงง พร้อมจ้องร่างดอพเพลแกงเกอร์ของตัวเองตาไม่กะพริบ เมื่อเ้าตัวกำลังใจนถึงขีดสุด
“ก็เพราะกูคือมึงยังไงล่ะ” สิ้นเสียงของพัตเตอร์ อีกฝ่ายก็เอาของมีคมบางอย่างที่พกติดมือมาด้วยแทงเข้าไปที่ช่องท้องของพอร์ตอย่างแรง ท่ามกลางเสียงร้องใของเจแปนเพราะไม่คิดว่าจะเกิดเหตุการณ์อุกอาจเช่นนี้ขึ้น
เฮือก!
“น—นี่เราฝันไปเหรอวะ” หลังลืมตาขึ้นมาอีกครั้งและเห็นเพดานสีดำสนิทเป็อย่างแรก เจแปนที่เพิ่งสะดุ้งตื่นจากความฝันก็นอนนิ่งเพื่อรวบรวมสติอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่ต่อมาเขาจะมีการสูดลมหายใจเข้าเต็มปอด เนื่องจากเขารู้ตัวแล้วว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อครู่นี้ มันก็เป็แค่ความฝันเท่านั้น
ความฝันที่จะไม่มีทางเกิดขึ้นจริงเด็ดขาด เพราะเจแปนจะไม่ยอมให้มันเป็เช่นนั้น
“แม่ง...ชักจะไม่ไหวแล้วนะ” เขาพูดกับตัวเองต่อ พลางหันหน้าไปมองบัวที่นอนอยู่ข้างกัน ซึ่งพอเขาเห็นว่าเพื่อนสนิทยังคงนอนผ่อนลมหายใจเข้าออกอย่างสม่ำเสมอ เจแปนก็รู้สึกสงบขึ้นมาอีกครั้ง
ทุกอย่างที่อยู่รอบตัวเขามันยังคงปกติดี มีเพียงแค่เื่ราวเหนือธรรมชาติบางอย่างเท่านั้นที่กำลังรบกวนจิตใจของเขาอยู่ โดยทางออกเดียวที่เจแปนพอจะคิดได้ คือเขาต้องหาวิธีการมากำจัดร่างดอพเพลแกงเกอร์ของคนรักให้เร็วที่สุด เพื่อที่เขาจะได้ความสงบสุขกลับคืนมาอีกครั้ง
เอาเข้าจริง... เจแปนยอมทะเลาะกับพอร์ตเป็พันครั้ง ดีกว่าที่เขาต้องมาเจอเหตุการณ์เหนือธรรมชาติแบบนี้ยังดีซะกว่า เจแปนคิดอย่างนั้นจริง ๆ
“แล้วตอนนี้ตีไหนแล้ววะ” เขาพูดต่อพร้อมหยิบโทรศัพท์ที่วางเอาไว้ข้างหมอนขึ้นมาดูเวลา ซึ่งตอนนี้มันก็เป็เวลาตีสามเท่านั้น และนั่นก็หมายความว่าเจแปนเพิ่งจะได้นอนไปแค่สามชั่วโมงเอง หากนับจากเที่ยงคืนที่เขาเผลอหลับไป
“แล้วจะนอนต่อได้ไหมเนี่ย ยิ่งไม่ค่อยคุ้นที่อยู่ด้วย หลับก็ยาก” เขาว่าเสียงแ่ โดยในจังหวะที่เจแปนกำลังจะข่มตาหลับอีกครั้ง สายตาของเขาก็ดันเหลือบไปเห็นร่างหนึ่งกำลังยืนจ้องกันอยู่ที่หน้าโทรทัศน์ตรงปลายเตียงพอดี
