เมื่อได้ยินหลี่ลั่วถามเช่นนั้น ซินหมัวมัวพลันตะลึงไปครู่หนึ่งแล้วจึงตอบว่า “คู่ชีวิตของบ่าวจากไปแล้วเ้าค่ะ ในครอบครัวยังมีลูกชาย ลูกสะใภ้ หลานสาว และซินเป่าเ้าค่ะ ซินเป่ามีวาสนาได้เป็บ่าวรับใช้ข้างกายโหวเหฺยท่าน ครอบครัวลูกชายของบ่าวอีกสามคนอยู่ที่หมู่บ้านของเหล่าฮูหยินเ้าค่ะ” เงียบไปครู่หนึ่งซินหมัวมัวจึงพูดขึ้นอีกว่า “เมื่อยามที่เหล่าฮูหยินแต่งให้เหล่าโหวเหฺยนั้น มีหมู่บ้านเป็สินเ้าสาวมาด้วยแห่งหนึ่งเ้าค่ะ มารดาของเหล่าโหวเหฺยก็มีหมู่บ้านอยู่อีกแห่งหนึ่ง หลังจากที่เหล่าโหวเหฺยแต่งเหล่าฮูหยินเป็ภรรยา หมู่บ้านนี้ก็ให้เหล่าฮูหยินเป็ผู้ดูแล ดังนั้นนอกจากครอบครัวของพวกเราหนึ่งครอบครัวแล้วนั้น หมู่บ้านอีกแห่งหนึ่งก็เป็ครอบครัวสกุลหวังที่ติดตามเหล่าฮูหยินเมื่อครั้งออกเรือนดูแลอยู่เ้าค่ะ”
คำพูดเหล่านี้ของซินหมัวมัวดูเหมือนจะเป็การเอ่ยขึ้นอย่างมิได้ตั้งใจ แต่ที่จริงกลับเป็การบอกกล่าวแก่หลี่ลั่วเกี่ยวกับทรัพย์สมบัติของจวนโหว ส่วนหลี่ลั่วจะมีใจจดจำเื่เหล่านี้หรือไม่นั้นซินหมัวมัวไม่อาจรู้ได้ แต่ซินหมัวมัวรู้ว่าเสี่ยวโหวเหฺยท่านนี้มิใช่ง่ายดายเหมือนเด็กน้อยอายุห้าขวบธรรมดาทั่วไป
อย่างน้อยการจัดการเื่ราวต่างๆ นั้นก็เด็ดขาดและเผด็จการ ช่างเข้มแข็งยิ่งนัก
“ไม่คิดจะรับครอบครัวลูกชายของท่านทั้งสามคนมาอยู่ที่หมู่บ้านแห่งนี้หรือ? ต่อไปเมื่อข้ามาพักที่นี่หลายวันก็เป็การสะดวกที่จะพาท่านและซินเป่ามาที่นี่ด้วย ให้ครอบครัวของท่านได้อยู่กันพร้อมหน้า” หลี่ลั่วถามขึ้น เขาย่อมมีความคิดของเขาเอง ซินหมัวมัวได้แสดงจุดยืนของนางต่อหลี่ลั่วอย่างชัดเจนนานแล้ว และตนก็ไม่มีข้ารับใช้รู้ใจข้างกาย ดังนั้นเวลานี้จึงเป็เวลาอันเหมาะสมที่จะยื่นทางเลือกให้กับซินหมัวมัว
อีกทั้งซินเป่าเองก็เป็บ่าวรับใช้ที่ฉลาดและมีไหวพริบนัก
ซินหมัวมัวได้ยินแล้วดวงตาเป็ประกายวาบขึ้นมาทันที มีโอกาสอยู่กับลูกชายพร้อมหน้าครอบครัว นางย่อมยินดี “แต่บ่าวเป็ครอบครัวที่ติดตามเหล่าฮูหยินเมื่อครั้งออกเรือนเ้าค่ะ”
“นี่มิใช่ปัญหาอันใด ข้าจะคุยกับมารดาเอง” พูดถึงตรงนี้ เขาหยุดชะงักไปครู่หนึ่ง “หากต่อไปซินเป่ามีอนาคต มีความคิดเป็ของตนเอง ข้าก็จะปลดปล่อยสัญญาทาสของเขา ให้เขาไปเป็พลเมือง”
