“ผะ ผู้าุโเฉียน ท่านเข้าใจอะไรผิดหรือไม่ ท่านจะบอกว่าเด็กหนุ่มผู้นี้ก็คือนักสลักลายเส้นอัจฉริยะ ทั้งยังเป็นักสลักลายเส้นขั้นหนึ่งอีกด้วยงั้นหรือ จะเป็ไปได้อย่างไร!”
โจวอู่กล่าวขึ้นอย่างเหลือเชื่อ
“เป็ไปไม่ได้ อะไรที่เป็ไปไม่ได้กัน หรือเ้า้าจะบอกว่ามีเพียงเขาที่สามารถเป็นักสลักลายเส้นได้?”
มู่เฟิงขมวดคิ้ว ก่อนจะชี้นิ้วไปยังหวังเยว่ พร้อมกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน
“จะ... เ้า ข้าไม่เชื่อหรอกว่าเ้าจะเป็นักสลักลายเส้น การจะเป็นักสลักลายเส้นได้ต้องเริ่มจากการเปิดพลังิญญา จากนั้นก็ต้องดูอีกว่ามีพลังิญญาเหมาะสมตามข้อกำหนดหรือไม่ เ้ามีหลักฐานอะไรมาบ่งบอกว่าเ้าเป็นักสลักลายเส้นกัน?”
หวังเยว่หยัดกายลุก พลางกล่าวขึ้นด้วยความขุ่นเคือง
เดิมทีแล้วเขาหลงคิดว่าผู้าุโเฉียนมาที่นี่เพื่อพบเขา แต่ใครจะไปคาดคิดกันว่าจะกลับกลายเป็มู่เฟิงไปเสียแทน ยิ่งไปกว่านั้นอีกฝ่ายยังได้รับฉายานักสลักลายเส้นอัจฉริยะด้วย แบบนี้จะให้เขาทำใจเชื่อได้อย่างไร
“อ้าว ทำไมเล่า เ้ายังจะ้าให้ข้าพิสูจน์อีกหรือ?”
มู่เฟิงเอ่ยถามเสียงเรียบ
“ถูกต้อง”
หวังเยว่กัดฟันแน่นก่อนจะกล่าวตอบ
“ฮ่าๆ ช่างบังเอิญยิ่งนัก วันนี้ตาเฒ่าผู้นี้ได้พกศิลาิญญามาด้วย เหมาะเจาะที่จะใช้ในการทดสอบพอดี เ้าหนุ่มผู้นั้น ในเมื่อเ้าบอกว่าตนมีความสามารถที่จะฝึกฝนการสลักลายเส้นได้ เช่นนั้นข้าจะขอทดสอบเ้าดูเสียหน่อยว่าเ้ามีคุณสมบัติเพียงพอที่จะเข้าสู่วิหารสลักลายของข้าหรือไม่”
ผู้าุโเฉียนหัวเราะ จากนั้นแหวนเฉียนคุนบนนิ้วของเขาพลันเปล่งแสงออกมา ไม่นานศิลาสีเขียวมรกตก็ปรากฏขึ้นในมือของเขา
บนผลึกศิลานี้มีลายเส้นพลังปราณสลักเอาไว้ โดยสิ่งนี้คือศิลาิญญา สามารถใช้ทดสอบระดับพลังิญญาและสามารถตรวจสอบได้ว่าพลังิญญานั้นเปิดใช้งานได้หรือไม่
หาก้าเป็นักสลักลายเส้น สิ่งแรกที่ต้องทำคือการเปิดใช้งานพลังิญญา ซึ่งเื่นี้เป็ไปได้ยากอย่างยิ่ง ในจำนวนคนหนึ่งร้อยคนนั้นยังยากที่จะหาเจอได้สักคน
นอกจากนี้ยังมีข้อกำหนดในเื่ความแข็งแกร่งของพลังิญญาอีก มีเพียงบุคคลที่มีพลังิญญาในขั้นหกขึ้นไปเท่านั้นจึงจะมีคุณสมบัติเพียงพอที่จะกลายเป็นักสลักลายเส้นได้
ดังนั้นจากมุมมองนี้ การจะค้นพบบุคคลที่มีคุณสมบัติมากพอที่จะกลายเป็นักสลักลายเส้นได้นั้นถือว่ามีความเป็ไปได้ยากเป็อย่างมาก
“ได้ เช่นนั้นข้าจะทดสอบก่อน”
หวังเยว่กล่าวขึ้นขณะยื่นมือออกมาวางบนศิลาิญญา เขาได้ทำการรวบรวมพลังจิติญญาของตัวเองก่อนจะส่งเข้าไปยังศิลาิญญา
ก่อนหน้านี้เขาเคยทำการทดสอบมาแล้ว ไม่อย่างนั้นโจวอู่จะทราบได้อย่างไรว่าเขามีพร์มากพอที่จะฝึกเป็นักสลักลายเส้นได้
ฉับพลันนั้นศิลาิญญาพลันเปล่งแสงสีทองออกมา หนึ่งห่วง สองห่วง สามห่วง สี่ห่วง... แสงสีทองยังคงส่องสว่างขึ้นอย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งหยุดลงในห่วงที่เจ็ด!
