บทที่ 9 บทเรียนแรกของการค้า
รุ่งอรุณของวันใหม่สาดส่องเข้ามาในกระท่อมสกุลหลี่ แสงแดดไม่ได้นำพามาเพียงความสว่าง แต่ยังนำพาความหวังและชีวิตชีวาที่ครอบครัวนี้ไม่เคยได้ััมาเนิ่นนาน บรรยากาศที่เคยอึมครึมและเงียบงัน บัดนี้ถูกแทนที่ด้วยเสียงพูดคุยและรอยยิ้ม
บนโต๊ะอาหารมื้อเช้า แม้จะเป็เพียงข้าวต้มที่ข้นขึ้นกว่าเดิมเล็กน้อยและมีผักป่าโรยหน้า แต่สำหรับทุกคนแล้ว นี่คืออาหารมื้อที่หรูหราที่สุด
"เงินทั้งหมด... รวมได้หนึ่งร้อยห้าสิบอีแปะ!" ท่านย่าหลี่นับกองเงินเหรียญทองแดงบนโต๊ะด้วยมือที่สั่นเทาเล็กน้อย น้ำเสียงของท่านเต็มไปด้วยความตื้นตันใจ
หลี่อิงฮวาและหลี่เฟิงหลงมองกองเงินตาไม่กะพริบ สำหรับพวกเขาแล้ว นี่คือเงินจำนวนมหาศาลที่สุดเท่าที่เคยเห็นมาในชีวิต
"ท่านแม่ พวกเราซื้อเนื้อกินกันทุกวันได้เลยหรือไม่เ้าคะ" หลี่อิงฮวาเอ่ยถามอย่างซื่อๆ
เฉินอิงยิ้มพลางลูบหัวเด็กหญิง "ถ้าเราใช้เงินทั้งหมดซื้อของกิน เงินก็จะหมดไปในเร็ววัน แต่ถ้าเรานำเงินนี้ไปต่อยอด เราจะสามารถหาเงินได้มากขึ้นไปอีก จนสามารถซื้อเนื้อกินได้ทุกวันโดยไม่ต้องกังวล"
นี่คือบทเรียนแรกของการค้าที่นาง้าสอนพวกเขา การลงทุนซ้ำเพื่อสร้างความมั่งคั่งที่ยั่งยืน
แผนการของเฉินอิงชัดเจนยิ่งนัก พวกเขาต้องเพิ่มกำลังการผลิตยาขี้ผึ้งเพื่อตอบสนองความ้าที่เกิดขึ้นแล้วในตลาด
"เอาล่ะ ทุกคนมีหน้าที่" เฉินอิงเริ่มจัดแจงอย่างเป็ระบบ "ท่านย่า รบกวนช่วยคัดแยกและตากสมุนไพรนะเ้าคะ เฟิงหลง เ้าแข็งแรง ช่วยข้าเข้าป่าไปเก็บสมุนไพรเพิ่มเติมและช่วยบดยา ส่วนอิงฮวาช่วยท่านย่าล้างตลับดินเผาให้สะอาดนะ"
"แล้วข้าเล่า?" เสียงของหลงอี้ดังขึ้น เขาพยุงตัวเองลุกขึ้นนั่งได้มั่นคงกว่าเดิมมากแล้ว "ข้าพอจะช่วยเหลาง่ามไม้ไผ่เล็กๆ ไว้สำหรับให้ลูกค้าใช้ป้ายยาได้"
ทุกคนในครอบครัวต่างพยักหน้ารับอย่างแข็งขัน กระท่อมซอมซ่อของสกุลหลี่ได้แปรสภาพเป็โรงงานผลิตยาขนาดจิ๋วที่ทุกคนต่างมีส่วนร่วมและเปี่ยมไปด้วยความหวัง
สองวันต่อมา เฉินอิงและเด็กทั้งสองก็เดินทางเข้าสู่ตลาดอำเภอหลงเยว่อีกครั้งหนึ่ง คราวนี้นางเตรียมยาขี้ผึ้งมาเกือบหนึ่งร้อยตลับ ทันทีที่นางตั้งแผงในที่เดิม ก็มีลูกค้าเก่าๆ ที่จำนางได้เข้ามาทักทายและอุดหนุนทันที
"แม่นาง! ข้ามาแล้ว! ยาของท่านดีจริงๆ สามีข้าปวดหลังมานาน ทาไปสองคืนก็ลุกเดินได้คล่องขึ้น!" "ลูกข้าโดนยุงกัดจนเป็แผลพุพอง พอทายาของท่านคืนเดียวก็ยุบหมดเลย ข้าขอซื้ออีกห้าตลับไปฝากญาติพี่น้อง!"
