เมืองอันหนานอยู่ห่างจากเมืองหลวงออกไปราวหนึ่งพันสี่ร้อยลี้* เวลานี้มู่เฟิง มู่ขวงและมู่จงกำลังควบอยู่บนหลังอาชาไนยสีขาวเขาเดียว สำหรับการเดินทางในครั้งนี้นั้นพวกเขาจำต้องใช้เวลาเดินทางด้วยกันทั้งหมดสามวัน
(*หนึ่งลี้เท่ากับครึ่งกิโลเมตร หนึ่งพันสี่ร้อยลี้เท่ากับเจ็ดร้อยกิโลเมตร)
อาชาไนยเขาเดียวเหล่านี้ล้วนเป็ม้าสายพันธุ์พิเศษ หากจะกล่าวว่ายามทิวาวิ่งได้เป็พันลี้ ส่วนยามราตรีวิ่งได้ถึงแปดร้อยลี้ก็คงเกินจริงไปเสียหน่อย แต่สำหรับการวิ่งทะยานในระยะสามร้อยถึงสี่ร้อยลี้ภายในเวลาหนึ่งวันนั้นย่อมไม่ใช่ปัญหา
บนโลกแห่งนี้ นอกจากเผ่าพันธุ์มนุษย์แล้ว ยังมีเผ่าพันธุ์อื่นที่ทรงพลังอีกมาก ตัวอย่างเช่น สัตว์อสูร อสูรร้ายและอสุรกายเป็ต้น
สัตว์อสูรคือ เผ่าพันธุ์สัตว์ชนิดหนึ่งที่มีความแข็งแกร่งอยู่ในระดับทงม่าย ความแข็งแรงทางกายภาพของมันนั้นทรงพลังเป็อย่างมาก และสามารถแบ่งออกได้เป็เก้าขั้น โดยความแข็งแกร่งของสัตว์อสูรที่อยู่ในขั้นที่เก้านั้นสามารถเทียบได้กับผู้ฝึกยุทธ์ที่อยู่ในระดับทงม่ายขั้นเก้า
ส่วนอสูรร้ายคือ เผ่าพันธุ์สัตว์ชนิดหนึ่งที่มาจากยุคา ความแข็งแกร่งของมันเหนือกว่าสัตร์อสูรเป็อย่างมาก เป็สิ่งมีชีวิตที่มีนิสัยดุร้ายและกระหายเื โดยอสูรร้ายที่อ่อนแอที่สุดมีพละกำลังเทียบได้กับผู้ฝึกยุทธ์ที่อยู่ในระดับจื่อฝู่
ส่วนอสุรกายนั้นเป็เผ่าพันธุ์ที่มีความพิเศษ หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าเผ่าพันธุ์ปีศาจ
โดยเผ่าพันธุ์นี้จะมีรูปลักษณ์เป็สัตว์ ภายในร่างของพวกเขาจะมีพลังปีศาจติดตัวมาั้แ่กำเนิด และสามารถแปลงกายเป็มนุษย์ได้ แม้จะมีพลังอยู่ในระดับเดียวกัน แต่ความแข็งแกร่งปกติของพวกเขาจะเหนือกว่าเผ่าพันธุ์มนุษย์ นอกจากนี้ในบรรดาพวกเขายังมีบุคคลที่ทรงพลังเหนือธรรมชาติ มีพร์มากกว่าคนทั่วไปปะปนอยู่อีกด้วย
บนโลกใบนี้ ระหว่างเผ่าพันธุ์ปีศาจและเผ่าพันธุ์มนุษย์นั้นมีความเป็ปฏิปักษ์ต่อกันมานับั้แ่โบราณกาล ระหว่างสองเผ่าพันธุ์นี้ไม่เคยมีครั้งใดที่จะลงรอยกันได้สักครั้ง
หากสัตว์อสูรสามารถทะลวงเส้นลมปราณได้ ย่อมมีโอกาสพัฒนากลายเป็เผ่าพันธุ์ปีศาจและยังสามารถแปลงกายเป็มนุษย์ได้
หลังจากควบอาชาไนยติดต่อกันมาเป็เวลาสามวัน พวกเขาก็หยุดพักในเมืองขนาดเล็กแห่งหนึ่ง โดยหากผ่านเมืองนี้ไปอีกไม่นานก็ถึงเมืองอันหนานแล้ว
ขณะดวงอาทิตย์กำลังจะลับขอบฟ้า แสงตะวันยามเย็นได้อาบไล้ไปทั่ว ทำให้เมืองแห่งนี้ดูเงียบสงบเป็พิเศษ
คนทั้งสามก้าวลงจากหลังอาชา ก่อนจะจูงมันเข้าไปยังโรงเตี๊ยมฝูหยวน
“ไอหยา คุณชายทั้งสามท่านนี้เชิญด้านในเลยขอรับ ไม่ทราบว่าพวกคุณชายมารับประทานอาหารหรือจะมาเข้าพักดีขอรับ?”