พอเห็นเช่นนั้น เจแปนก็ถึงกับหยุดหายใจกะทันหัน ทุกอย่างกลับมาสงบนิ่งแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย ทว่าท่ามกลางความเงียบเขากลับพยายามจะเพ่งมองร่างนั้น เพราะเจแปนอยากรู้ว่าเป็ใคร แต่เนื่องจากห้องนอนของบัวมันแทบจะไม่มีแสงเข้าเลย นั่นจึงทำให้เจแปนไม่สามารถเพ่งมองขนาดนั้นได้
แล้วเพราะเจแปนมองไม่เห็นอะไรทั้งนั้น นอกจากเงาของคนที่ยืนอยู่ปลายเตียง เวลาต่อมาเขาจึงตัดสินใจค่อย ๆ ปิดเปลือกตาลงอย่างช้า ๆ ทำเสมือนว่าเขาไม่เห็นอะไรทั้งนั้น และไม่รับรู้ถึงการมีอยู่ของบางสิ่งบางอย่าง
เช้าวันต่อมา
“เมื่อคืนนี้มึงก็เข้านอนเวลาไล่เลี่ยกันกับกูนี่ แต่ทำไมหน้าตามึงถึงดูอิดโรยจังวะ”
“ไม่รู้สิ อาจเพราะเมื่อคืนนี้กูเจออะไรบางอย่างแหละมั้ง” เจแปนตอบเพื่อน พร้อมถามต่อในเื่ที่เขากำลังคาใจอยู่ “เออ.. บัวกูขอถามอะไรหน่อยสิ ที่ห้องมึงมีผีปะ”
“ฮะ? ถามบ้าอะไรเนี่ย หอที่กูอยู่มันเป็หอพักใหม่เพิ่งเปิดมาได้ไม่ถึงห้าปีเองนะ”
“ใหม่เก่าไม่เกี่ยว แต่กูอยากรู้ว่าหอมึงมีผีไหม?” เจแปนถามย้ำอีกรอบ
“ตอนนี้กูอยู่มาจะเข้าปีที่สามอยู่แล้ว กูก็ยังไม่เคยเจอเลยนะ... ไม่เคยมีเหตุการณ์แปลก ๆ เกิดขึ้นกับกูเลย” บัวตอบกลับมาด้วยท่าทีซื่อตรง โดยนั่นก็ทำให้คนที่คอยคำตอบนิ่งไปครู่หนึ่ง เพราะกำลังคิดอะไรบางอย่าง
“แล้วนี่มึงถามทำไมอ่ะ? เมื่อคืนนี้มึงเจอเหรอ” เธอถามเสียงเครียด
“เปล่าหรอก ที่กูถามก็เพราะอยากรู้เฉย ๆ” เจแปนบอกพลางส่ายหน้าปฏิเสธกลับไป เนื่องจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อตอนตีสาม เขายังไม่สามารถตอบตัวเองได้เลยว่าสิ่งที่เห็นนั้น มันคืออะไรกันแน่ มันอยู่ในหอพักของบัวอยู่แล้วหรือว่าตามเจแปนมา เขาก็ยังตอบกับตัวเองไม่ได้เลย
“แล้วเื่เสียงเคาะห้องตอนเย็นอ่ะ มึงคิดว่าใครวะ” ในจังหวะที่เจแปนกำลังจะโยนเื่ราวทุกอย่างออกจากหัว บัวก็เป็ฝ่ายถามกันบ้าง
“ไม่รู้สิ”
“...”
“เขาคงเคาะห้องผิดแหละมั้ง พอรู้ตัวก็เลยรีบเดินหนี” เขาทำทีคาดเดากลับไป ทั้งที่เหตุการณ์เมื่อตอนเย็นตัวของเจแปนเองก็รู้อยู่เต็มอกว่าคงไม่ใช่คนเคาะห้องผิดแน่ แต่อาจจะเป็บางอย่างที่พยายามก่อกวนเขาต่างหาก
บางทีเจแปนก็คิดว่าเขาไม่ควรจะหนีปัญหาเช่นนี้ เพราะไม่ว่ายังไงเขาก็ไม่สามารถหนีมันได้ตลอดไปอยู่แล้ว...