สรรพคุณของยาขี้ผึ้งสมุนไพรถูกบอกเล่าปากต่อปากอย่างรวดเร็ว ทำให้ลูกค้าหน้าใหม่ๆ ที่ได้ยินข่าวลือต่างพากันเข้ามาลองซื้อไปใช้ดูบ้าง เพียงไม่ถึงครึ่งวัน ยาทั้งหมดก็ถูกขายออกไปจนเกลี้ยงแผงอีกครั้ง
ขณะที่เฉินอิงกำลังเก็บของเตรียมตัวกลับบ้าน ชายภูมิฐานในชุดผ้าไหมเนื้อดีคนเดิมที่เคยยืนสังเกตการณ์ในคราวก่อน ก็เดินตรงเข้ามาหานางพร้อมกับชายผู้ติดตามอีกหนึ่งคน
"แม่นาง ขอรบกวนเวลาสักครู่ได้หรือไม่ขอรับ"
เฉินอิงหันไปมองบุรุษตรงหน้า เขามีอายุราวสี่สิบปี ใบหน้ามีรอยยิ้มแบบพ่อค้า แต่แววตานั้นฉายแววฉลาดและไม่ธรรมดา
"ท่านมีธุระอันใดหรือ" นางถามอย่างระมัดระวัง
"ข้ามีนามว่าซุน เป็เ้าของ หอโอสถหมื่นปี ในอำเภอนี้" เขาแนะนำตัวเองด้วยท่าทีสุภาพ "ข้าได้ยินกิตติศัพท์ยาขี้ผึ้งของแม่นาง และได้เห็นสรรพคุณด้วยตาตนเองแล้ว ต้องขอบอกว่าน่าทึ่งยิ่งนัก"
หอโอสถหมื่นปี! นั่นคือร้านขายยาที่ใหญ่และเก่าแก่ที่สุดในอำเภอหลงเยว่! เฉินอิงใจเต้นขึ้นมาเล็กน้อย นางรู้ดีว่าการพบพานครั้งนี้ไม่ใช่เื่บังเอิญ
"ขอบคุณเถ้าแก่ซุนที่ชมเชยเ้าค่ะ"
เถ้าแก่ซุนยิ้มอย่างพึงพอใจ "ข้าขอเข้าเื่เลยแล้วกัน ยาขี้ผึ้งของแม่นางมีสรรพคุณเป็เลิศ แต่การมานั่งขายริมทางเช่นนี้ ช่างน่าเสียดายยิ่งนัก ข้ามีข้อเสนอให้ท่านสองทาง"
เขาชูสองนิ้วขึ้นมา
"หนึ่ง ข้าขอซื้อสูตรยา ของท่าน ให้ราคาสูงถึงห้าสิบตำลึงเงิน!"
ห้าสิบตำลึง! ท่านย่าหลี่ที่ติดตามมาด้วยในวันนี้ถึงกับตาเหลือกแทบสิ้นสติไปตรงนั้น นั่นเป็เงินที่ชาวบ้านธรรมดาอาจหาไม่ได้ทั้งชาติ!
