อูิหลิงก้าวไปข้างหน้าเพื่อทักทายจิ่วฟางเทียนฉี “คุณชายจิ่วฟางพูดจาน่าขันแล้ว”
“น่าขันอะไรกัน แค่มองก็รู้ว่าเ้ากับพี่หลิ่วเป็คู่์สรรสร้าง ข้า... อื้อๆ ...”
พูดยังไม่ทันจบก็ถูกยัดขนมดอกสาลี่ใส่ปาก หลิ่วเฉิงเฟิงรีบลากจิ่วฟางเทียนฉีเข้าไปในเรือนพร้อมเอ่ยกับเขาว่า
“พี่จิ่วฟาง ขี่ม้ามาตั้งหลายวันไม่เหนื่อยบ้างหรือ เข้าไปหาอะไรกินกันเถอะ”
เขาขยิบตาให้อีกฝ่ายอย่างแข็งขัน จิ่วฟางเทียนฉีรีบเม้มปากแล้วเดินตามเข้าไปทันที
เมื่อทุกคนนั่งลงกันหมด หลิ่วไป๋เจ๋อที่เงียบอยู่นานก็เอ่ยปากขึ้น
“เพื่อความสะดวก ่นี้แม่นางอูและพี่จิ่วฟางก็อยู่พักที่ชิงหลิ่วถังก่อนเถิด”
ทั้งสองไม่ได้โต้แย้ง อูิหลิงที่ในใจปรารถนาจะได้เห็นหลิ่วไป๋เจ๋อทุกเมื่อเชื่อวันจำเป็ต้องสงวนท่าที ทำตัวตามปกติให้เหมือนที่ผ่านมา แม้ว่าตอนนี้จะไม่ใช่เวลามาสนใจเื่ความรัก แต่น้องชายของนางก็พยายามอย่างหนักที่จะทำให้นางและเขาได้พบกัน ดังนั้นนางจึงไม่ควรทำให้เขาผิดหวัง การเดินทางมายังเมืองหลวงครั้งนี้ นอกเหนือจากคนขับรถม้าและคนที่นำยารักษามาจากหุบเขา ก็มีนางเพียงคนเดียวที่ติดตามมา นางจึงต้องระมัดระวังตัวอยู่ตลอด ณ ที่แห่งนี้ มีเพียงชิงหลิ่วถังที่ถือว่าเหมาะสมสำหรับพักแรม
ทางด้านจิ่วฟางเทียนฉียิ่งไม่ต้องพูดถึง แม้จะไม่ได้มาที่เฟิ่งเทียนบ่อยนัก แต่ทุกครั้งที่มาเขาก็มักจะพำนักที่ชิงหลิ่วถัง ครั้งนี้ก็เช่นเดียวกัน
“ิหลิงมีคำถาม ไม่ทราบว่าคุณชายจิ่วฟางจะช่วยตอบได้หรือไม่”
จิ่วฟางเทียนฉีพยักหน้า “พูดมาเถิด”
“ตอนนี้ป่าใต้พิภพกำลังตกอยู่ในวิกฤติใช่ไหมเ้าคะ”
จิ่วฟางเทียนฉีเปลี่ยนจากน้ำเสียงขี้เล่นเป็จริงจัง “คนของตระกูลจิ่วฟางจะนำเื่แบบนี้มาล้อเล่นได้อย่างไร”
อูิหลิงรีบเอ่ย “คุณชายจิ่วฟางโปรดอย่าถือโทษ เป็ิหลิงเองที่กังวลมากเกินไป”
จิ่วฟางเทียนฉีโบกมือแล้วพูดว่า “ที่เ้าสงสัยก็ถือว่าสมควรแล้วล่ะ ปีนี้ต่างจากปีก่อนๆ มาก ไม่ต้องพูดถึงเื่ที่สัตว์ร้ายรุกรานบ่อยครั้ง แต่ละครั้งยังมีปริมาณที่มากขึ้นอีก เหตุการณ์ก่อนหน้านี้ก็เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน ตอนนี้การปะทะถูกต้อนมาเกือบถึงเทือกเขาจู่เสีย ห่างไปทางเหนือเพียงห้าสิบลี้แล้ว หากยังเป็เช่นนี้ต่อไป พวกสัตว์ร้ายคงรุกรานผ่านเทือกเขาจู่เสียในไม่ช้า”
