ไป๋เซี่ยเหอยิ้มหยัน ทั่วสรรพางค์กายแผ่ความเย็นะเืจากในกระดูกไปจนถึงก้นบึ้งหัวใจ
“แทนที่จะเป็ห่วงข้า มิสู้ห่วงตนเองเถิด แม้ว่าเซ่อเจิ้งอ๋องจะรับอันหนิงจวิ้นจู่เข้าจวน นั่นย่อมทำให้เรือนของจวนเซ่อเจิ้งอ๋องมีสตรีเพียงสองคนเท่านั้น แต่เ้าน่ะ...”
ไป๋เซี่ยเหอจงใจส่งเสียงเย้ยหยันในลำคอสองทีก่อนจะกล่าวต่อ “ยังไม่ทันเข้าตำหนักไท่จื่อเลย ในตำหนักก็มีสนมเยอะเสียจนนับด้วยสองมือไม่พอแล้วกระมัง”
บรรยากาศเปลี่ยนเป็อึมครึมทันที
นี่คือเื่ที่ทำให้ไป๋หว่านหนิงเ็ปมาโดยตลอด แม้ว่านางจะได้เป็ไท่จื่อเฟย ทว่าก็มีสนมมากมายอยู่ในตำหนัก แม้ว่านางจะได้เป็ไท่จื่อเฟยที่สูงศักดิ์ ทว่าก็ยังต้องแย่งชิงความโปรดปรานกับสตรีมากมายก่ายกองอยู่ดี!
“แล้วอย่างไร? ตอนนี้ข้าตั้งครรภ์แล้ว นี่คือพระโอรสเพียงหนึ่งเดียวของไท่จื่อ ผู้ใดก็ไม่อาจสั่นคลอนตำแหน่งของข้าได้!”
ขอเพียงนางให้กำเนิดพระโอรสองค์โตของไท่จื่อ ตำแหน่งไท่จื่อเฟยของนางก็จะมั่นคง สำหรับความโปรดปรานนั้น เฮอะ เมื่อมีพระโอรสองค์โตอยู่ข้างกาย เหตุใดจะรั้งไท่จื่อไว้ในเรือนของตนเองไม่ได้เล่า?
ไป๋เซี่ยเหอเหลือบมองหน้าท้องที่แบนราบของไป๋หว่านหนิง
เด็กในครรภ์ของนางไม่มีทางอยู่รอดเกินสามเดือนแน่
“เ้ามั่นใจว่าในครรภ์ของเ้าคือพระโอรสหรือ?”
ไป๋หว่านหนิงทุบโต๊ะหินอย่างแรง ก่อนจะสูดลมหายใจด้วยความขุ่นเคืองราวกับมีไฟสุมทรวง
“ไป๋เซี่ยเหอ เ้าสาปแช่งข้าให้มันน้อยๆ หน่อย ข้าจะบอกเ้าให้นะว่าในครรภ์ของข้าเป็พระโอรส ผู้คนบอกว่ากินเปรี้ยวเป็ชายกินเผ็ดเป็หญิง เ้าดูสิว่าข้าชอบกินของเปรี้ยว เ้าเห็นหรือไม่?”
ไป๋เซี่ยเหอกลอกตา เื่ที่ว่ากินเปรี้ยวเป็ชายกินเผ็ดเป็หญิงมีหลักวิทยาศาสตร์ยอมรับหรือไม่นั้นนางไม่รู้ ในอดีตชาตินางไม่มีแม้แต่คนรัก จึงไม่มีทางที่จะตั้งครรภ์
ทว่ามีอย่างเดียวที่นางแน่ใจ
นั่นคือ ในอดีตชาติหญิงสาวที่กินผัดวุ้นเส้นที่รสชาติเปรี้ยวเผ็ดผสมกันก็ไม่ได้ตั้งครรภ์แฝดกันทุกคน
“แล้วแต่เ้าก็แล้วกัน”
มุมปากของไป๋เซี่ยเหอกระตุก เด็กในครรภ์จะเป็ชายหรือหญิงล้วนแล้วแต่เป็ไปตามเจตนารมณ์ของ์ ยิ่งคาดหวังมากยิ่งผิดหวังมาก!
