พวกเขามาถึงบ้านที่จูชิงพูดถึง เคาะประตูแล้วถามว่ามีใครอยู่หรือเปล่า
“ใครน่ะ?” มีเสียงมาจากข้างในบ้าน
“พวกเราเป็ยุวชนผู้มีการศึกษาที่มาใหม่ค่ะ” สวี่หลิงตอบ
ในตอนนี้เอง ผู้หญิงวัยกลางคนที่เป็เ้าของบ้านก็เปิดประตูออกมาและพบกับสามสาว “เข้ามาสิ”
ลู่เสวียอีบอกจุดประสงค์ “คุณป้า พวกเราพึ่งมาใหม่ก็เลยอยากแลกเปลี่ยนตู้เก็บของ”
“อยากได้แบบไหนล่ะ เข้าไปดูกันเถอะ” ขณะที่พูดก็พาพวกเธอไปข้างใน มีผู้ชายที่เป็ช่างไม้กำลังประกอบชั้นวางของ อีกด้านของพวกเขามีเฟอร์นิเจอร์ไม้สองสามอย่างที่ทำสำเร็จรูปวางอยู่
“ดูสิ อยากได้แบบไหน”
ลู่เสวียอีกวาดสายตามองโดยละเอียด “คุณป้า หนูอยากได้ตู้ใบนี้”
“ตู้นี้ 4 หยวน จ่ายเงินแล้วฉันจะให้ผู้ชายที่บ้านขนตามไปให้เลย”
ลู่เสวียอีหยิบเงิน 4 หยวนจ่ายให้อย่างไม่อิดออด “ขอบคุณคุณป้า หนูชื่อลู่เสวียอี หนูพึ่งมาใหม่ อาจจะต้องรบกวนสั่งทำตู้ไม้กับอีกหลายอย่าง”
รอยยิ้มบนใบหน้าของหญิงวัยกลางคนแย้มกว้าง “เรียกฉันว่าป้าซิ่วชุนก็ได้ ถ้าอยากสั่งงานไม้ก็มาหาได้ตลอดเลยนะ”
เธอหันมาถามสวี่หลิงกับมู่เสวียว่า้าอะไรบ้างซึ่งทั้งคู่ก็ซื้อชั้นวางและตู้คนละอย่าง พวกเธอยังมาใหม่และต้องซื้ออีกหลายอย่างเพื่อตั้งถิ่นฐาน ดังนั้นจึงควรประหยัดเงินให้มาก หากมีสิ่งของที่จำเป็จริงๆ ค่อยตัดใจซื้อ
เมื่อการซื้อขายเสร็จสิ้นพวกเขาก็กลับไปที่ลาน เมื่อกลับมาก็ได้เวลาอาหารแล้ว และพวกเขาก็กำลังประชุมกันอยู่พอดี
หัวหน้ายุวชนผู้มีการศึกษาหม่าตงกำลังอธิบาย “วันนี้เป็วันแรกที่พวกคุณมาและยังไม่มีการจัดการปั่นส่วน พวกคุณกินอาหารที่เราทำไปก่อน เมื่อได้รับปันส่วนของตัวเองแล้วต้องคืนด้วย”
พวกคนมาใหม่ยอมรับข้อตกลงนี้แต่โดยดี ตอนนี้อาหารหายากไม่มีใครอยากจะให้คนอื่นไปเปล่าๆ แม้ว่าจะต้องใช้คืนแต่ก็ยังดีที่พวกเขาให้ยืมก่อนได้
หลังจากนั้นพวกเขาก็เริ่มแนะนำตัวกันใหม่อีกครั้ง ในบรรดาพวกเขามีชายหญิงที่โดดเด่นสองคน คนแรกคือเกิงจวิน ยุวชนชายคนเก่าและลู่เสวียอี ทั้งสองมีรูปลักษณ์ที่หล่อเหล่าสวยงามที่สุดในที่นี้
อันที่จริงลู่เสวียอียังทิ้งห่างคนอื่นอีกมาก ใบหน้าสวยงามและรูปร่างที่บอบบางของเธอนั้นดึงดูดสายตาได้แม้จะอยู่ท่ามกลางผู้คน แถมหลังจากได้ดื่มน้ำแร่ติดต่อกันมาหลายวัน ผิวพรรณที่ติดจะแห้งเหลืองแต่เดิมก็ผุดผ่องมีน้ำมีนวลขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เธอจึงตกเป็เป้าสายตาของเหล่าชายหนุ่มและเรียกความริษยาจากผู้หญิงในทันที
ลู่เสวียอีนั่งลงและเริ่มกินข้าวเหมือนคนอื่น มองซุปที่ใสจนแทบจะเหมือนต้มน้ำเปล่าอย่างสงสัย
ทันทีที่จิบเข้าไปคำหนึ่ง สายตาของเธอก็แทบจะล่องลอย
นี่มันรสชาติบ้าอะไรกัน?!
