ไม่ใช่ว่าซูอินเป็คนคิดเล็กคิดน้อย แต่เพราะชาติก่อนหลิงเมิ่งใช้คะแนนของเธอเพื่อให้ได้เข้าเรียนในโรงเรียนมัธยมลำดับที่หนึ่งแห่งนี้ ส่วนเธอต้องไปเรียนที่โรงเรียนมัธยมลำดับที่แปดซึ่งเป็แหล่งรวมนักเรียนไม่เอาไหน ทั้งที่ใช้ประโยชน์จากเธอขนาดนั้น แต่หลิงเมิ่งกลับไม่ยอมปล่อยเธอไป นอกจากบีบคั้นและปฏิบัติต่อเธอด้วยการกระทำต่างๆ นานาที่บ้าน ยังจ้างพวกอันธพาลที่โรงเรียนมาก่อกวนเธอในโรงเรียน
ในชาตินี้ใช่ว่าอู๋อู๋จะไม่ได้วางแผนให้หลิงเมิ่งเข้าเรียนในโรงเรียนแทนที่เธอ แต่ว่าตอนนี้เธอเป็นักเรียนที่สอบได้อันดับหนึ่ง ผลคะแนนโดดเด่นขนาดนั้น ไม่ใช่สิ่งที่จะมาแทนที่กันได้ง่ายๆ
เธออยากทำให้หลิงเมิ่งรู้ว่าตัวของหลิงเมิ่งจะไม่มีวันได้เจอความสงบสุข
เมื่อชาติก่อนเธอสอบเข้ามหาวิทยาลัยไม่ได้ ชาตินี้ซูอินอยากชดเชยความเสียใจนั้น ไม่เพียงแค่อยากสอบให้ได้ แต่จะตั้งใจเรียนเพื่อสอบเข้ามหาวิทยาลัยชั้นนำ
เมื่อโอกาสมาอยู่ตรงหน้า เธอจึงต้องหาทางป้องกันปัญหาที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต
เธอรักชีวิต อยู่ให้ห่างหลิงเมิ่ง ใช้ชีวิตในโรงเรียนที่ไม่มีเื่กวนใจ
เมื่อได้ยินคำร้องขอจากเธอ ทำให้หวังเหวินชิงเผลอขมวดคิ้ว
เธอมีความคิดค่อนไปในทางขนบธรรมเนียมเดิม เพราะอย่างไรตระกูลหลิงก็เลี้ยงดูซูอินมาถึงสิบหกปี ทว่าไม่นานเธอก็เข้าใจสถานการณ์ของซูอินจากสิ่งที่หลินซิ่วเคยเล่า ตอนที่เรียนในระดับมหาวิทยาลัย เธอหมกมุ่นอยู่กับคณิตศาสตร์ มีเพื่อนไม่กี่คน หลินซิ่วถือเป็หนึ่งในนั้น หากเป็คำพูดของคนอื่นเธอคงไม่สนใจ แต่เมื่อเป็คำพูดของหลินซิ่ว เธอค่อนข้างเชื่อถือ
แต่ว่า…
“มั่นใจหรือว่าคะแนนของเด็กคนนั้นไม่สูงพอที่จะเข้าเรียนที่โรงเรียนมัธยมลำดับที่หนึ่ง เธออาจไม่เคยรู้ว่าการรับสมัครนักเรียนของโรงเรียนมัธยมลำดับที่หนึ่ง จะมีนักเรียนบางส่วนที่คะแนนอาจไม่ผ่านเกณฑ์ แต่หากส่งคะแนนสอบพร้อมกับเงินค่าธรรมเนียมก็สามารถเข้าได้แล้ว ซึ่งนั่นไม่ผิดกฎระเบียบ”
การประกอบกิจการของโรงเรียนจำเป็ต้องมีเงินสนับสนุน โดยเฉพาะโรงเรียนมัธยมลำดับที่หนึ่งที่รองรับห้องเรียนโอลิมปิก
หากรอเงินจัดสรรจากรัฐบาลเพียงอย่างเดียวคงไม่พอ การรับเงินค่าธรรมเนียมเข้าเรียนอาจไม่เป็ไปตามข้อบังคับ แต่หลายปีมานี้ค่าใช้จ่ายต่างๆ ก็มาจากสิ่งนี้โดยปริยาย
ซูอินชะงักไปครู่หนึ่ง เธอนึกถึงท่าทางของหลิงเมิ่งในวันสอบขึ้นมัธยมปลายก่อนจะพยักหน้าด้วยความมั่นใจ
“หนูมั่นใจค่ะ”
เมื่อเห็นสายตาเคลือบแคลงของหวังเหวินชิง เธอจึงอธิบาย “ไม่ทราบว่าคุณครูหวังยังจำเธอได้ไหม วันนั้นเธอสอบที่สนามสอบเดียวกับหนู เธอเป็คนที่…ส่งกระดาษคำตอบก่อนหนู”
“เป็เธอเองหรือ”
เด็กที่เรอและผายลมจนในห้องมีกลิ่นเหม็น ส่งเสียงรบกวนคนอื่นในห้องสอบ ผ่านไปครึ่งชั่วโมงก็ส่งกระดาษคำตอบ ส่วนที่เติมคำในช่องว่างและโจทย์ข้อใหญ่ๆ ถูกเว้นว่างทั้งหมด
คนแปลกประหลาดแบบนั้น ต่อให้หวังเหวินชิงอยากลืมก็ลืมไม่ลง!