เมื่อเห็นไป๋เซี่ยเหอหมุนกายจากไปอย่างไม่ยี่หระ ไม่มีแม้กระทั่งความอิจฉาริษยาที่ไป๋หว่านหนิงอยากจะเห็นแม้แต่น้อย
ไป๋หว่านหนิงก็โมโหเสียจนแทบคลั่ง อาศัยอะไรไป๋เซี่ยเหอถึงได้ทำตัวสบายใจเช่นนี้อยู่เสมอ?
“ไป๋เซี่ยเหอ ฝากไว้ก่อนเถิด! ข้าบอกว่าพระโอรสก็ต้องเป็พระโอรส!”
ไป๋หว่านหนิงคว้าผลไม้รสเปรี้ยวยัดใส่ปากอย่างบ้าคลั่ง
นางยัดผลไม้เข้าไปเต็มปากจนกระทั่งทนไม่ไหวต้องคายออกมา
สาวใช้ที่ยืนอยู่ด้านข้างทนมองต่อไปไม่ไหว ขณะที่ลูบหลังให้ไป๋หว่านหนิงก็กล่าวอย่างปวดใจว่า “คุณหนูรองอย่าทานเลย ระวังจะติดคอนะเ้าคะ หากไม่ชอบก็ไม่ต้องทานเถิดเ้าค่ะ”
‘เพียะ!’
ไป๋หว่านหนิงสะบัดฝ่ามือออกไปอย่างโเี้ ก่อนจะะเิโทสะออกมา “เ้าพูดเหลวไหลอะไร? ข้าย่อมชอบกินผลไม้เหล่านี้ ไท่จื่อในอนาคตที่อยู่ในครรภ์ของข้ายิ่งชอบกินเข้าไปใหญ่”
“กินเปรี้ยวเป็ชายกินเผ็ดเป็หญิง กินเปรี้ยวเป็ชายกินเผ็ดเป็หญิง...”
ขณะยัดบ๊วยแห้งเข้าปาก ไป๋หว่านหนิงก็พึมพำกับตนเองอย่างบ้าคลั่ง
นางตั้งครรภ์ก่อนแต่งเสียแล้ว...
หากเื่นี้แพร่งพรายออกไป ชื่อเสียงในฐานะไท่จื่อเฟยของนางย่อมรักษาไว้ไม่ได้แน่ การที่สตรีต้องรักษาตนให้บริสุทธิ์ผุดผ่องถือเป็สิ่งสำคัญมาก และหากจะเป็ฮองเฮาในอนาคตก็ยิ่งไม่อาจปล่อยให้ร่างกายมีมลทินใดๆ ได้
หากคิดจะรักษาชีวิตและตำแหน่งไท่จื่อเฟยเอาไว้
ความหวังเดียวคือก้อนเนื้อที่อยู่ในครรภ์ของนาง
เพราะนี่คือเืเนื้อเชื้อไขของไท่จื่อ ไป๋หว่านหนิงย่อมเข้าใจเื่นี้ดีกว่าผู้ใด
ขอเพียงเด็กคนนี้เป็พระโอรส วันหน้าตำแหน่งไท่จื่อเฟยของนางก็จะมั่นคง ไม่ว่าผู้ใดก็ไม่อาจสั่นคลอนได้!
ภายภาคหน้านางจะได้เป็สตรีที่สูงศักดิ์ที่สุดของแคว้นเทียนเช่อ
ไม่ว่าจะเป็บุตรีของภรรยาเอกแห่งจวนสกุลไป๋หรือชายาเซ่อเจิ้งอ๋องอะไรนั่น ล้วนแล้วแต่เป็เพียงสุนัขผายลมทั้งสิ้น!
