“เหยียนเหล่า[1] ช่วยข้าด้วย!” เจิ้งอวี้ฟูม้วนตัวกลิ้งไปทางแอ่งน้ำอย่างไร้ประโยชน์ เขารู้ว่าจ้านอู๋มิ่งจะไม่ให้โอกาสใดๆ แก่ตนเอง แต่เขายังไม่อยากตาย ดังนั้นเมื่อพบว่าไม่สามารถผนึกพลังจิติญญาแห่งการต่อสู้ได้ จึงบิดไข่มุกเทพหยั่งรู้จนแตก ขอเพียงเหยียนเหล่าอยู่ในรัศมีร้อยลี้ ก็สามารถััถึงตำแหน่งของเขา คิดได้ดังนั้นจึงชวนสนทนาถ่วงเวลาจ้านอู๋มิ่งมาตลอด เพียงแต่ไม่คิดว่าจ้านอู๋มิ่งจะรู้ตัวเร็วถึงเพียงนี้ กลับทราบว่าเหยียนเหล่าอยู่ที่นี่ก่อนก้าวหนึ่งและลงมือเร็วขึ้น
“เชอะ…” เจิ้งอวี้ฟูคิดกลิ้งตัวให้พ้นจากระยะโจมตีของจ้านอู๋มิ่ง แต่พลังจิติญญาแห่งการต่อสู้สูญสิ้นโดยสิ้นเชิง ไหนเลยจะเร็วกว่าคมมีดในมือจ้านอู๋มิ่ง พอเขาขยับร่าง มีดของจ้านอู๋มิ่งก็วาดผ่านร่างไปแล้ว เจิ้งอวี้ฟูยังไม่ตาย แต่อเนจอนาถเลวร้ายยิ่งกว่าตายเสียอีก เพราะมีดนี้ของจ้านอู๋มิ่งวาดผ่านจุดตันเถียนของเขาอย่างแม่นยำ พลังจิติญญาแห่งการต่อสู้พวยพุ่งออกมาดุจดั่งเปิดประตูระบายน้ำก็มิปาน คราวนี้เขาสูญเสียพลังจิติญญาแห่งการต่อสู้ไปแล้วจริงๆ พลันราชันา ผู้หยิ่งผยองกลายเป็คนพิการไร้ค่าในทันใด จ้านอู๋มิ่งหันศีรษะมองเหยียนเหล่าที่กำลังทะยานมา เช็ดเืบนมีดกับเสื้อผ้าของเจิ้งอวี้ฟูอย่างใจเย็น และแต่งเล็บฆ่าเวลาต่อไปใน่กำลังว่าง มิสนใจเสียงครางโหยหวนของเจิ้งอวี้ฟู
หางตาเหยียนอี้ฉีกขาด ต่อหน้าต่อตาเขา นายท่านคนที่สามของตระกูลเจิ้งกลายเป็คนพิการไปแล้ว ฝ่ายตรงข้ามยังเป็แค่ปรมาจารย์นักยุทธ์ระดับสี่ดาวเท่านั้น เขากำลังเช็ดเืบนมีดเป็การฆ่าเวลา ไม่ได้สนใจจะมองตนอย่างจริงจังสักครั้งด้วยซ้ำ จะมิให้รู้สึกโกรธเคืองได้อย่างไร
“ไอ้เด็กไม่รู้ประสีประสา เ้ารู้ค่าตอบแทนที่เ้าจะต้องจ่ายหรือไม่?” เจตนาฆ่าฟันในใจเหยียนอี้เหมือนดั่งคลื่นปั่นป่วน ครั้งนี้นายท่านสามกลายเป็คนพิการแล้ว นายน้อยสี่เสียชีวิตและคนอื่นๆ ล้วนตายหมดสิ้นแล้ว เหลือเพียงเขาเท่านั้นที่ยังมีชีวิตอยู่ สำหรับตระกูลเจิ้งแล้วหมายถึงสิ่งใด ตนเองจะแบกหน้ามีชีวิตกลับไปได้อย่างไร! ทั้งหมดทั้งปวงนี้เกิดจากน้ำมือชายหนุ่มตรงหน้าเพียงคนเดียว
จ้านอู๋มิ่งหัวเราะแล้วพูดอย่างดูแคลนว่า “เ้าคิดว่าข้าไม่รู้หรือว่าเขาบิดไข่มุกเทพหยั่งรู้จนแตก สาเหตุที่ข้าไม่รีบฆ่ามันเร็วนั้น ข้าก็แค่ไม่คิดจะเสียเวลาไปตามหาเ้า ตอนมืดค่ำในป่าสัตว์อสูรไม่ปลอดภัย ข้าเลยให้เขาเรียกเ้ามา เ้าไม่ได้ทำให้ข้าผิดหวังจริงๆ”