“อืม นับว่าไม่เลว สามารถปลุกพลังิญญามาได้ถึงขั้นเจ็ด เ้ามีคุณสมบัติเพียงพอที่จะเข้าไปฝึกฝนภายในวิหารสลักลายได้”
ผู้าุโเฉียนกล่าวออกมาอย่างชื่นชม ด้วยพลังิญญาขั้นเจ็ด หากเพียรพยายามฝึกฝนอย่างหนัก ย่อมสามารถกลายเป็นักสลักลายเส้นขั้นสองได้อย่างไม่เป็ปัญหา
หวังเยว่ดึงมือออก เขาเหลือบมองไปทางมู่เฟิงอย่างภาคภูมิ ก่อนจะกล่าวขึ้นว่า “หึ ถึงตาของเ้าแล้ว”
มู่เฟิงเหยียดยิ้ม ก่อนจะนำศิลาิญญามาถือไว้ในมือ และในขณะเดียวกันเขาก็รวบรวมพลังจิติญญาของตนส่งเข้าไปยังศิลาิญญาด้วย
พรึ่บ พรึ่บ...!
ศิลาิญญาส่งเสียงออกมา จากนั้นแสงสีทองก็พลันส่องสว่างขึ้น!
หนึ่งห่วง สองห่วง สามห่วง สี่ห่วง...
แสงสีทองยังคงส่องสว่างขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพียงไม่นานห่วงที่เจ็ดเหมือนกับของหวังเยว่ก็ปรากฏขึ้น ทว่ามันยังคงไม่ได้หยุดลงเพียงเท่านั้น ห่วงที่แปดส่องแสงสว่างขึ้นอย่างรวดเร็ว ตามมาด้วยห่วงที่เก้า! จนในที่สุดแสงสีทองนั้นก็พลันหยุดลง!
ผู้าุโเฉียนมองไปยังแสงสีทองที่ส่องสว่างออกมาทั้งเก้าห่วงอย่างตื่นเต้น ร่างกายของเขาสั่นเทาเล็กน้อย “พลังิญญาขั้นเก้า คาดไม่ถึงว่าจะมีพลังิญญาขั้นเก้า ยอดอัจฉริยะ นี่คือยอดอัจฉริยะ!”
“เป็ไปได้อย่างไร ขะ ขั้นเก้า เ้าหมอนี่!”
หวังเยว่กัดฟันกรอด เขามองมู่เฟิงสลับกับห่วงสีทองทั้งเก้าห่วง สายตาของเขาเต็มไปด้วยความเหลือเชื่อ
เป็พลังิญญาขั้นเก้าซึ่งสูงกว่าพลังิญญาขั้นเจ็ดของเขามาก!
“พลังิญญาขั้นเก้า!”
เมื่อเห็นฉากนี้ หวังปินถึงกับนั่งทรุดลงบนเก้าอี้อย่างไร้เรี่ยวแรง ใบหน้าของเขาพลันซีดเผือดลงทันที
“พลังิญญาขั้นเก้า คาดไม่ถึงเลยว่าภายในตระกูลมู่จะมียอดอัจฉริยะเช่นนี้ดำรงอยู่”
เถ้าแก่หลี่มองไปยังมู่เฟิงด้วยสายตาที่เปลี่ยนไป นี่คือยอดอัจฉริยะที่มีศักยภาพมากพอที่จะกลายเป็นักสลักลายเส้นขั้นสี่ในอนาคต!
หากจะถามว่านักสลักลายเส้นขั้นสี่นั้นยิ่งใหญ่เพียงใด ก็ต้องบอกว่ากระทั่งผู้นำของวิหารสลักลายเส้นในเขตอาณาจักรหนานหลิงนี้ยังเป็เพียงนักสลักลายเส้นขั้นสี่เท่านั้น และจากฐานะของเขา แม้แต่องค์จักรพรรดิก็ยังต้องปฏิบัติต่อเขาด้วยความเคารพ
“ฮ่าๆ ๆ พลังิญญาขั้นเก้า ยอดเยี่ยม ยอดเยี่ยม!”