ทันทีที่พวกเขามาถึงหน้าโรงเตี๊ยม เด็กรับใช้หนุ่มในชุดสีเทาก็รีบออกมารับอาชาจากคนทั้งสามทันที ก่อนจะนำพวกมันไปผูกไว้ในคอกม้าด้านข้าง
“ป้อนอาหารที่ดีที่สุดให้ม้าของพวกข้า จัดเตรียมห้องพักสามห้อง แล้วไปเอาสำรับเนื้อกับเหล้าซิ่งฮวาชุน*มาสามไห”
(*ยอดสุรา ผลิตในตำบลซิ่งฮวา)
มู่จงโยนเหรียญตำลึงเงินให้กับเสี่ยวเอ้อร์*หลังสั่งการ
(*พนักงานบริกร เด็กรับใช้เบ็ดเตล็ด)
“ขอรับ เชิญคุณชายทั้งสามเข้าด้านในก่อนขอรับ”
เสี่ยวเอ้อร์รับเอาเหรียญตำลึงเงินมาด้วยความยินดี ก่อนจะต้อนรับคนทั้งสามเป็อย่างดี เหรียญตำลึงเงินนี้เทียบเท่ากับค่าแรงทั้งวันของเขาเลยทีเดียว
รายได้ต่อเดือนของคนทั่วไปอยู่ที่ราวๆ สามสิบเหรียญตำลึงเงิน หรือเทียบเท่ากับสามเหรียญตำลึงทอง
คนทั้งสามเข้าไปนั่งยังโต๊ะที่กำลังว่าง มู่ขวงหัวเราะออกมาพลางกล่าวว่า “เดินทางมาสามวันข้าเหนื่อยแทบตายแล้ว ท่านอาจง ยังต้องใช้เวลาอีกนานเพียงใดกว่าจะถึงเมืองอันหนานหรือ?”
“ใกล้ถึงแล้วขอรับ หากวันรุ่งเรารีบออกเดินทาง คงไปถึงที่นั่น่เที่ยงวันพอดี”
มู่จงหัวเราะพลางตอบกลับ
มู่เฟิงเผยรอยยิ้มออกมา หากพูดถึงเื่นี้แล้ว ในอดีตบิดาของเขาเคยพาเขาไปเยือนบ้านบรรพบุรุษในเมืองอันหนานครั้งหนึ่ง ดูเหมือนจะผ่านมานานหลายปีแล้วที่เขาไม่ได้กลับไปที่นั่นอีก
เพียงไม่นานเสี่ยวเอ๋อร์ก็ยกสำรับเนื้อผัดซอสสามจานใหญ่เข้ามาพร้อมกับเหล้าซิ่งฮวาชุนสามไห มู่จงเปิดฝาไหออกในทันที ก่อนจะสูดกลิ่นเหล้าเข้าไปเต็มปอดและเผยยิ้มออกมาอย่างพึงใจ
“ไม่เลว เป็เหล้าซิ่งฮวาชุนของแท้แน่นอน”
จากนั้นเขาได้วางชามเหล้าให้กับมู่เฟิงและมู่ขวง มู่เฟิงเองก็ดื่มเหล้าเช่นกัน แต่เขาไม่ค่อยดื่มมากนัก คนทั้งสามชนชามกันก่อนจะกระดกเหล้าเข้าไปเต็มปาก กลิ่นหอมของเหล้าไหลผ่านลำคอ ให้ความรู้สึกนุ่มคอดีไม่น้อย
“ท่านอาจง สถานการณ์ฝั่งกองทัพตระกูลมู่ของเราเป็อย่างไรบ้าง?”