เฉินอิงยังคงมีสีหน้าสงบนิ่ง "และทางที่สองเล่าเ้าคะ"
เถ้าแก่ซุนมองนางด้วยแววตาชื่นชมมากขึ้น "ทางที่สอง... ท่านไม่ต้องขายสูตร แต่ให้ท่านผลิตยาขี้ผึ้งนี้ส่งให้หอโอสถของข้าแต่เพียงผู้เดียว เราจะทำสัญญาระยะยาว ข้าจะรับซื้อจากท่านในราคาตลับละหกอีแปะ ท่านผลิตได้เท่าไหร่ ข้ารับซื้อทั้งหมด"
ข้อเสนอนี้คือบทเรียนที่สองของการค้าเป็ทางเลือกแห่งอนาคต
ข้อเสนอแรกคือเงินก้อนโตที่สามารถพลิกชีวิตครอบครัวได้ในทันที แต่ก็จะสูญเสียผลิตภัณฑ์ที่เป็ดั่งห่านทองคำไปตลอดกาล ส่วนข้อเสนอที่สองคือรายได้ที่มั่นคงและต่อเนื่อง แต่ก็ต้องผูกติดอยู่กับหอโอสถหมื่นปี และถูกจำกัดราคาขาย
เฉินอิงในฐานะคนจากยุคใหม่เข้าใจถึงคำว่า "ทรัพย์สินทางปัญญา" และ "การสร้างแบรนด์" ได้เป็อย่างดี สูตรยานี้คือทุกสิ่งทุกอย่างของนาง คือรากฐานที่จะสร้างอนาคตให้ครอบครัว
เฉินอิงเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยเสียงเรียบแต่มั่นคง
“ข้อเสนอของท่านเถ้าแก่นับว่าดึงดูดใจยิ่งนักเ้าค่ะ ทั้งผลตอบแทน ทั้งโอกาสที่ข้าอาจจะไม่มีวันพบเจออีกครั้งในชีวิต แต่...”
นางเงยหน้าขึ้นสบตาเขาโดยไม่หลบสายตา
“แต่มิใช่ว่าทุกสิ่งในโลกนี้จะตัดสินกันเพียงแค่เงินทองหรือผลกำไร ข้าคิดว่าการตัดสินใจใด ๆ ควรตั้งอยู่บนความรอบคอบ ไม่ใช่เพราะความโลภหรือความรีบร้อนเ้าค่ะ”
เถ้าแก่ซุนเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย มุมปากยกยิ้มบาง
“พูดจาน่าสนใจดีนี่แม่นาง... ข้าว่าคนหนุ่มสาวสมัยนี้น้อยนักที่จะพูดเช่นนี้”
เฉินอิงพนมมือคารวะเบา ๆ อย่างอ่อนน้อม
“ข้าน้อยเป็เพียงชาวบ้านธรรมดา แต่ผู้ใหญ่ในบ้านเคยสอนไว้ว่า ของล้ำค่าหาไม่ยากเท่าการเลือกทางที่ถูกต้อง หากข้าตัดสินใจพลาดเพราะใจร้อน ก็เท่ากับทำร้ายทั้งอนาคตของตนและคนที่อยู่ข้างหลังเ้าค่ะ”
“ดังนั้น ขอเวลาข้าน้อยกลับไปปรึกษาหารือกับผู้ใหญ่ที่บ้านสักสองสามวัน แล้วจะให้คำตอบแก่ท่านเถ้าแก่ได้หรือไม่เ้าคะ”
คำตอบของนางทำให้เถ้าแก่ซุนประหลาดใจและทึ่งในเวลาเดียวกัน
เขาคาดว่าแม่หญิงชาวบ้านที่ยากจนเช่นนี้ เมื่อเห็นเงินก้อนโตย่อมต้องรีบตะครุบไว้ทันที แต่นางกลับสุขุมและมีหลักการเกินคาด
“ได้แน่นอนขอรับ” เถ้าแก่ซุนหัวเราะเบา ๆ สายตาเต็มไปด้วยความสนใจลึกซึ้ง
“ข้าจะรอฟังข่าวดีจากแม่นางที่หอโอสถหมื่นปี หากแม่นางตัดสินใจได้แล้ว จงมาหาข้า... ประตูหอของข้าจะเปิดต้อนรับเ้าเสมอ”
หลังจากเถ้าแก่ซุนล่ำลาและเดินจากไป ทิ้งไว้เพียงกลิ่นหอมบาง ๆ ของยาสมุนไพรและความรู้สึกวาบไหวของโอกาสที่ยิ่งใหญ่ ท่านย่าหลี่ก็รีบปรี่เข้ามาจับแขนเฉินอิงสุดแรงด้วยสีหน้าไม่อาจปิดความตื่นเต้นไว้ได้
"เหนียงเอ๋อร์! ห้าสิบตำลึงเลยนะ! ห้าสิบตำลึงเชียวนะลูก! เหตุใดเ้าไม่ตอบตกลงไปเล่า? โอกาสเช่นนี้ชาตินี้อาจจะมีเพียงครั้งเดียวก็ได้!"