มู่ไห่หัวเราะออกมาดังลั่น เขาไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าพร์ของมู่เฟิงในฐานะนักสลักลายเส้นจะสูงส่งถึงเพียงนี้
สมาชิกคนอื่นของตระกูลมู่ต่างก็รู้สึกตื่นเต้นเช่นกัน ยิ่งนายน้อยของพวกเขาทรงพลังมากเท่าไร พวกเขาก็ยิ่งได้หน้าไปด้วย
“ผู้าุโเฉียน ขอคืนให้ท่าน”
มู่เฟิงมอบศิลาิญญาคืนให้กับผู้าุโเฉียน โดยชายชราก็รับมันคืนกลับมาด้วยความตื่นเต้น เขาจับมือมู่เฟิงและกล่าวขึ้นว่า “สหายน้อยมู่เฟิง ข้าขอเชิญให้เ้ามาเข้าร่วมกับทางวิหารสลักลายในฐานะนักสลักลายเส้นเครื่องรางอย่างเป็ทางการ ตราบใดที่เ้าเข้าร่วมกับวิหารสลักลายของพวกเรา ทางเราก็จะมอบทรัพยากรทั้งหมดที่มีเพื่อให้เ้าได้ฝึกฝนเป็อย่างดีแน่นอน”
ผู้าุโเฉียนกล่าวอย่างจริงจัง
มุมปากของโจวอู่ถึงกับกระตุก เขากำลังซ่อนตัวอยู่ในมุมหนึ่งอย่างเชื่อฟัง ในเวลาเช่นนี้เขาจะกล้าออกปากพูดได้อย่างไร
พลังิญญาของเขานั้นอยู่ในขั้นที่ห้า การเป็นักสลักลายเส้นขั้นหนึ่งจึงถือว่าเป็ขีดจำกัดสูงสุดของเขาแล้ว
ส่วนมู่เฟิงน่ะหรือ? อนาคตของเขาเป็สิ่งที่ไร้ขีดจำกัดเลยละ
ด้านหวังเยว่นั้นรู้สึกวิงเวียนขึ้นมาทันที เขาเกือบจะทรุดลงกับพื้นอยู่แล้ว
มู่เฟิงไม่คุ้นชินกับการที่ถูกผู้าุโเฉียนจับมือด้วยความตื่นเต้นเช่นนี้ เขาจึงกล่าวขึ้นด้วยรอยยิ้มเจื่อนว่า “ข้าซาบซึ้งในความเมตตาของผู้าุโเฉียนยิ่งนัก เพียงแต่ข้ามีท่านอาจารย์คอยสอนอยู่แล้ว และตอนนี้ข้าก็ยังไม่มีความคิดที่จะไปยังวิหารสลักลาย ข้ายัง้าพัฒนาระดับวรยุทธ์ของตัวเองให้แข็งแกร่งขึ้นมากกว่านี้ขอรับ”
“ไอหยา เื่นี้มันต่างออกไป เ้ามีอาจารย์อยู่แล้วก็ไม่เป็ไร แต่เ้าก็ไม่จำเป็ต้องมีอาจารย์เพียงคนเดียวเสียหน่อย อีกอย่างหลังจากเข้าร่วมกับทางวิหารสลักลายแล้วเ้ายังสามารถฝึกฝนวรยุทธ์ได้เหมือนเดิม นอกจากนี้ทางเรายังสามารถจัดหาทรัพยากรในการฝึกฝนที่ดีกว่าที่นี่ให้กับเ้าได้”
ผู้าุโเฉียนกล่าวอย่างไม่เห็นด้วยกับความคิดของเด็กหนุ่ม เวลานี้เขาเพียง้าพายอดอัจฉริยะอย่างมู่เฟิงมาเข้าร่วมกับวิหารสลักลาย และมาเป็ส่วนหนึ่งของนักสลักลายเส้นเครื่องรางของพวกเขา
“เอ่อ แต่ตอนนี้ข้ายังไม่สะดวกที่จะไปจริงๆ ขอรับ”
มู่เฟิงกล่าวขึ้นอย่างอึดอัดใจ
หลังจากได้ยินดังนั้นหวังปินที่อยู่ด้านข้างแทบอยากจะกระอักโลหิตออกมา อีกฝ่ายถึงขั้นร้องขอให้เด็กหนุ่มเข้าร่วมกับวิหารสลักลาย ทว่าเด็กหนุ่มผู้นี้กลับไม่แม้แต่จะสนใจด้วยซ้ำ!
