หวังเจี้ยนหัวกับเซี่ยจื่ออวี้กำลังมองเซี่ยเสี่ยวหลาน โดยที่เธอไม่รู้สึกตัวแม้แต่น้อย!
ในซอยมีคนมากมายขนาดนี้ ถนนจึงถูกปิดทางห้ามผ่านไว้ตั้งนานแล้ว ตอนนี้ขบวนเกียรติยศยังคงดำเนินการฝึกซ้อมรอบสุดท้ายอยู่ รถของมหาวิทยาลัยได้พานักศึกษามาที่นี่เพื่อเตรียมพร้อมั้แ่ 2 นาฬิกา ในขณะที่การแสดงเดินขบวนอย่างเป็ทางการคือเวลา 10 นาฬิกา
หลายชั่วโมงระหว่างนั้นจะปล่อยให้สูญเปล่าไม่ได้อย่างเด็ดขาด ต้องรีบเร่งถือโอกาสซ้อมต่อไป
มีคนะโผ่านโทรโข่ง
“ขบวนเกียรติยศหัวชิงฟังให้ดีล่ะ หลังจากขบวนนำธงชาติ ตราแผ่นดิน และหมายเลขปีเสร็จสิ้น ลำดับถัดไปก็คือขบวนของพวกคุณ! พิธีจะเริ่มอย่างเป็ทางการตอน 10 นาฬิกา ต่อจากขบวนเกียรติยศของหัวชิงก็คือจิงต้า แค่ปฏิบัติตามจังหวะการก้าวเดินและท่าทางที่พวกเราฝึกซ้อมกันในเวลาปกติก็เพียงพอแล้ว ตอนนี้ทุกคนเดินอีกรอบ อย่าเหลาะแหละ คิดว่านี่คือการแสดงจริง...”
ไม่มีใครกล้าเหลาะแหละจริงๆ
ปักกิ่งในเดือนตุลาคม แม้แต่ใบเฟิงในเซียงซาน [1] ก็ถูกย้อมเป็สีแดงแล้ว ไอเย็นของฤดูใบไม้ร่วงเริ่มปรากฏขึ้น และเห็นได้ชัดเจนเป็พิเศษใน่ก่อนรุ่งสาง
ทว่า ณ ตอนนี้เวลานี้ ไม่มีใครรู้สึกหนาวทั้งนั้น
หัวใจของทุกคนร้อนระอุด้วยความกระตือรือร้น
ขบวนเกียรติยศของหัวชิงอยู่ในตำแหน่งเกือบแถวหน้าที่สุด แค่ลองจินตนาการก็รับรู้ถึงความสนใจที่จะได้รับ
ด้วยท่วงท่าของขบวนเกียรติยศ ทำให้ขบวนสวนสนามดูเป็มือสมัครเล่นทันที ทางนี้มีระเบียบเข้มงวด แต่อีกด้านหนึ่งกลับเป็นักศึกษาของหลายสถาบันวิ่งเล่นวุ่นวายเสียงดังจ้อกแจ้กจอแจ เซี่ยเสี่ยวหลานยืนอยู่ริมสุดของแถวแรก ตำแหน่งนี้ดีเหลือเกิน ตอนนั้นอาจารย์ผู้รับผิดชอบของหัวชิงพิจารณาอยู่นานมาก กว่าจะตัดสินใจให้เซี่ยเสี่ยวหลานยืนตำแหน่งนี้ในท้ายที่สุด
ไม่ต้องพูดถึงมุมมองระยะไกล แม้แต่ในทุกมุมมองระยะใกล้ คนที่ยืนอยู่รอบนอกสุดของหัวชิง รับรองได้ว่าจะทำให้ผู้คนตื่นตาตื่นใจอย่างแน่นอน!
ผู้รับผิดชอบของจิงต้ามีสีหน้าหม่นหมองยิ่งนัก นี่มันเ้าเล่ห์เกินไปแล้วหรือเปล่า?
หัวชิงรวบรวมนักศึกษาชายหญิงที่มีความสูงและบุคลิกดีเยี่ยมไร้จุดบกพร่องมาเยอะขนาดนี้จากที่ไหนกัน โดยเฉพาะแถวแรก ทุกคนคือนักศึกษาหญิงใบหน้าจิ้มลิ้มพริ้มพราย เรียบง่ายธรรมชาติไม่เติมแต่งเครื่องสำอาง กลิ่นอายแห่งวัยเยาว์ลอยล่องมา อยู่ในชุดเสื้อกางเกงสีขาว มีชีวิตชีวาแบบนักศึกษาครบถ้วน
ออกจะผิดกฎเล็กน้อยด้วยซ้ำที่นำนักศึกษาใหม่เข้ามาร่วมเดินขยวนเกียรติยศนี้ เป็สถาบันพี่น้องกันทั้งนั้น ใครจะไม่รู้รายละเอียดของอีกฝ่ายเล่า
แต่ผู้รับผิดชอบของจิงต้าจะนึกถึงได้อย่างไร เพื่อรวบรวม ‘ตำแหน่งหน้าตา’ มากมายขนาดนี้ หัวชิงไม่ปล่อยกระทั่งนักศึกษาใหม่รุ่น 84 ที่เพิ่งเข้าเรียนไปด้วยซ้ำ ดึงตัวออกมาจากค่ายฝึกทหารโดยตรง เรียนรู้นิดหน่อยก็สามารถลงสนามได้ทันที
ความตื่นสนามน่ะหรือ?