ระหว่างที่กำลังเลกเชอร์ตามคำพูดของอาจารย์ด้วยอาการเบื่อหน่าย เจแปนก็มีการถอนหายใจออกมาเล็กน้อยพร้อมคิดไปด้วยว่าเขาควรจะจัดการกับชีวิตของตัวเองยังไงดี ควรจะทำแบบไหนเขาถึงจะหลุดพ้นจากเื่บ้า ๆ นี้เสียที
“มึงง่วงเหรอ? ทำไมดูอึนขนาดนั้นอ่ะ” อรที่กำลังนั่งเลกเชอร์อยู่ข้างกันถามขึ้น
“คงงั้นมั้ง” เจแปนตอบกลับแบบขอไปที
“งั้นมึงกินมะม่วงปะ?” เธอถามต่อ โดยคำพูดของเธอมันก็สามารถดึงความสนใจจากเจแปนได้ จนทำให้เขาต้องหันไปมองแล้วถาม
“มึงจะพากูลงไปซื้อเหรอ” เขาเอ่ย ซึ่งร้านขายผลไม้สดมันก็ตั้งขายอยู่ที่หน้าตึกคณะ
“เปล่า แต่กูซื้อขึ้นมาแล้วเนี่ย” อรบอกกลับมาเสียงแ่ ตั้งใจจะให้ได้ยินกันแค่สองคนเท่านั้น
“เฮ้อ แอบกินของในห้องนี้อีกแล้วนะอร เดี๋ยวก็ถูกอาจารย์จับได้หรอก” พูดจบ เจแปนก็มีการถอนหายใจใส่เพื่อนไปหนึ่งหน เนื่องจากมันเคยมีเหตุการณ์ทำนองนี้เกิดขึ้นมาแล้ว
“รอบนี้ไม่โดนหรอกน่า เอายังไง? มึงจะกินด้วยหรือเปล่า” อรถาม
“ไม่แล้วกัน กูขอลุกออกไปล้างหน้าน่าจะดีกว่า” เจแปนปฏิเสธพร้อมลุกขึ้นยืนตั้งใจจะไปเข้าห้องน้ำ ล้างหน้าล้างตาเพื่อที่อาการเบื่อหน่ายของเขาจะบางเบาลงบ้าง
หลังขออนุญาตอาจารย์ผู้สอนและเดินออกมาจากห้องเลกเชอร์เรียบร้อยแล้ว เจแปนก็เดินทอดน่องไปยังห้องน้ำชายอย่างไม่รีบร้อน เขามองนั่นมองนี่ไปเรื่อยเปื่อยและก็ไม่ทันได้สังเกตด้วยซ้ำว่ามีใครคอยจับตามองตัวเอง แล้วหาโอกาสตอนที่เจแปนกำลังอยู่เพียงลำพัง เพื่อเข้ามาหากันหรือเปล่า
“ค่อยรู้สึกดีขึ้นมาหน่อย”
เมื่อจัดการล้างหน้าล้างตาของตัวเองเสร็จ ระหว่างที่เจแปนกำลังใช้ทิชชูที่หยิบติดมือมาด้วยซับใบหน้าของตัวเอง เขาก็พึมพำเสียงแ่พลางมองเงาสะท้อนบนกระจกเงา ทว่าพอเจแปนได้เงยหน้าขึ้นมอง สีหน้าของเขาก็แปรเปลี่ยนไปโดยพลัน เนื่องจากเวลานี้เจแปนไม่ได้อยู่ในห้องน้ำคนเดียว
“...” อีกฝ่ายที่กำลังยืนกอดอกมองเจแปนจากทางด้านหลัง สบตากับเขาผ่านกระจกเงา
“พอร์ตเหรอ?” เจแปนทำทีถามออกไป ทั้งที่ตัวเขาเองก็รู้อยู่แล้วว่าพอร์ตไม่เคยทำท่าทีแบบนี้ หรือมองกันด้วยสายตาทำนองนี้
“ถ้ายังแกล้งเรียกผิดแบบนี้อยู่ เราไม่เอาไว้แน่” พัตเตอร์ตอบกลับมาเสียงเรียบ ยังคงแสดงออกอย่างชัดเจนว่าไม่โปรดปราน หากเจแปนจะยังเรียกเ้าตัวผิดแบบนี้อยู่
“ทำไมล่ะ” เจแปนถามหาเหตุผลอย่างไม่เข้าใจ
“...”