ซินหมัวมัวตกตะลึงพรึงเพริด จากนั้นน้ำตาก็ไหลลงมาเอง นางถอยหลังหลายก้าวคุกเข่าหันไปทางหลี่ลั่ว “ขอบคุณเสี่ยวโหวเหฺยเ้าค่ะ...ขอบคุณเสี่ยวโหวเหฺย...ขอบคุณนายท่าน” ผู้ใดเล่าจะยินดีเป็ทาสรับใช้ไปตลอดทั้งชาติ นางและลูกชายนั้นไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว แต่ถ้าซินเป่ามีทางเลือกละก็ ต่อไปลูกๆ ของซินเป่าก็จะไม่ใช่...ซินหมัวมัวดีใจจนไม่รู้จะพูดอย่างไรดีแล้ว
หลี่ลั่วแย้มริมฝีปากยิ้มเพียงบางๆ นายท่านนั้นย่อมตัดใจไม่ได้ที่จะปลดปล่อยทาสของตนให้เป็อิสระ ทว่าหลี่ลั่วไม่ใช่คนในสมัยโบราณ ต่อให้เป็ในยุคปัจจุบัน แม้ว่าครอบครัวของเขาจะมีคนรับใช้ไม่น้อย แต่ก็เป็ความเกี่ยวข้องกันในลักษณะมีสัญญาว่าจ้างระหว่างนายจ้างและลูกจ้าง ต่อให้เป็คนบางคนที่มีชาติกำเนิดสูงส่งกว่าผู้อื่น มีเงินมีทอง แต่ทว่าความจงรักภักดีและความซื่อสัตย์ที่หลี่ลั่ว้านั้นหาใช่มาจากสัญญาทาสฉบับเดียวที่จะทำให้มั่นคงได้ไม่
ผ่านไปอีกสักครู่พ่อบ้านจี้จึงกลับมา บ่าวรับใช้ชายสี่คนและสาวใช้สี่คนที่เขาไปว่าจ้างก็กลับมาพร้อมกันด้วย ในมือของพ่อบ้านจี้ถือขนมเซาปิ่ง[1]ที่ซื้อมาจากในชุมชน คาดว่าน่าจะเป็เพราะหิว พ่อบ้านจี้อายุไม่น้อยแล้ว เกือบจะหกสิบปีแล้ว แต่ร่างกายยังแข็งแรงดี ดูไปแล้วเหมือนมีอายุเพียงห้าสิบกว่าปีเท่านั้น
เมื่อเห็นหลี่ลั่ว พ่อบ้านจี้รีบนำขนมเซาปิ่งที่เหลือใส่ปากจนหมด เคี้ยวอย่างรีบเร่งเพียงสองครั้งก็กลืนลงคอไป “โหวเหฺยขอรับ ทั้งคนและสัตว์ปีกซื้อมาแล้วขอรับ”
หลี่ลั่วพยักหน้า “ไปหาพื้นที่สำหรับเลี้ยงสัตว์ปีกเหล่านี้เถิด ส่วนคนเหล่านี้ให้ซินหมัวมัวจัดแบ่งหน้าที่ให้”
“คุณชายน้อยท่านนี้ พวกท่านรับซื้อตัวหรือไม่ขอรับ” บ่าวรับใช้ชายคนหนึ่งถามขึ้น
“ให้ทดลองทำงานสักหลายวันก่อน หากว่าเ้าทำงานออกมาได้ดี รู้หน้าที่และบทบาทของตน ย่อมรับซื้อตัวไว้ได้ บ้านของเ้าอยู่ใกล้กับที่นี่หรือไม่?” หลี่ลั่วถาม
“คุณชายน้อยโปรดวางใจ บ้านของข้าอยู่ชุมชนข้างๆ นี้เองขอรับ ข้าเป็คนซื่อสัตย์ ทำงานเก่งขอรับ” ฟู่เฉียงตอบ “ชาวบ้านในชุมชนของพวกเราล้วนแต่ทำงานอยู่ในหมู่บ้านข้างๆ ในเวลาปกติยังมีหน้าที่ดูแลที่นา ดังนั้นไม่ว่าอะไรข้าก็ทำเป็ทั้งสิ้น เพียงแต่...เพียงแต่ที่บ้านฐานะยากจน ไม่มีเงินแต่งภรรยาขอรับ” พูดแล้วก็หัวเราะแหะๆ