ไม่มี!
อาจารย์ที่รับผิดชอบล้างสมองพวกเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่า ‘พวกเธอดีเลิศที่สุด ต้องแสดงความสง่างามในฐานะศิษย์หัวชิง ไม่มีใครเดินได้ดีกว่าพวกเธอแล้ว นี่คือความภาคภูมิใจ คือการมอบของขวัญครบรอบ 35 ปีให้แก่ประเทศชาติ!’
ขาเรียวยาวเสมอกัน หลังไม่โก่ง ไหล่ไม่ตก สวมชุดขาวเป็อันหนึ่งอันเดียวกัน ยืนอยู่ตรงนั้นอย่างเรียบร้อย เป็ทัศนียภาพอันแสนเจริญตาเจริญใจเหลือเกิน!
มอบของขวัญให้ชาติ แสดงให้ประชาชนทั่วประเทศเห็นว่านักศึกษารุ่นใหม่มีพลังมากเพียงใด!
อาจารย์ถึงกับซาบซึ้งเองแล้ว เหล่านักศึกษาก็ตื่นเต้นมากเช่นกัน
เซี่ยเสี่ยวหลานรู้ดี ตำแหน่งที่เธอยืนในตอนนี้ ไม่ต้องบรรยายเลยว่าพี่ใหญ่ร่วมห้องอย่างหยางหย่งหงจะรู้สึกอิจฉาขนาดไหน
อิจฉาไม่ใช่ริษยา พี่ใหญ่ขอให้เธอพยายามอย่างเต็มที่ อย่าทำให้สมาชิกห้อง 307 ขายหน้าเชียวล่ะ!
คำพูดนี้เป็ความคาดหวังจากนักศึกษาหญิงสาขาสถาปัตยกรรมที่มีต่อเซี่ยเสี่ยวหลานและหนิงเสวี่ยด้วยเหมือนกัน จำนวนนักศึกษาหญิงในสาขาสถาปัตยกรรมของพวกเธอนั้นไม่มาก แต่คุณภาพสูงทีเดียว รุ่น 84 เลือกนักศึกษาหญิงทั้งหมด 20 กว่าคน สาขาสถาปัตยกรรมได้ส่งตัวแทนไปสองคนแล้วยัง้าอะไรอีก ต้องทราบก่อนว่าสาขาสถาปัตยกรรมมีนักศึกษาหญิงทั้งหมดเพียง 15 คนเท่านั้น!
ในขบวนเกียรติยศยังมีซ่านอวี๋จวินที่เป็ผู้ต้อนรับนักศึกษาใหม่ด้วย
รุ่นพี่ซ่านเข้าร่วมการฝึกซ้อมั้แ่แรกแล้ว ตำแหน่งของเธออยู่รอบนอกเช่นเดียวกัน ทว่าไม่ใช่แถวนอกสุด ดังนั้นรุ่นพี่ซ่านต้องถือป้าย
หลายคนเองก็ต้องถือป้าย ภาพแผ่นเล็กๆ ที่สุดท้ายจะประกอบรวมกันเป็แผนที่ประเทศขนาดใหญ่หนึ่งภาพ
ไม่ว่ายืนแถวแรกหรือไม่ล้วนเป็เกียรติและความภาคภูมิใจเทียบเท่ากัน พวกเขารุ่นนี้ได้พบกับงานเฉลิมฉลองครั้งใหญ่พอดี นับั้แ่งานฉลองใหญ่ครบรอบสิบปีก่อตั้งสาธารณรัฐประชาชนจีนในปี 1959 นี่ถือว่าเป็งานฉลองวันชาติใหญ่ครั้งแรกในรอบ 25 ปีที่ผ่านมา ขบวนเกียรติยศเป็เพียงขบวนนำเท่านั้น สิ่งสำคัญกว่าคือขบวนสวนสนามของกองทัพทหารที่ตามหลัง... งานเฉลิมฉลองยิ่งใหญ่เช่นนี้ ในที่สุดพวกเขาก็ทันมีส่วนร่วมแล้ว ต่อให้ผ่านไปหลายสิบปีหลังจากนี้ ก็จะตื่นเต้นอย่างหาที่เปรียบไม่ได้อยู่ดี!