“เป็เช่นนี้ได้อย่างไร” แม้ว่าหลิ่วเฉิงเฟิงจะยังเด็ก แต่ก็รู้เื่เกี่ยวกับป่าใต้พิภพไม่น้อย เขารู้ดีว่าหากสัตว์ร้ายรุกรานผ่านเทือกเขาจู่เสียมาได้ พวกมันก็จะมุ่งตรงเข้าสู่ดินแดนเจ๋อและคงไม่มีอุปสรรคใดมาขวางได้
ตระกูลจิ่วฟางประจำการอยู่ที่เทือกเขาจู่เสีย เป็ทั้งกำแพงป้องกันทางธรรมชาติและที่มนุษย์สร้างขึ้นมาั้แ่โบราณ เพราะได้รับความไว้วางใจให้ดูแลเทือกเขาจู่เสียจนกลายเป็หน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบ นี่จึงเป็เพียงสิ่งเดียวที่คอยป้องกันเหล่าสัตว์ร้าย หากกำแพงนั้นพังทลายก็มีแต่ต้องพบเจอกับหายนะ
หลิ่วไป๋เจ๋อรู้ว่าหากทุกคนยังพูดคุยเื่นี้ต่อไปก็มีแต่จะทำให้ปวดหัว จึงเอ่ยขึ้น
“เดินทางมานาน เ้าสองคนควรกินอะไรสักหน่อยแล้วพักผ่อนก่อน สามวันหลังจากนี้พวกเราจะไปคฤหาสน์อวิ๋นหลานซานด้วยกัน เมื่อถึงเวลานั้นจะได้รู้ว่าควรจัดการกับปัญหานี้อย่างไรกันดี”
จิ่วฟางเทียนฉีหัวเราะเบาๆ “พี่หลิ่วพูดจามีเหตุผล ไม่ว่าจะพูดอะไรไปตอนนี้ก็มีแต่จะหาเื่ขุ่นข้องใจให้ตนเอง รถวิ่งมาถึงหน้าูเาย่อมมีทางออก[1] ... เอาล่ะ ช่างเถิด” จิ่วฟางเทียนฉีกล่าว ก่อนจะกวักมือให้หลิ่วเฉิงเฟิงพร้อมกับเอ่ยว่า
“ไปกันเถอะ เฉิงเฟิงพาพี่ไปหาอะไรกินหน่อยสิ ่หลายเดือนที่ผ่านมานี้พ่อครัวของพวกเ้าได้เพิ่มอาหารจานใหม่บ้างหรือไม่ พาข้าไปดูหน่อย”
จิ่วฟางเทียนฉีดึงหลิ่วเฉิงเฟิงออกมาจากโถงรับรองหลัก ยามนี้ด้านในจึงเหลือเพียงอูิหลิงและหลิ่วไป๋เจ๋อ
จู่ๆ อูิหลิงก็รู้สึกว่าบรรยากาศรอบข้างเริ่มร้อนผ่าว นางกำลังจะลุกขึ้นและจากไป คิดไม่ถึงว่าหลิ่วไป๋เจ๋อจะพูดอะไรขึ้นมา
“ิโยวสบายดีหรือไม่”
ิหลิงผุดรอยยิ้มในดวงตา “เขาสบายดีมากเ้าค่ะ อีกทั้งอารมณ์ก็สงบลงมากั้แ่กลับไปยังหุบเขาครั้งล่าสุด ในวันปกติเขาจะฝึกฝนอย่างขันแข็ง ทำให้ข้าและท่านพี่ใหญ่ประหลาดใจไม่น้อย”
หลิ่วไป๋เจ๋อขมวดคิ้ว เอ่ยถามด้วยความเป็กังวลเล็กน้อย “นั่น... ไม่ใช่นิสัยของเขา”
อูิหลิงเอ่ย “หรือบางทีเขาอาจจะโตขึ้นแล้ว”
หลิ่วไป๋เจ๋อไม่ได้ถามอะไรอีก
อูิหลิงจึงลุกเดินออกไป ทันใดนั้นหลิ่วไป๋เจ๋อก็พูดไล่หลังมาว่า “ในเมื่อเ้ามาถึงที่นี่แล้ว จงอยู่อย่างสบายใจ ไม่ต้องคิดเื่นี้มากเกินไป”
เมื่อได้ยินคำพูดนั้น ร่างกายของอูิหลิงก็สั่นเทา ด้านหลังของนางยังมีเขายืนอยู่ ไม่ขยับไปไหน