“ในเมื่อตัวนายก็เกิดมาจากร่างของพอร์ตนี่ หรือไม่จริง?”
“อย่าปากดีได้ไหม” พัตเตอร์บอกกลับมาและว่าต่อ “ถึงเราจะรักเจแปน แต่มันก็ไม่ได้หมายความว่าเราจะยอมทุกอย่างหรอกนะ”
“...”
“หรือว่าที่พูดแบบนี้ ก็เพราะเจแปนไม่กลัวเรา ถ้าอย่างนั้น...ให้เราไปลงกับพอร์ตดีหรือเปล่า?” พัตเตอร์ถามพลางสังเกตท่าทีของเจแปนไปด้วย
ซึ่งอันที่จริงเจแปนก็ไม่ควรจะแสดงท่าทีอะไรออกมาทั้งนั้น เนื่องจากมันจะกลายเป็จุดอ่อนที่ทำให้พัตเตอร์เอามาใช้ข่มขู่เขา แต่เพราะเมื่อคืนนี้เจแปนเพิ่งฝันอะไรที่เกี่ยวกับเื่นี้มา นั่นจึงทำให้เป็เื่ยากเหลือเกินที่เจแปนจะนิ่งเฉยได้
“นี่แปนกลัวว่าเราจะไปทำร้ายพอร์ตจริง ๆ สินะ” อีกฝ่ายว่าต่อพร้อมกลั้วหัวเราะในลำคอ คล้ายกับกำลังขำขันบางอย่าง ทั้งที่ไม่มีอะไรน่าขันเลยแม้แต่นิด
“นาย้าอะไร” เจแปนถามเสียงเครียด ก่อนจะว่าต่อ “ไหน ๆ ก็ได้เจอกันแล้ว งั้นเรามาคุยให้รู้เื่หน่อยมา ว่านาย้าอะไรทำไมถึงมาปรากฏตัวแบบนี้”
“...”
“ทำไมถึงไม่อยู่เงียบ ๆ เหมือนอย่างที่เคยอยู่มาล่ะ”
“ถ้าอยากคุยนัก งั้นแปนก็ขึ้นไปคุยกับเราที่ดาดฟ้าของตึกนี้สิ” พัตเตอร์เสนอ
ตอนที่รู้ว่าพัตเตอร์เป็ร่างดอพเพลแกงเกอร์ของคนรัก เจแปนก็ค่อนข้างเครียดมาก เพราะเขาที่เป็คนรักแท้ ๆ ยังไม่สามารถแยกพัตเตอร์กับพอร์ตออกจากกันได้เลย แต่พอวันนี้เขาได้มีโอกาสพูดคุยกับร่างดอพเพลแกงเกอร์อีกครั้ง แถมยังมีสติมากกว่าที่เคย นั่นก็ทำให้เจแปนเริ่มสังเกตเห็นถึงความแตกต่างระหว่างสองคนนี้แล้ว
โดยจุดที่ทำให้พัตเตอร์กับพอร์ตแตกต่างกัน นั่นก็คือดวงตา
ดวงตาของพอร์ตจะมีชีวิตชีวาดูมีความรู้สึกมากกว่า ส่วนดวงตาของพัตเตอร์มันจะแข็งกระด้าง ปราศจากความมีชีวิตชีวาและดูเหมือนคนที่ไม่มีความรู้สึกอะไรทั้งนั้น
“แล้วทำไมเราต้องขึ้นมาคุยกันที่นี่ด้วย” ระหว่างที่สายลมเย็น ๆ กำลังปะทะเข้าหน้าเจแปนอยู่เป็ระยะ เขาก็เอ่ยถามร่างดอพเพลแกงเกอร์ที่เดินนำขึ้นมาอย่างใคร่รู้ เนื่องจากพวกเขาสามารถพูดคุยกันในห้องน้ำชายได้ ไม่จำเป็ต้องขึ้นมาคุยบนนี้ด้วยซ้ำ
“เพื่อความเป็ส่วนตัว” อีกฝ่ายให้เหตุผลกลับมาและอธิบายต่อ “ถ้าคุยในห้องน้ำ มันมีโอกาสสูงที่คนนอกจะเดินเข้ามาได้ยินเื่ที่คุยด้วยความบังเอิญ”