เด็กนักเรียนที่ปกติมีผลการเรียนดี แม้จะเป็วิชาเฉพาะ แต่อย่างน้อยวิชาภาษาจีนก็ควรทำได้ราวๆ 110 คะแนน คณิตศาสตร์ราวๆ 80 คะแนน ส่วนมากจะไม่ค่อยมีใครที่ทำไม่ได้เลย นักเรียนที่มีผลการเรียนแย่ การสอบครั้งใหญ่เช่นนี้ต่อให้ไข้ขึ้นสูงถึง 40 องศาก็คงไม่มีทางส่งกระดาษเปล่าอย่างแน่นอน
แต่ว่านักเรียนที่เข้าสอบคนนั้น จากประสบการณ์การสอนคณิตศาสตร์มาหลายปี บอกได้เลยว่าเด็กคนนั้นต่อให้จ่ายค่าธรรมเนียมเข้าเรียนก็ไม่ผ่านการคัดเลือกอย่างแน่นอน
สำหรับความสัมพันธ์ที่ซูอินกล่าวมา หวังเหวินชิงแทบจะไม่ได้คำนึงถึงเลย
หากเป็นักเรียนคนอื่นที่มีผลการเรียนดี ทางโรงเรียนคงพิจารณาดูอีกที แต่ซูอินนั้นแตกต่าง เพราะสอบได้คะแนนสูงถึง 575 คะแนน มองข้ามโจทย์ข้อสอบที่ยากในปีนี้ ต่อให้เป็ปีที่ผ่านมาซึ่งข้อสอบไม่ยากเท่า นักเรียนที่ได้อันดับหนึ่งก็ไม่มีใครทำคะแนนได้สูงขนาดนี้
คะแนนสูงขนาดที่ทำให้คุณครูใหญ่ตื่นใ ก่อนที่เธอจะมา ทางโรงเรียนได้กำชับเป็พิเศษว่า หากซูอิน้าสิ่งใดที่ไม่มากจนเกินไป ทางโรงเรียนสามารถตอบสนองต่อคำขอนั้น
ตรรกะในการเรียนคณิตศาสตร์โดยทั่วไปค่อนข้างใช้ความละเอียด ใน่เวลาสั้นๆ ความเป็ไปได้หลายอย่างผุดขึ้นในหัวของหวังเหวินชิง เมื่อมั่นใจว่าไม่น่าจะมีปัญหา เธอจึงพยักหน้าด้วยความเต็มใจ
“ได้สิ”
“ได้หรือคะ”
การตอบรับด้วยความมั่นใจขนาดนี้ทำให้ซูอินใเล็กน้อย
ตระกูลหลิงเป็อันดับต้นๆ ของเมืองผิงเลยนะ
เมื่อเงยขึ้นมองเห็นสีหน้ามุ่งมั่นของคุณครูหวัง มีบางคนที่ทำให้เธอรู้สึกนับถือทั้งภายในและภายนอก ซึ่งสำหรับคุณครูหวัง เธอรู้สึกเช่นนั้น
ซูอินอดไม่ได้ที่จะเชื่อว่า มัธยมปลายสามปีต่อจากนี้หลิงเมิ่งจะไม่มีทางเข้าเรียนที่เดียวกันกับเธอ
เมื่อรู้เช่นนี้ทำให้ในใจเธอรู้สึกดีขึ้น ริมฝีปากเผยยิ้ม น้ำเสียงหวานขึ้นกว่าเดิม “ถ้างั้นก็ขอขอบคุณคุณครูหวังนะคะ หวังว่าสามปีหลังจากนี้หนูจะสามารถได้รับความรู้เพิ่มขึ้นหลายอย่างจากการชี้แนะของคุณครู การสอบขึ้นมหาวิทยาลัยในอนาคตต้องได้รับคะแนนดีอย่างแน่นอน”
การที่โรงเรียนมัธยมลำดับที่หนึ่งทำให้เธอได้ขนาดนี้ ส่งผลให้ซูอินแสดงท่าทีอย่างเป็ธรรมชาติ