“เ้าพูดเช่นนี้เพราะิโยวร้องขอ หรือ...” ิหลิงไม่อาจควบคุมเสียง เสียงของนางเจือสะอื้นเล็กน้อย “หรือเ้าแค่เป็ห่วงข้า”
ความในใจของอูิหลิง หลิ่วไป๋เจ๋อรู้ชัดเจนอยู่แล้ว ทุกคนต่างพยายามจับคู่พวกเขา ไม่ใช่ว่าไม่รู้ และไม่ใช่ว่าไม่ยินดี แต่ว่ามีเื่ราวมากมายและมีหลายปัจจัยที่ทำให้เขาไม่แน่ใจ เขาจะสามารถดูแลหญิงสาวผู้นี้ไปจนวาระสุดท้ายได้หรือไม่ ความไม่สบายใจในสิ่งนั้นทำให้หลิ่วไป๋เจ๋อไม่กล้าก้าวเข้าไปในเื่นี้
เพียงแต่ว่าตอนนี้เขาอยากจะลองดู... เพื่อิหลิง เพื่อตัวเขาเอง และเพื่อิโยว
“ข้าแค่เป็ห่วงเ้า”
อูิหลิงยกมือขึ้นปิดปาก นางกลัวว่าตนเองจะเปล่งเสียงร้องไห้ออกมา ร้องไห้ด้วยความดีใจ นางควบคุมตนเองไม่ได้เลย
“เ้า… พูดอะไร”
หลิ่วไป๋เจ๋อเดินไปหาอีกฝ่าย จับให้หันมาเผชิญหน้า ก่อนจะใช้ผ้าเช็ดหน้าปาดน้ำตาที่พวงแก้มของนาง
“หากเ้าไม่รังเกียจ ข้าจะไม่ทำให้เ้าผิดหวังแน่นอน”
นางไม่ได้ฟังผิดใช่หรือไม่ แต่... เพราะเหตุใดกัน
จู่ๆ หลิ่วไป๋เจ๋อก็เผยความในใจ นั่นทำให้นางทำตัวไม่ถูกอยู่บ้าง เหมือนตกอยู่ในห้วงความฝัน นางอยากรู้ถึงเหตุผล แต่กลับกลัวที่จะได้ยิน สิ่งที่กลัวที่สุดคือหลิ่วไป๋เจ๋อไม่ได้ชอบนางจริงๆ ทว่ายอมรับความรู้สึกของนางเพียงเพราะเหตุผลบางอย่าง
“ข้าไม่รู้ว่าความชอบคืออะไร แค่อยากจะปกป้องเ้าไปตลอดชีวิตก็เท่านั้น”
อูิหลิงยิ้มทั้งน้ำตา ชายหนุ่มตรงหน้านาง... ไม่สิควรจะเรียกว่าคุณชาย ช่างสว่างเจิดจ้าในครรลองสายตาของนาง ความสุขที่ไม่อาจปกปิดได้ทำให้อูิหลิงโผเข้าไปในอ้อมแขนของเขา
ช่างมันเถอะ ชอบหรือไม่ชอบ รักหรือไม่รัก ไม่จำเป็ต้องไถ่ถาม แค่คำพูดประโยคนี้ของเขาก็เพียงพอแล้ว
ด้านนอกประตู จิ่วฟางเทียนฉีและหลิ่วเฉิงเฟิงต่างถือตีนไก่คนละชิ้น พร้อมกับเดินกัดมันไปด้วย ในมือของหลิ่วเฉิงเฟิงก็ถือมาอีกเป็จาน พวกเขา้านำไปแบ่งให้หลิ่วไป๋เจ๋อ เพียงแต่ก่อนที่ทั้งสองจะข้ามธรณีประตู หลิ่วเฉิงเฟิงก็ถูกจิ่วฟางเทียนฉีลากกลับออกมาก่อน จานตีนไก่เกือบจะหล่นลงพื้น หากเขาไม่มีสายตาที่เฉียบแหลมและมือที่ว่องไว อาหารแสนอร่อยนี้คงไม่เหลือให้กินแล้ว
เขาบ่นจิ่วฟางเทียนฉีด้วยความร้อนใจว่า “พี่จิ่วฟาง ท่านทำอะไรกันเนี่ย”
จิ่วฟางเทียนฉีรีบปิดปากอีกฝ่าย ก่อนจะชี้ไปทางห้องโถงใหญ่ “เ้าก็ดูสิ!”