สีหน้าเหยียนอี้แปรเปลี่ยน สีหน้าท่าทางชายหนุ่มนิ่งสงบเกินไป สงบจนทำให้เขารู้สึกตนเองเหมือนไก่น้อยบนเขียงที่รอถูกเชือด ไม่รู้ว่าความมั่นใจของชายหนุ่มตรงหน้ามาจากที่ใด สิ่งนี้ทำให้มันรู้สึกว่าชายหนุ่มยิ่งลึกซึ้งจนสุดหยั่งคาดมากยิ่งขึ้น พลันเหยียนอี้ก็ตระหนักว่าตนประมาทเกินไปแล้ว ตนไม่ควรผลีผลามเร่งรีบมาที่นี่ เจิ้งอวี้ฟูก็เป็ราชันาเหมือนกันเช่นเดียวกับตน บนร่างเจิ้งอวี้ฟูยังมีชุดเกราะป้องกันตัว พลังแฝงนั้นยังแข็งแกร่งกว่า กลับยังคงถูกทำร้ายจนพิการ เขามาแล้วมีประโยชน์อันใด?
“มิถูกต้อง…” พลันเหยียนอี้ก็ตระหนักว่า ตนเองกลับหมดความเชื่อมั่นเมื่อมาอยู่ต่อหน้าปรมาจารย์นักยุทธ์ที่ประหนึ่งมดปลวกผู้หนึ่ง ความยิ่งใหญ่สง่างามที่แผ่ออกมาจากร่างชายหนุ่ม เหมือนกับเป็ราชันทรราชที่อยู่เหนือโลกหล้า นี่คือภาพลวงตาชนิดหนึ่ง แต่ทว่ากลับจริงแท้แน่นอนยิ่งนัก หากเขานำไปเล่าให้ผู้อื่นฟังจะต้องถูกผู้คนหัวเราะเยาะอย่างแน่นอน ราชันาผู้หนึ่งกลับถูกขัดขวางโดยความยิ่งใหญ่สง่างามของปรมาจารย์นักยุทธ์สี่ดาว เป็เื่ราวน่าขบขันมากมายเพียงใด
“เ้าเป็ปรมาจารย์นักยุทธ์สี่ดาวเล็กๆ ผู้หนึ่ง กลับพูดจาหยิ่งผยองบ้าคลั่ง ข้าจะให้เ้าตระหนักว่าช่องว่างระหว่างปรมาจารย์นักยุทธ์กับราชันา…” ระหว่างพูดจา สภาวะพลังหนักหน่วงเข้มข้นชนิดหนึ่งแผ่ขยายออกมาจากร่างเหยียนอี้ อากาศข้างแอ่งน้ำควบแน่นขึ้นมา นภากาศดูคล้ายดั่งกลายเป็บึงหนองน้ำท่วมขัง จ้านอู๋มิ่งรู้สึกว่าแม้กระทั่งการหายใจก็ยากลำบากขึ้นแล้ว
“เฮอะ ไม่เลว สามารถหยั่งรู้ถึงการใช้งานความเข้มข้นขั้นต้นของพลังจิติญญาแห่งการต่อสู้ ความสามารถนับได้ว่าโดดเด่น ดีที่สุดในเหล่าบรรดาราชันาด้วยกันแล้ว เพียงแต่น่าเสียดาย ราชันาผู้โชคร้ายที่สู้ไก่ยังไม่ได้ ยามนี้เ้าคือลูกธนูที่ยิงจนสุดล้าแล้ว แข็งแกร่งภายนอก ภายในอ่อนแอ สภาพการณ์ตอนนี้เทียบไม่ได้แม้แต่เจิ้งอวี้ฟูเมื่อครู่ แล้วจะมาทำอะไรข้าได้? กล่าวอย่างจริงจังแล้ว เ้ามิสมควรมายังสถานที่นี้จริงๆ” ร่างจ้านอู๋มิ่งทะยานคราหนึ่ง หลุดพ้นจากปราณพันธนาการของเหยียนอี้ดุจมัจฉาว่ายน้ำ ไม่ได้รับผลกระทบใดๆ จากความยิ่งใหญ่ของราชันาโดยสิ้นเชิง