แม้ว่าเธอจะฉวยโอกาสในการทำคะแนนเพื่อสอบเข้ามัธยมปลาย การมีอยู่ของน้ำพุแห่งจิติญญาในห้วงมิติก็ทำให้เธอมีความมั่นใจในตนเอง การสอบเข้ามหาวิทยาลัยในอีกสามปีข้างหน้า เธอจะต้องทำให้ตนเองแข็งแกร่งมากขึ้น และส่งกระดาษคำตอบที่ทำให้ทุกคนพึงพอใจ
ความคิดต่างๆ ผุดขึ้นมาในหัว ทำให้เธอมีแรงจูงใจเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
เธอเป็เด็กฉลาดและมีเหตุผล หวังเหวินชิงพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ “ฉันจะรอนะ”
ครูและศิษย์ในอนาคตจับมือและมองหน้ากัน
เมื่อการสนทนาจบลง ในตอนที่หลินซิ่วกำลังแสดงความยินดี ซูอินกรอกหนังสือยินยอมเข้าศึกษาต่อจนเสร็จและส่งให้เธอ ก่อนจะออกจากห้องสำนักงานพร้อมกับอวี๋ฉิงที่กรอกเอกสารเสร็จแล้วเช่นกัน
เมื่อเดินมาถึงหน้าประตูโรงเรียน คุณหนูอวี๋อดไม่ได้ที่จะบอกข้อมูลกับซูอิน
“ซูอิน รู้ไหมว่าคุณครูหวังคนนี้เก่งมาก วิทยานิพนธ์ของเธอได้เข้า SCI ด้วย ไม่เพียงเรียนเก่ง การสอนก็ยอดเยี่ยมมาก เหมือนว่าเธอคงศึกษามาอย่างลึกซึ้ง ทำให้สอนได้ละเอียด นอกจากทำหน้าที่ดูแลห้องเรียนโอลิมปิกแล้ว ยังดูแลห้องเรียนทดลองด้วย คะแนนของฉันเข้าห้องเรียนทดลองได้พอดี หลายวันมานี้พ่อฉันใช้สารพัดวิธีเชิญผู้ดูแลโรงเรียนมัธยมลำดับที่หนึ่งมาร่วมดื่มในวันนี้ ถือโอกาสตีเหล็กตอนที่ยังร้อน[1]เพื่อยัดฉันเข้าห้องเรียนที่หล่อนดูแล”
ซูอินฟังพลางพยักหน้า ก่อนจะเอ่ยด้วยความสงสัย “SCI คืออะไร”
คำถามนี้ยังคงทำให้คุณหนูอวี๋รักษาความมั่นคงไว้ได้ เธอเอ่ยด้วยท่าทีเย่อหยิ่ง “เหมือนกับว่าจะเป็คลังวิทยานิพนธ์ของต่างประเทศ ไม่ต้องใส่ใจส่วนนั้นมากก็ได้ อย่างไรเสียก็รู้สึกว่ามันเยี่ยมมาก”
หากคุณหนูอวี๋บอกว่าเยี่ยมก็คงใช่แหละ
ซูอินแสดงท่าทีเห็นด้วย ก่อนจะเอ่ยด้วยความชื่นชม “ได้ยินมานานแล้วว่าห้องโอลิมปิกของโรงเรียนมัธยมลำดับที่หนึ่งเก่งมาก แค่คุณครูหวังคนเดียวยังเก่งขนาดนี้ ดีนะที่ฉันปฏิเสธโรงเรียนมัธยมปลายที่ให้ทุนการศึกษาเ่าั้ไปหมดแล้ว”