“อ๋อ พอจะเข้าใจแล้วล่ะ” เจแปนพยักหน้ารับ จากนั้นความเงียบก็เข้าปกคลุมทั้งสอง ต่างฝ่ายต่างไม่มีใครพูดอะไรออกมา โดยมันก็เป็แบบนั้นนานเกือบนาที จนในที่สุดเจแปนก็ทนไม่ไหวอีกต่อไป
“้าอะไร คราวนี้นายจะบอกกันได้หรือยัง?” เขาตัดสินใจเป็ฝ่ายเริ่มบทสนทนาก่อน เพราะไม่อยากเสียเวลาไปมากกว่านี้
“เรา้าเจแปน”
“ตอนนี้นายอย่าเพิ่งพูดจาไร้สาระได้ไหม เรากำลังจริงจังอยู่นะ”
“เราก็กำลังจริงจังอยู่เหมือนกัน” พัตเตอร์เถียงกลับมาทั้งหน้านิ่ง ทำเอาเจแปนได้ยินแล้วก็เงียบไปพักหนึ่ง เหมือนคนไปไม่เป็และไม่รู้จะพูดอะไรต่อ
“้าแบบไหน นายหมายถึง้าชีวิตของเราเหรอ?” เจแปนถามต่อ
“ไม่ใช่ แต่เรา้าต่างหาก”
“...”
“เราอยากเป็เ้าของของเจแปน”
เมื่อได้ยินพัตเตอร์บอกอย่างนั้น คิ้วของเจแปนก็เผลอขมวดเข้าหากันอย่างไม่รู้ตัว ในหัวของเขามีคำถามผุดขึ้นมาเต็มไปหมด แต่เจแปนก็เลือกที่จะไม่ถามอะไรออกไปทั้งนั้น เพราะเขาคิดว่าหลังจากนี้อีกไม่นานเขาก็คงจะได้รับคำตอบเอง
“เราอยากให้เจแปนแบ่งเวลามาให้เรา สนใจเรา ทำกิจกรรมกับเรา” พัตเตอร์อธิบายต่อ เพื่อให้เจแปนได้มองเห็นภาพนั้นชัดขึ้น
“ทำไมล่ะ” เป็อีกครั้งที่เจแปนเอาแต่ถามหาเหตุผลจากอีกคน
“ก็เพราะเราวาดฝันเอาไว้อย่างนั้น”
“...”
“เราอยากทำแบบนั้นกับเจแปน อยากมีเจแปนเป็ของตัวเองและก็อยากเจแปนแค่คนเดียว เพราะคนอย่างพอร์ตน่ะ ไม่ควรมีเจแปนอยู่ข้าง ๆ หรอก” พัตเตอร์พูดพร้อมจ้องลึกเข้ามาในดวงตาของเจแปน คล้าย้าให้เขาได้รับรู้ความในใจของอีกฝ่าย
แต่น่าเสียดายที่เจแปนไม่อยากรับรู้ความในใจเ่าั้ เนื่องจากเพียงแค่เท่านี้เขาก็รู้สึกผิดกับคนรักจนไม่รู้จะรู้สึกผิดยังไงแล้ว
“แล้วเราจะได้อะไร” เจแปนทำทีเมินเฉยแล้วถามต่อ
“ได้ทุกอย่างที่เจแปน้า” พัตเตอร์บอกกลับมาและรีบพูดต่อ เมื่ออีกฝ่ายเกิดการเปลี่ยนใจกะทันหัน “ไม่เอาแบบนั้นดีกว่า ถ้าเจแปนให้สิ่งที่เรา้าได้ เราจะอยู่เงียบ ๆ ในที่ของเรา จะไม่สร้างความวุ่นวายให้กับเจแปนและพอร์ต”
“ไม่เห็นจะแฟร์เลย เพราะมันก็ควรต้องเป็อย่างนั้นอยู่แล้ว” เขาบอกกลับไปทั้งคิ้วขมวด “อีกอย่าง... สิ่งที่นาย้าจากเรา มันเหมือนนายจะให้เรานอกใจพอร์ตเลย”
“...”