“ตูมมม…” จ้านอู๋มิ่งเลือกที่จะกล่าววาจาด้วยกำปั้น
เหยียนอี้มิคาดคิดว่าจ้านอู๋มิ่งจะอาจหาญชาญชัยถึงเพียงนี้ มิได้รับผลกระทบใดๆ จากความยิ่งใหญ่ของระดับชั้นราชันาของตน พลังโจมตีจากร่างจ้านอู๋มิ่งอยู่เหนือความคาดหมายของเขา ระดับความรุนแรงไม่ด้อยกว่าการพุ่งเข้าชนของสัตว์อสูรแรดนอเดียวระดับสามเลยทีเดียว
“หวา…” เหยียนอี้กระอักโลหิตสีดำพรวดออกมาคำหนึ่ง ทันใดก็ตระหนักถึงความโง่เขลาของตนเอง เขาได้รับาเ็สาหัสที่นอกหุบเขาค่างปีศาจก่อนแล้ว ยังวิ่งมาตลอดเวลาเป็ระยะทางหลายร้อยลี้ เจอกับการโจมตีของสัตว์อสูรหลายสิบระลอกอย่างต่อเนื่องติดต่อกัน สิ้นเรี่ยวแรงดุจดั่งลูกธนูที่ยิงจนสุดล้าแล้วจริงๆ เขาได้รับสัญญาณขอความช่วยเหลือจากเจิ้งอวี้ฟู ความเคยชินทำให้รู้สึกว่าสมควรมาช่วยเหลือเ้านาย ดังนั้นเวลาที่เขาเร่งรีบวิ่งมาอย่างบ้าคลั่ง ได้ใช้พละกำลังไปจนหมดสิ้นแล้ว จ้านอู๋มิ่งกลับคงความสดชื่น มีเวลาหล่อเลี้ยงพลังจิติญญาอยู่ตลอด ใช้ความสดชื่นเติมความอ่อนล้า ถึงแม้ว่าระดับขอบเขตจะแตกต่างกันมากมายนัก แต่เป็อย่างที่ชายหนุ่มพูด ราชันาผู้โชคร้ายที่สู้ไก่ยังไม่ได้ เวลานี้เขาไม่มีความสามารถในการฝืนลงมือแล้วจริงๆ
“มีสองทางให้เ้าเลือก หนึ่งคือยอมศิโรราบต่อข้า สองคือความตาย!” จ้านอู๋มิ่งมิได้ลงมือโจมตีต่อ การโจมตีเมื่อครู่นั้นทำให้อีกฝ่ายตระหนักรับรู้แล้วว่าตนมิใช่มดปลวก แต่เป็ผู้ที่สามารถกำหนดชะตาชีวิตของเขา
สีหน้าเหยียนอี้เปลี่ยนจากขาวซีดเป็เขียวคล้ำ จากเขียวคล้ำเป็แดงก่ำ เขาถึงกับลังเลใจขึ้นมาแล้ว จะมีชีวิตอยู่หรือตาย มิเคยคิดมาก่อนว่าจะมีคนผู้หนึ่งซึ่งระดับขอบเขตพลังต่ำกว่าตนมากมายนักกลับทำให้ต้องมีการเลือกเช่นนี้ ที่น่าเศร้าใจยิ่งกว่าก็คือเขาถึงกับลังเลใจขึ้นมาแล้ว กลับมิกล้าที่จะปฏิเสธ…
“ฆ่ามันให้ข้า เหยียนเหล่า ฆ่ามันให้ข้า…” เสียงอันโหยหวนของเจิ้งอวี้ฟูน่าเศร้าสุดเปรียบปาน เขาเองก็คาดมิถึงว่าพลังการบ่มเพาะระดับราชันาของเหยียนเหล่ากลับมิอาจครองความได้เปรียบแม้แต่น้อยนิด แต่กลับได้รับาเ็จากการโจมตีเพียงครั้งเดียวของจ้านอู๋มิ่ง ยามนี้ความเกลียดชังในใจ ทำให้สูญเสียสติสัมปชัญญะไปแล้ว สิ่งเดียวที่้าทำก็คือฆ่าจ้านอู๋มิ่งให้ตาย เสียดายที่ตนทำไม่ได้!