“เงินนั่นจะไปสำคัญอะไร สภาพแวดล้อมการเรียนที่ดีต่างหากสำคัญที่สุด พอพูดถึงเื่เงิน ครั้งนี้ฉันสอบได้คะแนนดี คุณพ่อให้เงินมา ฉันเลยอยากแบ่งส่วนหนึ่งไปลงในกองทุนเงินบริจาคเพื่อนักเรียนยากจนของเธอ ในตอนนี้ทีมจัดตั้งกองทุนเพื่อบริจาคให้นักเรียนยากจนดำเนินการแล้ว เธออยากเข้าไปดูสักหน่อยไหม”
“ตอนนี้หรือ”
ซูอินชะงักไปครู่หนึ่ง “รอก่อนได้ไหม ฉันอยากรอดูก่อน รอเหวินเหวินก่อนได้ไหม”
“ได้สิ” จากนั้นคุณหนูใหญ่ก็เอามือจับหน้าผากของตนเอง “เมื่อเช้าตอนโทรศัพท์หาเธอ มัวแต่พูดเื่น้องชายของเธอจนลืมบอกไปเลย”
“เธอตรวจสอบเจอแล้วหรือ”
“ใช่” อวี๋ฉิงหยิบโทรศัพท์มือถือออกมา “เหวินเหวินกลับไปที่บ้านของคุณยายแล้ว ่นี้อาศัยอยู่ที่นั่น หมู่บ้านที่คุณยายของเหวินเหวินอยู่ใกล้กับหมู่บ้านของคุณปู่ฉัน นี่เบอร์โทรศัพท์”
ซูอินหยิบโทรศัพท์มือถือของตนเองและบันทึกเบอร์ลงในรายชื่อ ในตอนที่กำลังจะโทร จู่ๆ มีเสียงบางอย่างดังขึ้น เมื่อเงยหน้ามองก็พบว่าเป็สวีเหวินเหวิน
นอกจากเธอแล้ว ยังมีแม่เฒ่าผมขาวใบหน้าเหี่ยวย่นอีกคนหนึ่งที่กำลังฉุดกระชากแขนเสื้อของเธอ แม่เฒ่าน้ำเสียงแหบกำลังก่นด่าด้วยคำพูดต่างๆ ที่ไม่รื่นหู
วันนี้เป็วันกรอกหนังสือยินยอมเข้าศึกษาต่อ ทำให้หน้าโรงเรียนมีผู้คนเดินขวักไขว่ เสียงทะเลาะวิวาทดึงดูดความสนใจของผู้คนอย่างรวดเร็ว
สวีเหวินเหวินที่เดิมเป็คนขี้ขลาดอยู่แล้ว เมื่อถูกคุณย่าที่ตัวเองหวาดกลัวมาั้แ่เด็กขวางอยู่หน้าประตูโรงเรียน กระชากแขนเสื้อและะโด่าทอ ทำให้เธอใกลัวจนลืมต่อต้าน
ถึงเธอจะลืม แต่เพื่อนของเธอสองคนนี้ไม่มีทางลืม
ยังไม่ทันที่ซูอินจะเอ่ยปากถึงสถานการณ์ที่เกิดขึ้น อวี๋ฉิงก็คว้าแขนของเธอและรีบเดินเข้าไปหาเ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยที่หน้าประตูโรงเรียน
“คุณลุงยามคะ คนที่อยู่ข้างนอกเป็เพื่อนร่วมห้องของพวกเราค่ะ วันนี้มารับหนังสือยินยอมเข้าศึกษาต่อ คุณลุงคงเห็นแล้วใช่ไหมคะ ตอนนี้เธอถูกใครไม่รู้ฉุดกระชาก รบกวนคุณลุงช่วยไปจัดการให้หน่อยได้ไหมคะ”
-------------------------------------------------------------------------
[1] ตีเหล็กตอนที่ยังร้อน หมายถึง รีบตัดสินใจทำเมื่อมีโอกาส เปรียบได้กับสำนวนไทย น้ำขึ้นให้รีบตัก