“ได้ หากว่าเ้าเป็คนซื่อสัตย์และมีความสามารถอย่างที่พูดจริง ข้าจะให้เงินสำหรับแต่งภรรยาแก่เ้า” หลี่ลั่วตอบอย่างอารมณ์ดี
“ฟู่เฉียง” พ่อบ้านจี้เอ่ยเตือนขึ้น “นายท่านของข้าคือจงหย่งโหวที่องค์ฮ่องเต้ทรงพระราชทานบรรดาศักดิ์ด้วยพระองค์เอง เป็ท่านโหวเหฺยที่ต้องให้ความเคารพ อย่าได้ทำตัวไม่มีมารยาท”
ในสายตาของชาวบ้านนั้นแค่ผู้ปกครองระดับเขตปกครองอำเภอก็ทำให้พวกเขารู้สึกว่าสูงส่งยิ่งนักแล้ว โหวเหฺยท่านนี้จะสูงส่งเพียงไหนนั้น ฟู่เฉียงไม่กล้าคิด
ดังนั้นฟู่เฉียงจึงรีบคุกเข่าลงทันที “เป็บ่าวที่ไม่รู้กาลเทศะ ขอโหวเหฺยโปรดประทานอภัยให้บ่าวด้วยขอรับ”
“พ่อบ้านจี้อย่าได้ทำให้เขาใเลย” หลี่ลั่วหัวเราะเบาๆ เสียงหนึ่ง “ในชีวิตของคนเรานั้นเื่ไม่สมปรารถนามีมากเกินไป เราต่างก็รอคอยวันที่ตนเองจะสมปรารถนา ได้พบคนบ้านเดียวกันในสถานที่อื่น สาวงามใต้แสงเทียนในคืนเข้าหอ การได้เลื่อนขั้นตำแหน่งหน้าที่ เื่มงคลทั้งสี่นี้ต่างก็น่ายินดีทั้งสิ้น เื่การแต่งภรรยานั้น ก็นับว่าอยู่ในเื่สาวงามใต้แสงเทียนในคืนเข้าหอ”
คำพูดนี้ ชายหนุ่มผู้ไม่รู้หนังสือฟังแล้วก็เข้าใจกระจ่างแจ้ง ฟู่เฉียงหน้าแดงก่ำ ยิ้มอย่างกระดากใจเล็กน้อย
“เสี่ยวโหวเหฺย บัดนี้เมื่อคำนวณเวลาดูแล้ว บ่าวต้องกลับจวนโหวแล้วขอรับ” พ่อบ้านจี้เกรงว่าจะกลับไปถึงค่ำมืดเกินไป และอีกอย่างวันนี้ในจวนยังมีงานอีกมากมายรอเขาอยู่
“อืม”
“ท่านปู่ พวกเราจะไม่ได้พบหน้ากันหลายวัน ข้าไปส่งท่านนะเ้าคะ” ผิงอันพูด
“ก็ดี”
ผิงอันเดินมาส่งพ่อบ้านจี้ที่ประตูทางเข้า ตลอดทางคล้องแขนกับเขาอย่างสนิทชิดเชื้อ จี้หมัวมัวและพ่อบ้านจี้มีบุตรชายเพียงคนเดียวคือจี้ซิ่น ส่วนจี้ซิ่นและภรรยาก็มีเพียงผิงอันเป็บุตรสาวคนเดียว ผิงอันเป็คนรู้เหตุรู้ผลและหนักแน่น ในยามปกติน้อยนักที่จะคล้องแขนกับพ่อบ้านจี้ วันนี้ที่คล้องแขนก็เพราะมีเื่ที่จะพูดคุยกับเขา “ท่านปู่ เมื่อสักครู่ข้าได้ยินเื่ที่เสี่ยวโหวเหฺยกับซินหมัวมัวคุยกันเ้าค่ะ”
[1] เซาปิ่ง (烧饼) คือขนมแป้งทอด เป็ขนมโบราณของคนจีน เป็อาหารว่างที่ทำมาจากแป้งหรือเป็แป้งผสมมันเทศบด ยัดไส้ด้วยถั่วเหลืองหรือเผือก กดให้แบนแล้วนำไปทอด อาจโรยงาด้วยก็ได้