“เ้าคือใครกันแน่?” เหยียนอี้มิแยแสเสียงโหยหวนไร้สติสัมปชัญญะของเจิ้งอวี้ฟู ตอนนี้เขาสงบสติอารมณ์ลงแล้ว เข้าใจสถานการณ์ในยามนี้กระจ่างยิ่ง ชายหนุ่มตรงหน้าผู้นี้น่าสะพรึงกลัวกว่าที่เขาคาดคิด
“เ้าบอกเหตุผลสักข้อที่จะให้ข้าตอบเ้า ข้าไม่คิดสิ้นเปลืองคารมกับคนตาย” จ้านอู๋มิ่งยิ้มแย้มขึ้นอย่างเยือกเย็น
“ข้า้าทราบว่าข้ากำลังจะศิโรราบต่อผู้ใด เหตุผลข้อนี้เพียงพอหรือไม่?” ความยิ่งใหญ่สง่างามของเหยียนอี้เหมือนลูกหนังที่ถูกปล่อยลมออก จู่ๆ ก็ชราลงกว่าเดิมมิน้อย
“เ้าคนทรยศ เ้าปีศาจขี้ขลาดตาขาว ตระกูลเจิ้งจะไม่ละเว้นเ้า…” ใบหน้าของเจิ้งอวี้ฟูสีเทาซีดเหมือนคนตาย เหยียนเหล่าถึงกับยอมศิโรราบกลางศึกจริงๆ เขาสิ้นหวังแล้ว ดังนั้นจึงออกปากก่นด่าขึ้นอย่างเกรี้ยวกราด
“ฮ่า ฮ่า……” จ้านอู๋มิ่งหัวเราะลั่นขึ้นมา ผ่านไปเนิ่นนานจึงมองการแสดงออกของเหยียนเหล่า พูดด้วยความยินดีว่า “เหตุผลเพียงพอยิ่ง ข้าเองก็ชื่นชอบยิ่งนักเช่นกัน ข้าคือจ้านอู๋มิ่ง คุณชายสี่ของตระกูลจ้านแห่งเมืองมู่เหย่ ในสายตาเ้า บางทีข้ายังเป็หลานนอกคนเล็กของผู้นำตระกูลเจิ้งอีกด้วย”
สีหน้าของเหยียนอี้ฉายแววประหลาดใจขึ้นวูบ สักพักก็เงียบขรึมลงอีก เขามีเพียงสองทางเลือกเท่านั้น จะมีชีวิตอยู่หรือตาย เขายังไม่อยากตาย ไม่ว่าศักดิ์ฐานะของอีกฝ่ายจะเป็เช่นไร เขาทำได้เพียงแต่ยอมศิโรราบ หมัดของจ้านอู๋มิ่งเมื่อครู่ทำให้ตระหนักว่าหากชายหนุ่มคนนี้้าฆ่าเขา ช่างง่ายดายยิ่งนัก
หมัดของจ้านอู๋มิ่งเมื่อครู่มิได้ใช้พลังจิติญญาแห่งการต่อสู้ใดๆ เป็พลังกล้ามเนื้อร่างกายล้วนๆ แต่กลับทำลายความเพียรพยายามยืนหยัดครั้งสุดท้ายของเขาพังทลาย เนื่องเพราะจ้านอู๋มิ่งอาศัยฤทธิ์พลังของกายเนื้อล้วนๆ จึงมิได้ถูกพันธนาการของราชันาผนึกไว้แต่อย่างไร เขามิเคยเห็นพลังทางกายที่แข็งแกร่งขนาดนี้มาก่อน แต่เขากลับเชื่อมั่นในชายหนุ่มที่เก่งกาจ มากปฏิภาณไหวพริบและศักยภาพไร้ขีดจำกัดคนนี้
“จงผ่อนคลายจิตสมาธิของเ้า” จ้านอู๋มิ่งพูดเสียงเย็นเยียบ
สีหน้าเหยียนอี้แปรเปลี่ยนอีกครั้ง แต่ก็มิได้ขัดขืนต่อต้าน ผ่อนคลายจิตสมาธิตามคำพูด ััได้ถึงสำนึกเยือกเย็นสายหนึ่งพุ่งเข้ามาในห้วงคำนึง ประทับตราฝังแน่นอย่างลึกล้ำลงในจิตสมาธิของตน เหยียนอี้อดอุทานขึ้นมามิได้ว่า “นี่คือวิชาควบคุมจิตสมาธิ เทพประทับทาสที่เล่าขานกันในตำนาน”