แต่เมื่อมองดูรุ่นพี่คนอื่นที่กินเข้าไปอย่างเอร็ดอร่อยเธอก็ไม่สามารถพูดอะไรได้ สุดท้ายจึงต้องรีบตักเข้าปากอย่างเร่งรีบเพื่อให้หมดเร็วๆ
นี่เป็ครั้งแรกที่ลู่เสวียอีกินข้าวราวกับดื่มยา แม้จะเป็น้ำซุปใสแต่ก็ยากที่จะกลืนเหลือเกิน
หลังจากกินเสร็จเธอก็ดื่มน้ำตามอีกสองแก้วเหมือนล้างปากถึงเริ่มรู้สึกดีขึ้นอีกครั้ง
เมื่อเห็นว่าทุกคนกินเสร็จแล้วหม่าตงก็เริ่มพูด “พวกเรากินข้าวด้วยกันที่นี่หรือใครอยากจะทำเองก็ได้ แต่ถ้าทำเองคนเดียวก็ต้องเก็บฟืนหาบน้ำมาทำอาหารเอง ถ้ากินรวมพวกผู้ชายจะไปเอาน้ำสับฟืนมาให้ ส่วนพวกผู้หญิงก็ผลัดกันทำอาหาร”
ลู่เสวียอีจ้องมองชามเปล่าตรงหน้า เธอคิดแป๊บหนึ่งแล้วเอ่ยถาม “หัวหน้า พวกเราต้องกินอาหารแบบนี้ทุกวันเลยหรือเปล่า?” เธอคิดว่าควรถามให้ชัดเจนก่อนจะตัดสินใจ
หม่าตงมองไปที่ลู่เสวียอี เด็กสาวดูบอบบางเรียบร้อยเหมือนคนไม่เคยทำงานหนัก ไม่รู้ว่าเธอจะทนรับความลำบากในชนบทได้หรือไม่ ไม่รู้ว่าครอบครัวของเธอคิดยังไงถึงยอมให้ลูกสาวแบบนี้มาที่นี่ได้
“ปกติก็กินแบบนี้หรือถ้าขาดแคลนอาหาร ก็จะตามชาวบ้านไปขึ้นเขาเก็บผักป่าหรือเห็ดมาทำอาหารได้ ถ้าอยากกินของดีก็ต้องรอแบ่งเนื้อ่ปีใหม่ คนส่วนมากก็กินกันแบบนี้”
“ถ้าพวกเธอทำงานหนักและมีแต้มงานมากก็แลกเป็เงินกับอาหารได้เหมือนกัน” เขาพูดเสริม ตัวเขาเองก็เป็คนหนึ่งที่แลกแต้มมาใช้ซื้อของ
มู่เสวียอยากรู้ว่าสวี่หลิงกับลู่เสวียอีจะกินรวมหรือเปล่า ระหว่างทางบนรถไฟเธอเห็นว่าสถานการณ์ของลู่เสวียอีค่อนข้างดี ถ้าเธอตกลงกินอาหารร่วมกันเธอก็อาจจะได้กินอาหารดีๆ มากขึ้นด้วย
ลู่เสวียอีครุ่นคิด ถ้าเธอกินข้าวกับพวกเขาเธอคงต้องกินโจ๊กใสที่อยากจะกลืนแบบนี้แทบทุกมื้อ ในใจเธอค่อนข้างยากที่จะยอมรับ
อีกอย่างเธอก็มีอาหารสำรองมากมายในพื้นที่และอยากกินของดีๆ แบบที่เคย แม้แต่ในชาติก่อนที่เธอเป็เด็กที่พ่อแม่ไม่รักก็ไม่เคยได้รับการปฏิบัติย่ำแย่แบบนี้เลย
ย่าของเธอจับมือสอนทำอาหารอร่อยั้แ่เด็ก พื้นที่ว่างก็มีอาหารพร้อม ทำไมเธอต้องทนกินอาหารแบบนี้ด้วยล่ะ?
“ฉันกินคนเดียวดีกว่า ถ้ากินแยกกันต้องทำยังไงบ้าง?”
“ถ้าจะทำอาหารกินเองต้องทำกับข้าวคนละเวลากับพวกเรา น้ำกับพื้นก็ต้องเก็บเองแล้วต้องซื้อเครื่องปรุงแยกเองด้วย”
ในตอนนี้เข่อหลานก็พูดว่า “เธอต้องเก็บฟืนบางส่วนให้พวกเราด้วย เตียงคั่งกับเตาผิงก็ต้องใช้ฟืนเหมือนกัน จะยกภาระให้แค่พวกเราไม่ได้”
หลังจากได้ยินเข่อหลานพูด ลู่เสวียอีก็เริ่มคิดว่าจะสามารถแยกออกไปอยู่คนเดียวได้หรือเปล่า
ครอบครัวของสวี่หลิงไม่ได้ร่ำรวยแต่ก็ยังพอมีอยู่บ้าง ตอนแรกเธอก็คิดเหมือนลู่เสวียอีว่าอยากจะแยกไปกินเอง แต่เมื่อได้ยินว่าต้องรับผิดชอบน้ำและฝืนด้วยตัวเองเธอก็ไม่อยากทำจึงล้มเลิกความคิดนี้ไปอย่างรวดเร็ว
หลังจากนั้นทุกคนก็แยกย้ายกัน ไม่นานคนจากบ้านช่างไม้ก็มาส่งของ
ลู่เสวียอีให้พวกเขาวางตู้ไว้ชิดข้างฝั่งของเธอ และเริ่มจัดข้าวของ
หลังจากเก็บทุกอย่างเรียบร้อยเธอก็หยิบแม่กุญแจออกมาล็อกตู้ของตัวเองก่อนจะไปล้างหน้าแล้วเข้านอน
วันนี้เธอต้องทำหลายสิ่งหลายอย่างและค่อนข้างเหนื่อย หลังจากหัวถึงหมอน ลู่เสวียอีก็หลับสนิทจนถึงเช้า
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้