หลิ่วเฉิงเฟิงเงยหน้ามองเข้าไป จากนั้นก็รีบหดคอกลับมา ดวงตาเบิกกว้าง แล้วเอ่ยด้วยความประหลาดใจว่า “เพิ่งกินตีนไก่ไปแค่ชิ้นเดียว ข้าพลาดอะไรไปอย่างนั้นหรือ รู้สึกเหมือนสถานการณ์ช่างไปไกลเหลือเกิน”
จิ่วฟางเทียนฉีปิดปากเขาก่อนจะดึงออกมาด้านนอก ทั้งสองเดินมาถึงสวนหลังบ้าน เข้าไปนั่งในศาลาและแทะตีนไก่ต่อ
“เห้อ” จิ่วฟางเทียนฉีถอนหายใจ
หลิ่วเฉิงเฟิงเหลือบมอง ใช้ผ้าเช็ดหน้าเช็ดมือที่มันเยิ้มทั้งสองข้างแล้วเอ่ยว่า
“พี่จิ่วฟาง ท่านถอนหายใจหลายครั้งแล้วนะ ข้านับอย่างละเอียดถี่ถ้วน หากรวมกับเมื่อครู่ก็เป็ครั้งที่สามสิบสามแล้ว”
จิ่วฟางเทียนฉียื่นมือออกไปดีดมะกอกคนเด็กกว่าหนึ่งที “เ้าจะไปเข้าใจอะไร ข้ากำลังทอดถอนใจให้กับชีวิต ์ช่างไม่ยุติธรรม เอาแต่มอบสิ่งดีๆ ให้เ้าหลิ่วไป๋เจ๋อ ทั้งที่ใบหน้าแสนเ็า แต่หญิงสาวมากมายกลับชื่นชอบเขา ทว่าข้าที่เป็หนุ่มรูปหล่อกลับไม่ใครเหลียวแล”
หลิ่วเฉิงเฟิงยกมือขึ้นจับหน้าผาก แอบนึกรังเกียจที่อีกคนััหน้าของตนโดยไม่ได้เช็ดมือหลังจากแทะตีนไก่มา
“หลิ่วไป๋เจ๋ออยู่กับแม่นางอูแล้วไม่ดีหรือ หลายๆ คนต่างก็คิดว่าพวกเขาเป็คู่ที่เหมาะสม อีกอย่าง ท่านจะไปเทียบอะไรกับชายผู้นั้นได้ ไม่ต้องพูดถึงเื่อื่น แค่เื่หน้าตา ข้าก็ยังไม่เคยเจอใครเทียบเขาได้เลย”
หลังจากพูดจบก็แตะแก้มของตนเอง ทั้งๆ ที่มีบิดาคนเดียวกัน เหตุใดถึงได้แตกต่างกันขนาดนี้นะ
เมื่อเอ่ยถึงรูปลักษณ์ของคนคนนี้ แม้ว่าหลิ่วเฉิงเฟิงจะไม่ค่อยเต็มใจ แต่อย่างไรนั่นก็คือความจริง
“เ้าเคยพูดแบบนั้นกับท่านพี่ของเ้าหรือไม่”
“ฮึ เขาไม่ใช่ท่านพี่ของข้าสักหน่อย!”
จิ่วฟางเทียนฉีหัวเราะเบาๆ เมื่อรู้ว่าเด็กตรงหน้าเริ่มแสดงท่าทีหยิ่งผยองอีกครั้ง
“ข้าไม่เคยได้ยินเ้าเรียกเขาว่าท่านพี่เลย เหตุใดถึงไม่ยอมรับว่าเขาเป็พี่ชาย เห็นกันอยู่ว่าเขาเป็พี่ของเ้า ทั้งยังเกิดมาจากบิดาคนเดียวกัน”
หลิ่วเฉิงเฟิงะโขึ้นจากม้านั่งหิน หน้าตาบูดบึ้งและจ้องมองไปยังจิ่วฟางเทียนฉี
“เอาล่ะๆ ข้าไม่พูดแล้ว พอใจหรือไม่” จิ่วฟางเทียนฉีรู้ว่าคนตรงข้ามจะโกรธหากเขายังพูดต่อ ดังนั้นควรหยุดพูดจะดีกว่า
แต่เมื่อคิดอยู่ครู่หนึ่งก็ถามออกไปอีกว่า “เ้ารู้หรือไม่ว่ามารดาผู้ให้กำเนิดหลิ่วไป๋เจ๋อหน้าตาเป็อย่างไร”
หัวข้อสนทนายังคงวนกลับมาที่หลิ่วไป๋เจ๋อ หลิ่วเฉิงเฟิงจึงพูดด้วยความโกรธ “ข้าจะไปรู้หรือ แม้แต่หลิ่วไป๋เจ๋อเองก็ไม่เคยเห็น แล้วข้าจะไปรู้ได้อย่างไรล่ะ!”