“มิผิด นับว่าเ้ายังมีความรอบรู้กว้างขวางอยู่บ้าง ั้แ่นี้เป็ต้นไป ขอเพียงเ้ายังซื่อสัตย์ต่อข้า ก็จะต้องมีอนาคตที่ดีกว่าตระกูลเจิ้งอย่างแน่นอน แต่หากยามใดที่สองจิตสองใจ เ้าก็จะทราบความร้ายกาจของเทพประทับทาส” จ้านอู๋มิ่งกล่าวเสียงเย็นเยียบ
สีหน้าเหยียนอี้ซีดขาว แต่ก็ทราบว่าความคิดเพิ่มเติมใดๆ ล้วนไร้ความหมายแล้ว จึงค้อมศีรษะลงกล่าวว่า “เหยียนอี้เข้าใจ จากนี้ไปข้าจะเชื่อฟังคำสั่งคุณชาย มิกล้าสองจิตสองใจอย่างเด็ดขาด”
“ถ้าเช่นนั้น ก็จงฆ่ามันด้วยตนเองเสีย!” จ้านอู๋มิ่งชี้ไปยังเจิ้งอวี้ฟูที่ยังส่งเสียงก่นด่าเกรี้ยวกราดมิยอมหยุดตลอดเวลา
สีหน้าเหยียนอี้แปรเปลี่ยนเล็กน้อย แต่ก็ไม่ลังเลใดๆ ฝ่ามือกระแทกลงอย่างหนักหน่วงกลางอากาศ เจิ้งอวี้ฟูที่กำลังะโด่าร้องโหยหวนกลายเป็ก้อนเืไปทันที
ในดวงตาจ้านอู๋มิ่งฉายแววพึงพอใจคราหนึ่ง พลันรู้สึกผ่อนคลายสบายใจขึ้นมาก ตระกูลเจิ้งเป็หนามยอกใจที่กดดันตนตลอดมา ในที่สุดวันนี้ก็ได้เริ่มต้นถอนทิ้งแล้ว ชีวิตในชาติภพก่อน ความเกลียดชังจากการถูกฆ่าล้างตระกูลจากตระกูลเจิ้งเป็ปมในใจที่จ้านอู๋มิ่งไม่สามารถแก้ได้ตลอดมา การตายของเจิ้งอวี้ฟูเป็เพียงจุดเริ่มต้นการแก้แค้นของจ้านอู๋มิ่ง เขาไม่ได้สังเกตเห็นว่าท่ามกลางความมืดมนของฟ้าดิน กลิ่นอายมรณะจางๆ สายหนึ่งพลิ้วลอยขึ้นจากละอองเืของเจิ้งอวี้ฟู ท่ามกลางกลิ่นอายมีแสงระยิบระยับเล็กๆ ขณะที่จ้านอู๋มิ่งสูดหายใจ มันได้แทรกซึมเข้าสู่ร่างกายของเขา
“ประเสริฐมาก!” จ้านอู๋มิ่งยิ้มเล็กน้อย หยิบเม็ดโอสถสีเขียวเม็ดหนึ่งจากอกเสื้อกล่าวว่า “กินนี่ลงไปก่อน ฟื้นฟูพลังการต่อสู้โดยเร็วที่สุด พวกเรายังมีเื่ราวที่ต้องไปทำ”
“ขอรับ!” เหยียนเหล่ามิลังเลใจรับเม็ดโอสถมาแล้วกลืนลงไปทันที พลันััถึงกระแสอบอุ่นสายหนึ่งโคจรไหลเวียนไปทั่วร่างกาย ความเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าสลายหายไปหมดสิ้น อาการาเ็ภายในร่างกายฟื้นฟูอย่างรวดเร็ว ได้ััถึงประสิทธิภาพของโอสถอันทรงพลัง เหยียนอี้ประหลาดใจยิ่งนัก รีบนั่งลงขัดสมาธิโคจรพลังปราณทันที เพื่อฟื้นฟูพลังจิติญญาแห่งการต่อสู้อย่างรวดเร็วที่สุด