นี่ถือเป็การตบหน้า
เวลานี้หวังเยว่ได้กลายเป็เพียงตัวประกอบไปแล้ว ไม่มีใครจดจำการมีอยู่ของเขาได้ด้วยซ้ำ
“คุณชาย ตอบรับคำเชิญเถอะ”
มู่ไห่และผู้าุโคนอื่นในตระกูมู่ต่างก็ร้อนใจ หากมู่เฟิงเข้าร่วมกับทางวิหารสลักลาย เขาย่อมจะมีกำลังหนุนที่ยิ่งใหญ่ และเมื่อใดที่มู่เฟิงสามารถตั้งหลักภายในวิหารสลักลายได้อย่างมั่นคง ถึงเวลานั้นต่อให้เป็คนของราชวงศ์ก็ไม่อาจแตะต้องตระกูลมู่ได้
“ข้าขอบอกกับท่านตามตรง ในอีกสองปีข้างหน้าข้าวางแผนที่จะเข้าร่วมกับสำนักศึกษาราชวงศ์ ดังนั้น... ต้องขออภัยด้วย”
มู่เฟิงปฏิเสธอีกครั้ง
ช่างน่าขันนัก เขามีเยว่เอ๋อร์เป็อาจารย์ มีอุปกรณ์ในการสลักลายเส้นครบชุด เหตุใดเขายังต้องไปยังวิหารสลักลายอีก?
นอกจากนี้ว่านเอ๋อร์กำลังรอเขาอยู่ที่สำนักศึกษาราชวงศ์ ดังนั้นเขาจะต้องไปที่นั่นให้ได้
“เฮ้อ... เอาเถอะ”
เมื่อเห็นมู่เฟิงปฏิเสธออกมาอีกครั้ง ผู้าุโเฉียนก็ทำได้เพียงถอนหายใจ แต่ดวงตาของเขายังคงเป็ประกายขณะกล่าวขึ้นว่า “อ้อ จริงด้วย ในเมื่อเ้าก็เป็นักสลักลายเส้นอยู่แล้ว เ้ามาเข้าร่วมกับวิหารสลักลายไม่ได้หรือ? มาเป็ส่วนหนึ่งของนักสลักลายเส้นเครื่องรางของพวกข้าเถอะ วางใจได้ หลังจากเข้าร่วมแล้วต่อไปเ้าคิดจะทำอะไรก็จะไม่มีข้อจำกัดมาบีบบังคับเ้า นอกจากนี้หากว่าเ้าไปซื้อสินค้าที่ร้านว่านเป่ายังได้รับส่วนลดอีกด้วย ขอแค่ในทุกปีเ้าช่วยทางวิหารสลักลายจัดทำเครื่องรางขึ้นมาเพียงเล็กน้อยบ้างก็พอแล้ว”
“เอ่อ เื่นี้ไม่มีปัญหาขอรับ”
มู่เฟิงลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะตอบตกลงด้วยรอยยิ้ม
“ฮ่าๆ ดี ดีมาก รอหลังจากข้ากลับไปแล้ว ข้าจะเขียนจดหมายแนะนำให้กับเ้า ในอนาคตเพียงเ้านำจดหมายแนะนำนี้ไปยังวิหารสลักลาย เ้าก็จะถือว่าเป็นักสลักลายเส้นอย่างเป็ทางการ”
ผู้าุโเฉียนกล่าวขึ้นด้วยรอยยิ้ม ขอเพียงมู่เฟิงมาเข้าร่วมเป็ส่วนหนึ่งกับพวกเขา ต่อไปอีกฝ่ายก็ถือเป็คนของนักสลักลายเส้นเครื่องรางแล้ว
ความจริงในบรรดานักสลักลายเส้นแต่ละประเภทนั้นยังมีการแข่งขันกันเองอยู่ด้วย
“ผู้าุโเฉียน แล้ว แล้วข้าล่ะขอรับ?”
หวังเยว่ก้าวออกมา ก่อนจะเอ่ยถามอย่างอ่อนแรง
“เ้า”
ผู้าุโเฉียนขมวดคิ้ว ก่อนจะกล่าวขึ้นว่า “เ้ายินดีจะเข้ามาเป็ส่วนหนึ่งของนักสลักลายเส้นเครื่องรางหรือไม่?”
“ยินดี ยินดีมากขอรับ!”
หวังเยว่ตอบรับอย่างรวดเร็ว
“อืม เอาละ เ้าและโจวอู่กลับไปได้แล้ว ตราบใดที่เ้าผ่านการประเมิน เ้าก็จะสามารถเข้าไปฝึกฝนภายในวิหารสลักลายได้อย่างเป็ทางการเอง”
ผู้าุโเฉียนกล่าวอย่างเฉยเมย เทียบกับท่าทีที่เขามีต่อมู่เฟิงแล้ว มันดูแตกต่างกันอย่างชัดเจน