เซี่ยเสี่ยวหลานเองก็รู้สึกว่ามีบางอย่างกำลังคะนองอยู่ในอก
มันถูกบ่มไว้ั้แ่เริ่มการฝึกทหาร เพาะเมล็ดลงในดิน หยั่งรากแตกยอดระหว่างการฝึก และตอนนี้ดอกตูมของเมล็ดพันธุ์นั้นก็เตรียมพร้อมจะเบ่งบานแล้ว คนที่ยืนข้างเธอไม่ใช่หนิงเสวี่ย แต่เป็สาวงามแห่งศิลปะจากคณะเศรษฐศาสตร์และการจัดการหลิวหัวเจิง นักศึกษาหลิวหัวเจิงมีรูปร่างอรชรอ้อนแอ้น สันทัดในด้านร้องรำทำเพลง และได้รับความนิยมสูงมากในหมู่นักศึกษาใหม่เช่นกัน
หลังซ้อมครบหนึ่งรอบแล้ว ดวงหน้าที่เต็มไปด้วยความศรัทธาของหลิวหัวเจิงกำลังเปล่งประกาย
“โชคดีที่ฉันไม่ได้สอบเข้าวิทยาลัยนาฏศิลป์ ไม่อย่างนั้นคงไม่ได้เข้าร่วมขบวนเกียรติยศเช่นนี้แน่ๆ ...”
เซี่ยเสี่ยวหลานเนื้อแก้มกระตุก เธอไม่อยากเสวนากับพวกเด็กเรียนเก่งเลยจริงๆ คนหนึ่งคือซูจิ้ง รักในการวาดภาพ ความฝันคือวิทยาลัยวิจิตรศิลป์แห่งชาติ ปรากฏว่ามาเรียนในหัวชิง อีกคนคือหลิวหัวเจิง บอกว่าตอนแรกอยากสอบเข้าวิทยาลัยนาฎศิลป์ ปรากฏว่าก็มาเรียนในหัวชิงเหมือนกัน คนอื่นเขามีความสามารถรอบตัวอีกทั้งยังฉลาดเรียน เซี่ยเสี่ยวหลานนับถือคนเ่าั้มากจริงๆ
หลิวหัวเจิงมีนิสัยเปิดเผย มีความช่างเพ้อฝันของศิลปิน เซี่ยเสี่ยวหลานรวมกลุ่มฝึกซ้อมกับเธอเพียง 3 วัน กลับสนิทสนมกันกว่าหนิงเสวี่ยเพื่อนร่วมชั้นเรียนเสียอีก หนิงเสวี่ยไม่ชอบพูดเลยจริงๆ และแน่นอน หลิวหัวเจิงรู้ว่าเซี่ยเสี่ยวหลานทั้งเต้นรำไม่เป็ และก็ไม่ถนัดร้องเพลงด้วย สหายหลิวหัวเจิงจึงค่อนข้างผิดหวัง เธออยากจะดึงเซี่ยเสี่ยวหลานเข้าร่วมคณะวัฒนธรรมของมหาวิทยาลัยด้วยกัน คณะวัฒนธรรมเป็คณะซึ่งจัดตั้งวงโยธวาทิต วงดนตรีพื้นบ้าน วงหีบเพลงชัก กลุ่มร้องประสานเสียง กลุ่มระบำ รวมถึงกลุ่มละครเวทีและอื่นๆ อีกมากมาย น่าเสียดายที่ประธานเซี่ยไม่มีทักษะพวกนี้แม้แต่อย่างเดียว
จะว่าไปในชาติก่อนเธอเองก็เคยทำงานเป็คนเสนอขาย แต่การรับรองดูแลอย่างเหมาห้องร้องคาราโอเกะเป็เพื่อนลูกค้าพวกนี้ ประธานเซี่ยยังไม่เคยเจอเลยจริงๆ หน้าตาเธอไม่สวยนี่นา ดังนั้นลูกค้าจึงไม่เคยเรียกร้องสิ่งนี้จากเธอ
นอกจากนี้เธอไม่มีที่ให้เรียนรู้ด้วยน่ะสิ
แค่ได้เรียนหนังสือก็ยากมากแล้ว น้ายังจำเป็ต้องส่งเธอไปศูนย์เยาวชนเพื่อเรียนรู้ความสามารถพิเศษอีกหรือ?