หลังกระดกเหล้าไปจนหมด มู่เฟิงก็เอ่ยถามขึ้น
“เฮ้อ หลังท่านแม่ทัพจากไป กองทัพตระกูลมู่ของเราถูกกดดันอย่างหนัก เหล่านายพลของตระกูลต่างได้รับมอบหมายให้ไปอยู่ประจำชายแดน ต้องออกห่างไกลจากเมืองหลวงกันหมด”
มู่จงถอนหายใจ
มู่เฟิงหรี่ตาลงหลังได้ยินดังนั้น “บางทีนี่อาจเป็เื่ดีก็ได้ หากยังอยู่ในเมืองหลวง เกรงว่าจะเคลื่อนไหวทำสิ่งใดก็คงถูกยับยั้งอยู่ตลอด อย่างน้อยอยู่เขตชายแดนคงทำอะไรๆ ได้สะดวกกว่า ทั้งยังได้อยู่ห่างจากบ่อโคลนนี้ด้วย”
"แต่หากเป็เช่นนี้ต่อไป เกรงว่าอำนาจทางทหารของตระกูลมู่ในเมืองหลวงคงถูกกระจายออกไปจนหมด และหากตระกูลมู่เกิดเื่ขึ้นคงยากที่จะดูแลได้ บางทีการที่นายท่านส่งคุณชายเฟิงออกมาอาจเพราะด้วยเหตุผลนี้ก็ได้ขอรับ"
มู่จงกล่าวพร้อมกระดกเหล้าลงไปอีกชาม หว่างคิ้วของเขาแสดงออกถึงความกลัดกลุ้มภายในใจ
"ท่านอาจง หลังจากถึงเมืองอันหนานแล้ว ท่านช่วยข้าหาทางติดต่อกับเหล่าท่านอาที่เฝ้าอยู่ชายแดนได้หรือไม่"
“คุณชายเฟิง คิดจะทำการใดหรือขอรับ?”
มู่จงตะลึงงัน
"หาหนทางรับมือ ข้าเองก็เป็คนตระกูลมู่จะนิ่งเฉยรอความตายได้อย่างไร"
มู่เฟิงหรี่ตาลงขณะกล่าวออกมา
มู่จงพยักหน้าครุ่นคิด ในบรรดาคนตระกูลมู่ไม่มีผู้ใดคิดว่ามู่เฟิงยังเป็เพียงแค่เด็กน้อยอีกต่อไป พวกเขาจะปฏิบัติต่อเด็กหนุ่มที่เคยสังหารศัตรูนับร้อยได้ด้วยตัวคนเดียวราวกับเป็เด็กธรรมดาคนหนึ่งได้อย่างไร?
ส่วนมู่ขวงนั้นซื่อบื้อเกินกว่าที่จะเข้าใจเื่ที่ทั้งสองกำลังพูดคุยกันอยู่ เวลานี้เขากระดกเหล้าเข้าไปมากจนใบหน้าและใบหูเริ่มเห่อร้อนขึ้นเป็สีแดงก่ำ ทั้งยังเริ่มพูดจาไร้สาระ เห็นได้ชัดว่าฤทธิ์ของเหล้าซิ่งฮวาชุนนี้แรงอยู่ไม่น้อย
“เ้าหนุ่ม อย่าหนีนะ!”