……
ค่ำคืนในป่าสัตว์อสูรสำหรับมนุษย์แล้วอันตรายเป็อย่างยิ่ง จ้านอู๋มิ่งเองก็มิกล้าชะล่าใจแม้แต่น้อย เขาจัดการโปรยมูลของสัตว์อสูรระดับสูงไปรอบบริเวณหุบเขาแม่น้ำ ตลอดทั้งคืนยังคงปลอดภัยอยู่ บางครั้งสัตว์อสูรระดับสูงกว่าเล็กน้อยสองสามตัวผ่านไป แต่ก็ไม่พบพวกจ้านอู๋มิ่ง หลังจากการพักผ่อนฟื้นฟูพลังคืนหนึ่ง สภาพการณ์ของจ้านอู๋มิ่งดีมาก เหยียนอี้ก็ฟื้นฟูพลังการบ่มเพาะแล้วห้าหกส่วน ถึงแม้จะไม่สามารถต่อสู้กับสัตว์อสูรระดับสี่ได้ แต่สัตว์อสูรระดับสามกลับไม่เกรงกลัวแล้ว
“ยามนี้ถึงเวลาที่พวกเราจะได้ไปหาสัตว์อสูรแสวงหาควันพันลี้ที่น่ารักแล้ว สิ่งนั้นคือของวิเศษชนิดหนึ่ง มิอาจปล่อยให้มันวิ่งเพ่นพ่านวุ่นวายอยู่ในป่าสัตว์อสูร” เพิ่งจะรุ่งสางจ้านอู๋มิ่งตื่นแล้วลุกขึ้นกล่าวด้วยความตื่นเต้น
“จับสัตว์อสูรแสวงหาควันพันลี้?” เหยียนอี้ตกตะลึง นึกถึงเมื่อวานโดนกลุ่มสัตว์อสูรวานรไล่ล่าเข่นฆ่าจนยับเยินอยู่นอกหุบเขาค่างปีศาจ ผู้ใดยังมีแก่ใจไปคอยห่วงใยเ้าสัตว์อสูรแสวงหาควันพันลี้ สัตว์อสูรแสวงหาควันพันลี้ ตัวมันเองสติปัญญาเฉลียวฉลาดยิ่ง พอเห็นความดุร้ายของสัตว์อสูรวานรคลั่ง ก็รีบวิ่งแจ้นเผ่นหนีไปเองก่อนแล้ว นึกถึงจ้านอู๋มิ่งที่ใส่เกสรดอกไม้เปลวเพลิงผสมลงไปในพริกป่น คงไม่ยากที่จะหาสัตว์อสูรแสวงหาควันพันลี้
จ้านอู๋มิ่งพาเหยียนเหล่าไปที่ป่าสัตว์อสูร เดินลอดทะลุไปอย่างรวดเร็ว เวลานี้เหยียนเหล่าถึงได้ทราบว่าไฉนสองวันก่อนจึงไล่ล่าจ้านอู๋มิ่งยากลำบากนัก จ้านอู๋มิ่งไม่ได้รับผลกระทบจากสัตว์อสูรในป่าสัตว์อสูรเลยแม้แต่น้อย เขาไม่เคยคิดมาก่อนว่ามูลของสัตว์อสูรจะมีผลอันมหัศจรรย์เช่นนี้ แน่นอน จ้านอู๋มิ่งได้แก้ปัญหาละอองเกสรดอกไม้เปลวเพลิงบนร่างเหยียนเหล่าแล้ว
จ้านอู๋มิ่งมาถึงบริเวณนอกหุบเขาอย่างเงียบเชียบ หาสถานที่ซ่อนเร้นแห่งหนึ่งสำหรับฆ่าเวลาแล้วนั่งลง
เหยียนอี้มิเข้าใจ จ้านอู๋มิ่งวิ่งมาตลอดทาง ไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ ราวกับรู้ตำแหน่งเป้าหมายั้แ่แรกแล้ว อดไม่ได้ที่จะถามว่า “ท่านทราบได้อย่างไรว่าสัตว์อสูรแสวงหาควันพันลี้อยู่ที่นี่?”