เซี่ยเสี่ยวหลานไม่ได้โลภถึงขั้นนั้น
การซ้อมครั้งสุดท้ายผ่านไปครั้งแล้วครั้งเล่า ท้องฟ้าเริ่มสว่างแล้วเช่นกัน ด้านขบวนสวนสนามที่กระจัดกระจายถูกเรียกมารวมตัวกัน นักศึกษาจากหลายมหาวิทยาลัยถึงขนาดสับเปลี่ยนช่อดอกไม้ในมือ ทำเอาอาจารย์ผู้รับผิดชอบสับสนวุ่นวายเลยทีเดียว ช่วยรักษาระเบียบวินัยเคร่งครัดอย่างขบวนเกียรติยศบ้างไม่ได้หรือไร!
เซี่ยเสี่ยวหลานและหลิวหัวเจิงจัดหมวกให้กันและกัน ไม่ปฏิเสธเลยว่าเป็วัยรุ่นช่างดียิ่งนัก แม้อดหลับอดนอนทั้งคืนกำลังวังชาก็ยังเต็มเปี่ยม
หลิวหัวเจิงกระทุ้งแขนของเซี่ยเสี่ยวหลาน “เธอดูขบวนตรงนั้นสิ สองคนนั้นมองเธอนานมากแล้ว เป็คนบ้านเดียวกันหรือเปล่า?”
เซี่ยเสี่ยวหลานยืนอยู่ในตำแหน่งริมสุดสะดุดตา โดยส่วนใหญ่จะหันหลังให้ขบวนสวนสนาม อีกด้านของเธอไม่มีคน แน่นอนว่าทำได้แค่หันศีรษะไปคุยกับหลิวหัวเจิงเท่านั้น เมื่อหลิวหัวเจิงทักเื่นี้ขึ้นมา ในที่สุดเธอก็หันไปมอง—คนบ้านเดียวกันอะไรเล่า หวังเจี้ยนหัวกับเซี่ยจื่ออวี้มิใช่รึ!
ทั้งสองคนนี้ก็มาร่วมพิธีเฉลิมฉลองที่จัตุรัสเทียนอันเหมินเหมือนกันหรือ?
เห็นสภาพน่าสงสารนั่นแล้ว น่าเสียดายยิ่งนักที่วิทยาลัยฝึกหัดครูไม่ได้จัดขบวนเกียรติยศ อย่างไรก็ต้องขอหักหาญน้ำใจหวังเจี้ยนหัวกับเซี่ยจื่ออวี้ให้เดินขมขื่นตามหลังเธอแล้วกัน
ไม่ว่าเซี่ยเสี่ยวหลานจะใช้ชีวิตในหัวชิงอย่างดีหรือไม่ แต่เมื่อเทียบกับหวังเจี้ยนหัวและเซี่ยจื่ออวี้—เดี๋ยว ทำไมเธอต้องลดระดับของตัวเองลงเพื่อเปรียบเทียบกับสองคนนี้?
เซี่ยเสี่ยวหลานยิ้มให้ทั้งสองคน โดยไม่แม้แต่จะแสดงท่าทีดูิ่ให้ด้วยซ้ำ
เพื่อนร่วมหอของหวังเจี้ยนหัวร้องว้าวขึ้นมา “คนที่สวยที่สุดของขบวนหัวชิงนั่นน่ะ ผู้หญิงที่เหมือนดาราภาพยนตร์คนนั้นมองมาทางนี้แล้ว!”
เซี่ยจื่ออวี้โมโหจนกัดฟันเกือบแตกละเอียด
หวังเจี้ยนหัวกำลังคิด ทำไมเซี่ยเสี่ยวหลานถึงใช้ชีวิตได้อย่างผ่าเผยขนาดนี้นะ
ก่อนหน้านี้เขายังรู้สึกว่ารุ่นพี่หลิ่วซานมีสองส่วนที่เหมือนเซี่ยเสี่ยวหลาน พอได้เจอกันอีกครั้งในวันนี้ เขาพบว่าความเหมือนสองส่วนของหลิ่วซานก็เป็แค่จินตนาการส่วนบุคคลของเขาเท่านั้น
เซี่ยเสี่ยวหลานมีชีวิตที่ดีเหลือเกิน ราวกับว่าทิ้งห่างจากเขาไปไกลโข!
เชิงอรรถ
[1]香山枫叶 ใบเฟิงในเซียงซาน หมายถึง ใบเมเปิล (ต้นเฟิง) ในเซียงซาน ซึ่งเซียงซานคืออุทยานที่ตั้งอยู่ในเขตไห่เตี้ยนนครปักกิ่ง ทิวทัศน์ต้นเมเปิลที่กลายเป็สีแดงของอุทยานมีชื่อเสียงโด่งดัง ดึงดูดผู้คนมาเที่ยวชมความงดงาม
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้