จิ่วฟางเทียนฉีพยักหน้าและคิดในใจ “ก็จริง”
ทว่าหลิ่วเฉิงเฟิงกลับกล่าวขึ้นอีกครั้ง “ก่อนหน้านี้ข้าได้ยินท่านพ่อพูดว่า หลิวไป๋เจ๋อเหมือนมารดาของเขามาก นางก็มีเส้นผมสีเงินซึ่งหายากเช่นกัน”
“ใช่! ผมสีเงิน” จิ่วฟางเทียนฉีเอ่ยออกมาพร้อมอารมณ์ที่เต็มเปี่ยม “ผมสีเงินเป็สัญลักษณ์ของนักบุญแห่งเผ่ามู่”
“นักบุญแห่งตระกูลมู่หรือ” แม้ว่าหลิ่วเฉิงเฟิงจะรู้ว่าสกุลมารดาของหลิ่วไป๋เจ๋อคือมู่ แต่รายละเอียดอื่นก็ทราบเพียงน้อยนิด
จิ่วฟางเทียนฉีส่ายหัวแล้วพูดว่า “ช่างเถอะ แม้ข้าจะบอก เ้าก็คงไม่รู้จัก” เขาชี้จานกระเบื้องที่ว่างเปล่าบนโต๊ะแล้วพูดว่า “ไป ไปเอามาอีกจาน ข้ายังกินไม่อิ่มเลย”
“เ้าเป็หมูหรืออย่างไรกัน”
หลิ่วเฉิงเฟิงจำได้ว่าเขาเพิ่งกินไปแค่สองชิ้นเท่านั้น เมื่อครู่ในจานยังเหลืออยู่ตั้งเจ็ดแปดชิ้นชัดๆ
จิ่วฟางเทียนฉีเอ่ยเร่ง “ไปเร็วๆ ข้าไม่ได้กินอะไรมาสองวันสองคืนแล้วนะ”
หลิ่วเฉิงเฟิงอดรนทนไม่ไหวกับท่าทีที่ ‘น่าเวทนา’ ของอีกฝ่าย จึงหันหลังกลับไปบอกแม่ครัวให้ทำตีนไก่ตุ๋นอีกหนึ่งหม้อ
จิ่วฟางเทียนฉีทอดสายตามองออกไปไกล แววตาที่ ‘น่าเวทนา’ เปลี่ยนเป็หยอกล้อ “ว่าอย่างไร พะเน้าพะนอแม่นางิหลิงเสร็จแล้วหรือ”
หลิ่วไป๋เจ๋อที่ไม่รู้ว่าเดินมาั้แ่เมื่อใดนั่งลงตรงหน้าเขา
“ข้าไม่รู้ว่าที่ทำอยู่นี้ถูกหรือไม่”
จิ่วฟางเทียนฉีชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนจะหัวเราะออกมา “เ้ากอดนางขนาดนั้นแล้ว ตอนนี้จะมาลังเลอะไรอีก อย่าให้ข้าพูดเลย แม่นางิหลิงถือเป็หญิงสาวที่หาได้ยากคนหนึ่ง”
หลิ่วไป๋เจ๋อส่ายหัว “เ้าเข้าใจผิดแล้ว ข้าไม่ได้หมายความอย่างนั้น”
จิ่วฟางเทียนฉีโบกมือแล้วเอ่ยว่า “ไม่ว่าจะลังเลเื่อะไร แต่ข้าขอถามหน่อย เ้ายอมรับแม่นางิหลิงด้วยความเต็มใจหรือไม่”
หลิ่วไป๋เจ๋อพยักหน้าโดยไม่ลังเล “แน่นอน”
“แล้วเ้าจะทิ้งนางหรือไม่”
ใบหน้าของหลิ่วไป๋เจ๋อเคร่งขรึมขึ้น เอ่ยอย่างหนักแน่น “ไม่มีทาง!”
“แล้วเ้าจะปฏิบัติดีต่อนางหรือไม่”
หลิ่วไป๋เจ๋อพูดโดยไม่ต้องหยุดคิด “หากนางไม่ทอดทิ้งข้า ข้าก็จะอยู่กับนางไปตลอดชีวิต”
“แล้วแม่นางิหลิงมีความสุขหรือไม่”
หลิ่วไป๋เจ๋อผงะไปครู่หนึ่ง สีหน้าแสดงออกว่าครุ่นคิดอย่างหนัก ก่อนจะเอ่ยตอบ “คง... คงใช่” เมื่อครู่ิหลิงร่ำไห้ แต่สุดท้ายนางก็ยิ้มออกมา
จิ่วฟางเทียนฉีตบเข่าฉาด “ก็แค่นั้นแหละ! เ้ายังกังวลเื่อะไรอยู่อีกเล่า”
—-------------------------------
[1] รถวิ่งมาถึงหน้าูเาย่อมมีทางออก หมายถึง ทุกปัญหาย่อมมีทางออก