เฉินอิงยังคงยืนนิ่ง สีหน้าสงบและอ่อนโยน นางยิ้มบาง ๆ แล้วหันมาประคองมือท่านย่าไว้อย่างนุ่มนวล
"ท่านย่าเ้าคะ… ไก่ที่ออกไข่เป็ทองคำ ย่อมมีค่ามากกว่าไข่ทองคำเพียงใบเดียวมิใช่หรือเ้าคะ"
ท่านย่าหลี่ขมวดคิ้วเล็กน้อย พึมพำตามเบา ๆ
"ไก่…ทองคำ? เ้าหมายความว่าอย่างไรนะ?"
เฉินอิงหัวเราะเบา ๆ แววตาเปี่ยมไปด้วยไหวพริบและความมั่นใจ
"หากข้ายอมรับเงินห้าสิบตำลึงทันที ก็เท่ากับขายความสามารถของตนในราคาที่ผู้อื่นกำหนด… แต่หากข้าใช้สติปัญญาและความรู้ให้เกิดคุณค่าอย่างต่อเนื่อง เช่นไก่ที่ออกไข่ทองคำในทุกวัน วันหนึ่งข้าอาจจะสร้างมูลค่าที่มากกว่านั้นสิบเท่าร้อยเท่าได้เ้าค่ะ"
นางเว้นจังหวะเล็กน้อยก่อนกล่าวต่อ
"อีกทั้ง ข้ายังไม่รู้เจตนาแท้จริงของเถ้าแก่ซุน เขาอาจหวังเพียงความสามารถของข้า หรืออาจมีเงื่อนงำใดซ่อนอยู่ก็ไม่อาจประมาทเ้าค่ะ การคิดไตร่ตรองก่อนย่อมดีกว่าตัดสินใจจากความลุ่มหลงในทองคำเพียงชั่ววูบ"
ท่านย่าหลี่นิ่งฟัง ั์ตาเริ่มมีแววเข้าใจมากขึ้น แม้จะไม่ลึกซึ้งในเชิงการค้า
"โอ้… เ้าช่างฉลาดล้ำยิ่งนัก นี่เ้าคิดได้ถึงเพียงนี้ในเวลาเพียงสั้น ๆ หรือ?"
เฉินอิงพยักหน้าเบา ๆ
ท่านย่าหลี่พยักหน้าอย่างหนักแน่น น้ำตาคลอเบ้าเล็กน้อยเพราะความภูมิใจในในตัวนาง
"ย่าเชื่อเ้า... ไม่ว่าเ้าจะเลือกเช่นไร ย่าก็จะอยู่ข้างเ้าเสมอ"
ระหว่างทางกลับบ้าน ไม่มีใครพูดอะไรออกมา แต่ในใจของเฉินอิงนั้นกำลังขบคิดอย่างหนัก การปรากฏตัวของเถ้าแก่ซุนได้ยกระดับการค้าขายเล็กๆ ของนางขึ้นไปอีกขั้น มันไม่ใช่แค่การหาเงินประทังชีวิตอีกต่อไป แต่เป็การวางรากฐานให้กับอนาคต และการตัดสินใจครั้งนี้... จะเป็ตัวกำหนดชะตาของครอบครัวสกุลหลี่ไปตลอดกาล
****////****