เมื่อไป๋เซี่ยเหอกลับถึงกระโจมของตนเอง ฝูเอ๋อร์ก็คะยั้นคะยอให้นางทานผลไม้ “คุณหนูทานผลไม้เสียหน่อย แล้วพักสายตาเถิดเ้าค่ะ”
หลังจากหมอหลวงฉินมาส่งยาด้วยตนเองเมื่อบ่าย ไป๋เซี่ยเหอก็ขอยืมตำราแพทย์ที่หมอหลวงฉินพกมาด้วย เพื่อบรรเทาความเบื่อหน่าย
นางนอนคว่ำหน้าอ่านหนังสืออยู่บนเตียงอย่างตั้งใจ นอกจากกินข้าวแล้วก็ไม่ได้พักผ่อนเลย
“รู้แล้ว เ้ากล่าวเช่นนั้นมาสามรอบแล้ว”
ไป๋เซี่ยเหอวางหนังสือลงแล้วเกาจมูก จากนั้นนางก็จ้องมองใบหน้ารูปไข่ของฝูเอ๋อร์ “หากเ้าจู้จี้จุกจิกเช่นนี้อีก ระวังวันหน้าจะไม่มีชายใดแต่งงานด้วย”
พวงแก้มของฝูเอ๋อร์แดงซ่าน นางถลึงตามองไป๋เซี่ยเหอ “หากแต่งไม่ออก บ่าวก็จะติดตามคุณหนู เกาะคุณหนูกินและดื่มไปชั่วชีวิตเ้าค่ะ”
“อย่าเลย คุณหนูของเ้ายากจน เช่นนั้นข้าจะช่วยให้เ้าแต่งออกไปโดยเร็วก็แล้วกัน”
่เวลาของการนอนพักฟื้นช่างทุกข์ทรมานจริงๆ โชคดีที่ฝูเอ๋อร์สดใสร่าเริง นางจึงมีคนให้หยอกล้อ
ในชาตินี้นางมีคนที่ห่วงใยและสนใจนางอยู่ข้างกาย ดังนั้นอุปนิสัยของนางจึงเปลี่ยนไปค่อนข้างมาก อย่างน้อยก็มีมนุษยธรรมมากกว่าในอดีต
ใบหน้าของฝูเอ๋อร์แดงยิ่งกว่าเดิม นางดันเถียงแพ้คุณหนูเสียนี่ คิดแล้วก็โมโหเสียจนต้องกัดฟันและยืนกระทืบเท้า
“คุณหนู ตัวท่านเองก็ยังไม่ได้ออกเรือน ถ้อยคำหน้าไม่อายเช่นนี้ยังพูดออกมาได้นะเ้าคะ”
“หน้าไม่อายอย่างไร? หรือวันหน้าเ้าไม่คิดจะออกเรือนจริงๆ?”
“บ่าว...บ่าวไม่คุยกับท่านแล้ว!”
หนึ่งนายหนึ่งบ่าวสนทนากันอย่างเบิกบาน แม้แต่กลิ่นหอมอันอบอุ่นที่ลอยอบอวลอยู่ในกระถางธูปยังถูกแต่งแต้มให้หอมหวานยิ่งขึ้น บรรยากาศแห่งความสุขลอยอยู่เต็มห้อง
“ท่านอ๋อง เหตุใดท่านถึงยืนอยู่ตรงนี้เล่า? น้ำค้างยามดึกเย็นจัด ระวังจับไข้นะเ้าคะ”
น้ำเสียงหวานหยาดเยิ้มดังแว่วมาในราตรีอันเงียบสงัด เสียงนั้นไม่ดังไม่เบา ทว่าก็ทำให้คนสองคนภายในกระโจมได้ยินอย่างชัดเจน
ไป๋เซี่ยเหอหันไปมอง บุรุษผู้หนึ่งยืนอยู่ด้านนอกท่ามกลางแสงจันทรา ร่างกายถูกปกคลุมไปด้วยแสงจันทร์จางๆ ราวกับความงดงามบนท้องฟ้ายามราตรีไว้แต่เพียงผู้เดียว
รัศมีสูงส่งเหนือธรรมดาที่แผ่ออกมาจากกระดูก นอกจากฮั่วเยี่ยนไหวแล้วจะยังเป็ผู้ใดได้อีก?