“นอกใจมาหาร่างดอพเพลของแฟนตัวเอง แบบนั้นไม่ได้หรอกนะ” เจแปนไม่พูดเปล่า แต่เขายังส่ายหน้าให้คนตรงหน้าด้วย เนื่องจากเขาไม่เห็นด้วยจริง ๆ
“ดูซื่อสัตย์จังเลยนะ” พัตเตอร์เอ่ยพลางแค่นหัวเราะออกมาเบา ๆ
“เื่ปกติอยู่แล้ว มีคนรักต่อให้จะทะเลาะกันแค่ไหน มันก็ควรต้องซื่อสัตย์ต่อกันนี่”
“งั้นเหรอ นี่ถ้าพอร์ตมาได้ยิน เราไม่รู้เลยนะเนี่ยว่ามันจะรู้สึกตื้นตันใจที่แฟนของตัวเองซื่อสัตย์ขนาดนี้ หรือมันจะสะดุ้ง เพราะกระทบกับตัวเองดี”
“แล้วทำไมมันถึงจะไปกระทบกับพอร์ตล่ะ ในเมื่อเขาเองก็ซื่อสัตย์กับเราเหมือนกัน” เจแปนเอ่ย
“ซื่อสัตย์งั้นเหรอ?” พัตเตอร์ทวนคำพูดของเจแปน พร้อมหัวเราะออกมาอีกครั้ง “มันซื่อสัตย์จริง ๆ หรือว่าเจแปนแค่ไล่จับไม่ทันกันแน่ ถามตัวเองให้ชัวร์นะ”
“...”
“พอดีเราไม่อยากให้แปนหลอกตัวเองต่อไปน่ะ”
“งั้นเราก็ขอบคุณสำหรับความหวังดีนั้นก็แล้วกัน ถึงเราจะไม่้ามันก็เถอะ” เจแปนสวนกลับไป จากนั้นความเงียบก็เข้าโรยตัวระหว่างทั้งสองอีกครั้ง ต่างคนต่างมองกันนิ่ง ๆ เพราะไม่รู้ต้องคุยเื่อะไรต่อ
“ตกลงว่ายังไง จะตอบรับข้อเสนอของเราหรือเปล่า” คราวนี้พัตเตอร์เป็ฝ่ายทำลายความเงียบนั้นบ้าง
“ไม่รู้สิ”
“...”
“เราขอเวลาเก็บเอาเื่นี้ไปคิดก่อนได้หรือเปล่า” เจแปนถาม เพราะเขาคิดว่าการที่จะต้องมาตอบรับข้อเสนออะไรเช่นนี้ มันต้องผ่านการคิดเยอะ ๆ ทบทวนให้ดีก่อนที่มันจะกลายเป็การตัดสินใจผิดพลาด
“งั้นเราให้เวลาสามวันก็แล้วกัน” พัตเตอร์ต่อรองกลับมา “หรือถ้าตัดสินใจได้เร็วกว่านั้นก็เรียกเราออกมาคุย”
“แล้วเราจะเรียกนายได้ยังไง? มันมีวิธีเรียกเหรอ” เจแปนถามด้วยความกระหายรู้ เนื่องจากเขาเพิ่งรู้ว่ามันมีวิธีเรียกร่างดอพเพลแกงเกอร์ให้ออกมาหากันด้วย
“เราก็จับตามองเจแปนอยู่ตลอดเวลานั่นแหละ ถ้าอยากให้เรามาหาก็ลองเรียกชื่อเราสักสามครั้งดูสิ”