จ้านอู๋มิ่งหัวเราะแล้ว “เมื่อวานก่อนที่ข้าจะพบเ้า ข้าก็ทราบตำแหน่งของสัตว์อสูรแสวงหาควันพันลี้แล้ว เพียงแต่ไม่ได้ไปรบกวนมันเท่านั้น สัตว์อสูรแสวงหาควันพันลี้ที่ใกลัวตัวหนึ่ง กลายเป็อาหารของสัตว์อสูรตัวอื่นๆ ได้อย่างง่ายดาย ขอเพียงมันคิดว่าสถานที่หนึ่งยังปลอดภัย เช่นนั้นก่อนที่จะสามารถหาสถานที่ซ่อนตัวแห่งใหม่ มันจะมิมีการเคลื่อนไหว”
“เช่นนั้นแล้วเรายังจะรอสิ่งใด? มันเป็แค่สัตว์อสูรระดับสองเท่านั้น” เหยียนเหล่ายิ่งไม่เข้าใจมากขึ้นแล้ว ในเมื่อทราบตำแหน่งั้แ่เมื่อวาน สัตว์อสูรแสวงหาควันพันลี้ระดับต่ำมาก ความเร็วไม่ได้รวดเร็วเป็พิเศษ ด้วยพลังความสามารถของจ้านอู๋มิ่ง สามารถยื่นมือก็จับได้ในคราเดียว แต่ต้องรอถึงอีกคืนหนึ่ง อีกทั้งยังพามันร่วมทางมาด้วย
จ้านอู๋มิ่งค้อนเหยียนเหล่าคราหนึ่ง “รีบร้อนไปทำไมกัน ถ้าหากเพียงแค่สัตว์อสูรแสวงหาควันพันลี้ระดับสองตัวเดียว ต้องพาเ้ามาด้วยทำไม เมื่อวานข้าไม่จับไปแล้วหรือ”
เหยียนอี้งวยงงสับสน แต่มิกล้าถามขึ้นอีก ได้แต่นั่งเป็เพื่อนอยู่ข้างกายจ้านอู๋มิ่งอย่างอดทน และรออย่างเงียบๆ ในขณะเดียวกันก็เริ่มฟื้นฟูพลังจิติญญาแห่งการต่อสู้เพิ่มขึ้น จ้านอู๋มิ่งมีใบหน้าที่ผ่อนคลายสบายๆ ไม่รีบร้อนแม้แต่น้อย หลับตาลงเพื่อพักผ่อนและก็ไม่ทราบว่ากำลังคิดสิ่งใดอยู่ จวบจนกระทั่งถึงยามเที่ยง เสียงผิวปากแหลมเล็กแ่เบาได้ทำลายความสงบของหุบเขา
จ้านอู๋มิ่งลืมตาขึ้น พึมพำว่า “ช้าจริงๆ”
สีหน้าเหยียนอี้แปรเปลี่ยน แผ่ประสาทััออกไป พบเงาร่างอันทุลักทุเลร่างหนึ่งกำลังเดินจากปากหุบเขาเข้าสู่ป่าสัตว์อสูรอย่างระมัดระวัง น่าประหลาดใจที่เป็จี้เซี่ยงหนาน ในที่สุดเขาก็เข้าใจจุดประสงค์ของจ้านอู๋มิ่งแล้ว
[1] เหล่า ใช้แสดงถึงความสนิทสนม
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้