ข้างกายของเขาคือโหยวพิงถิงในชุดกระโปรงยาวสีเขียวอ่อน ผิวพรรณขาวราวกับหิมะ เครื่องหน้าราวกับภาพวาด ร่างกายดูสะโอดสะอง กระโปรงยาวพลิ้วไหวไปตามสายลม ช่วยขับรูปร่างอันบอบบางของนางให้ยิ่งดูเหมือนเทพธิดาผู้อ่อนโยนที่ล่องลอยอยู่กลางสายลม
แม้จะอยู่ห่างกันปานนี้ ทว่าเมื่อไป๋เซี่ยเหอหันหน้าไป สายตาก็ประสานกับเขาพอดิบพอดี
ไป๋เซี่ยเหอใช้มือยันขอบเตียงเพื่อลุกขึ้น ความเ็ปที่รุนแรงราวกับแผ่นหลังฉีกขาดทำให้นางต้องสูดลมหายใจออกมาอย่างอดไม่ได้
เนื่องจากการใช้ยาชาติดต่อกันเป็เวลานานไม่ใช่เื่ดี ดังนั้นวันนี้หมอหลวงฉินจึงเปลี่ยนยาให้ใหม่ เป็ยาที่ไม่มีสรรพคุณทำให้ชา
แม้ว่าการขยับเพียงเล็กน้อยก็ทำให้แผ่นหลังของไป๋เซี่ยเหอเจ็บจี๊ดไปถึงหัวใจ ทว่านางยังคงก้าวเดินมาที่ขอบหน้าต่างด้วยความอดทนก่อนจะดึงผ้าม่านปิด
นางทำเช่นนี้ต่อหน้าฮั่วเยี่ยนไหวโดยไม่ไว้หน้าเขาแม้แต่น้อย
ผ้าม่านได้กั้นคนสองคนออกจากกัน ฮั่วเยี่ยนไหวมุ่นคิ้วก่อนจะกล่าวกับโหยวพิงถิงด้วยน้ำเสียงเ็า “เหตุใดเ้าถึงมาที่นี่?”
ความห่างเหินที่แฝงอยู่ในน้ำเสียงนั้นทำให้ดวงตาของโหยวพิงถิงแดงก่ำ นางก้มหน้าราวกับเด็กที่ทำผิด ก่อนจะยกผ้าคลุมในมือขึ้นด้วยความระมัดระวัง
“นี่คือผ้าคลุมที่ข้าทำให้ท่าน แต่ท่านไม่อยู่ในกระโจม ข้าจึงออกมาตามหาท่าน บังเอิญว่า...”
“เ้าคือจวิ้นจู่ วันหน้าไม่จำเป็ต้องทำงานของบ่าวรับใช้อีก”
ในเมื่อมองไม่เห็นนาง เขาก็ไม่จำเป็ต้องยืนอยู่ตรงนี้อีก ฮั่วเยี่ยนไหวจึงจากไปทันที
โหยวพิงถิงยืนนิ่ง ในมือถือผ้าคลุมค้างอยู่กลางอากาศ...
นางกัดริมฝีปากล่าง ใบหน้าซีดเผือดราวกับกระดาษ นางยืนอยู่ตรงนั้นโดยไม่ขยับเขยื้อนเป็เวลานาน สายตาของนางจ้องมองไปที่นิ้วเรียวทั้งสิบของตนเอง ปลายนิ้วที่ขาวผ่องเต็มไปด้วยรอยเข็มและโลหิตที่แห้งแล้ว
------------------------
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้