ทันใดนั้นได้มีเสียงหนึ่งดังขึ้นจากริมถนน พร้อมกับคนกลุ่มใหญ่ที่กำลังไล่ตามเด็กหนุ่มชุดดำคนหนึ่ง
เด็กหนุ่มผู้นี้มีรูปร่างผอมแห้ง ใบหน้าของเขาดูหล่อเหลาไม่น้อย ทว่าดวงตากลมโตคู่นั้นกลับเต็มไปด้วยเล่ห์เหลี่ยม เขาวิ่งหนีอย่างเร่งรีบ ในขณะที่มือกำถุงเงินเอาไว้แน่น เท้าของเขาเคลื่อนไหวได้รวดเร็วจนน่าทึ่ง
"อย่าหนีนะ!"
ด้านหลังคือคนกลุ่มใหญ่ในชุดสีเทา พวกเขาต่างถือไม้วิ่งไล่ตามเด็กหนุ่มมา
“เฮอะ เป็พวกเ้าที่วิ่งตามไม่ทันข้าเอง”
เด็กหนุ่มยังคงหันกลับมาแลบลิ้นปลิ้นตาใส่อีกฝ่ายขณะกำลังวิ่งหนี
“เ้าเด็กบัดซบ เ้าจะหนีไปไหน!”
ในบรรดากลุ่มคนที่ไล่ตามมา ชายผู้หนึ่งได้กระทืบเท้าลงบนพื้นจนปรากฏรอยแตกร้าว ก่อนที่ตัวเขาจะทะยานร่างออกไปไกลหกถึงเจ็ดเมตรกระทั่งสามารถไล่ตามเด็กหนุ่มผู้นั้นได้ทัน เท้าของเขาถีบลงกลางหลังของอีกฝ่าย เด็กหนุ่มผู้นั้นพ่นเืออกมา ก่อนจะกระเด็นไปไกลเจ็ดถึงแปดเมตร
เห็นได้ชัดว่าชายร่างกำยำผู้นี้เป็วรยุทธ์ เกรงว่าอย่างน้อยคงอยู่ในระดับทงม่ายขั้นเจ็ด
เด็กหนุ่มคลานไปบนพื้นก่อนจะพยายามลุกขึ้นนั่ง เขามองหน้าชายร่างกำยำด้วยความหวาดกลัว ฉับพลันนั้นกลุ่มคนที่เหลือก็ไล่ตามมาถึงและห้อมล้อมร่างของเด็กหนุ่มผู้นั้นเอาไว้
“เฮ้ เ้าหนู กล้าดีอย่างไรมาขโมยถุงเงินของนายข้า คงใช้ชีวิตมามากพอแล้วสินะ มาให้ข้าทุบตีเสีย!”
ชายร่างกำยำแสยะยิ้ม ทันใดนั้นกลุ่มคนนับสิบคนก็เข้ามารุมล้อมเด็กหนุ่มเอาไว้ พวกเขาทั้งเตะ ต่อยและถีบอีกฝ่ายโดยไม่ยั้งแรง เด็กหนุ่มกอดศีรษะของตัวพร้อมขดตัวอยู่กับพื้น แม้เขาจะถูกทุบตี แต่เขาก็ไม่ส่งเสียงร้องโอดครวญออกมาเลยแม้แต่น้อย ทั้งยังทำเพียงแค่กัดฟันแน่นเท่านั้น
“พวกเ้าจับมันเอาไว้ เหล่าจือ*จะหักขามัน มาดูกันว่าในอนาคตมันยังจะวิ่งได้อีกหรือไม่”
(*คำเรียกตัวเองเวลายกตนเหนือคนอื่น)
ชายร่างกำยำโบกกระบองเหล็กในมือไปมา พลางกล่าวด้วยรอยยิ้มชั่วร้าย
บ่าวรับใช้สองคนอุ้มเด็กหนุ่มที่เต็มไปด้วยรอยฟกช้ำจนใบหน้าบวมเป่งขึ้นมา ก่อนลากอีกฝ่ายเข้าไปหาชายร่างกำยำผู้นั้น
ชายร่างกำยำผู้นั้นเหวี่ยงท่อนเหล็กตีไปยังขาของเด็กหนุ่มด้วยความโกรธ
เสียงหวีดหวิวของท่อนเหล็กที่เคลื่อนตัวผ่านอากาศดังขึ้น หากเด็กหนุ่มถูกท่อนเหล็กนี้ตีเข้า กระดูกของเขาย่อมต้องแตกหักอย่างแน่นอน ในเมื่อไม่มีทางสู้ เด็กหนุ่มจึงทำได้เพียงกัดฟันพร้อมหลับตาแน่นด้วยความสิ้นหวัง
พลั่ก!
อ๊าก…!
เด็กหนุ่มร่ำร้องด้วยความเ็ป แต่ไม่นานเขากลับต้องชะงักไป
หื้ม เหตุใดจึงไม่เจ็บ?
เขาลืมตาขึ้นมาทันที และพบว่าขาของตัวเองนั้นยังไม่หัก
นอกจากนี้เขายังเห็นเด็กหนุ่มชุดดำที่อายุน่าจะไล่เลี่ยกับตนยืนอยู่ตรงหน้า โดยที่มือข้างหนึ่งของอีกฝ่ายกำลังจับท่อนเหล็กเอาไว้
“เ้าหนุ่มนี่เป็ใครกัน? กล้าดีอย่างไรมาแส่เื่ของผู้อื่น!”
ชายร่างกำยำคำรามออกมาอย่างไม่พอใจ จากนั้นเขาได้ดึงแท่งเหล็กกลับอย่างแรง แต่กลับต้องพบว่ามันไม่ขยับเลยแม้แต่น้อย
“หัวขโมยที่ขโมยเงินผู้อื่น เ้าสามารถส่งตัวเขาไปให้ทางการได้ ไม่มีความจำเป็ต้องหักขาทิ้งเสียหน่อย เช่นนี้ไม่เท่ากับทำลายชีวิตของเขาหรอกหรือ”
แน่นอนว่าคนที่เข้ามาขวางคือมู่เฟิง
“แล้วมันกงการใดของเ้ากันล่ะ เหล่าจือจะทุบตีเ้าหัวขโมยผู้นี้ให้ตาย หากเ้ายังไม่หลบ เหล่าจือจะทุบตีเ้าด้วย”
ขณะที่กล่าวคำนี้ ชายร่างกำยำได้ปล่อยหมัดพุ่งเข้าใส่มู่เฟิงโดยตรง กำปั้นนี้มีความรุนแรงมาก ทั้งยังบรรจุไว้ด้วยพลังปราณสีขาว หากเป็คนธรรมดาโดนเข้าไปเกรงว่าอาจต้องนอนรักษาตัวอยู่บนเตียงอย่างน้อยครึ่งเดือน
“พูดจาได้บัดซบนัก”
แววตาของมู่เฟิงพลันเปลี่ยนเป็เ็า ก่อนจะปล่อยหมัดตรงเข้าใส่อีกฝ่ายเช่นกัน
เปรี้ยง...!
หมัดทั้งสองพุ่งเข้าปะทะกันทันที ก่อให้เกิดเสียงดังสนั่น
ชายร่างกำยำผู้นั้นก้าวถอยออกไปสองก้าว สีหน้าของเขาพลันเดือดดาลขึ้นมา เขาเหวี่ยงหมัดออกไปอย่างรวดเร็ว โดยเล็งไปที่หัวของมู่เฟิง
มู่เฟิงย่อตัวลงพร้อมถอยห่างออกไปครึ่งก้าว ก่อนจะหมุนศอกกลับมากระแทกไปยังคางของอีกฝ่าย
โครม!
ชายร่างกำยำร้องโอดโอยอย่างน่าสมเพช ทั้งยังกระอักเืออกมา กระทั่งร่างของเขายังถูกเหวี่ยงออกไปไกลหลายเมตรก่อนจะล้มคว่ำลงกับพื้น
มู่จงที่กำลังนั่งดื่มอย่างสบายอารมณ์ในโรงเตี๊ยมได้ผุดลุกขึ้นทันใด เขามองไปยังมู่เฟิงด้วยความตื่นเต้น
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้