พวกมู่อี๋เสวี่ยหยุดฝีเท้าลงเพราะเสียงทัดทานของมู่จื่อหลิง
“เ้าจะเอาอย่างไร” มู่อี๋เสวี่ยหันไปมองมู่จื่อหลิงอย่างถือดี พูดด้วยความหยิ่งยโส
ตอนนี้นางไม่เกรงกลัวมู่จื่อหลิงเลยแม้แต่น้อย ขอเพียงองค์หญิงอันหย่าฟื้นขึ้นมา นางไปพูดต่อหน้าไทเฮาเสียสองประโยค ไทเฮาถือโทษขึ้นมา มู่จื่อหลิงก็กำเริบเสิบสานต่อไปได้ไม่นาน
“ไม่เอาอย่างไร” มู่จื่อหลิงพูดอย่างไม่ใส่ใจ มิได้รับผลกระทบจากการวางท่าใหญ่โตของมู่อี๋เสวี่ยแม้แต่น้อย
นางยังคงสงบนิ่งเหมือนกับคนไม่มีเื่ใด ค่อยๆ ยกชาหอมขึ้นมา ละเลียดจิบเล็กน้อย ดูเหมือนอารมณ์จะไม่เลวเลย
“หึ พวกเราไป” มู่อี๋เสวี่ยแค่นเสียงอย่างไม่พอใจ พูดกับสาวใช้ทั้งสอง แล้วเดินต่อไปเหมือนกิ้งก่าได้ทอง
แต่ว่า
“หยุด!” มู่จื่อหลิงเอ่ยปากอย่างเกียจคร้าน
จากนั้น ผู้ที่กำลังจะก้าวข้ามธรณีประตูทั้งสามคนรวมถึงผู้ที่ ‘หมดสติ’ ผู้นั้น ได้ยินคำนี้ก็ชะงักฝีเท้าลงอย่างเชื่อฟัง
“เ้าจะเอาอย่างไรกันแน่” มู่อี๋เสวี่ยหันกลับมาอย่างไม่พอใจ
ดูเหมือนความอดทนของนางจะหมดลงแล้ว นางไม่เคยชินกับท่าทางเอ้อระเหย เป็จิ้งจอกแอบอ้างบารมีเสือของมู่จื่อหลิง
“ก็ยังไม่อย่างไร” มู่จื่อหลิงตอบพลางยิ้มตาหยี
นางแย้มยิ้มอย่างไม่ใส่ใจ ราวกับแกล้งพวกมู่อี๋เสวี่ยเพื่อความสนุกสนาน
“เ้า...” มู่อี๋เสวี่ยเห็นมู่จื่อหลิงยังคงมีท่าทางกวนประสาทอยู่ แล้วยังยิ้มอย่างเบิกบานใจเพียงนั้น ก็โกรธจนหายใจไม่ออก มู่จื่อหลิงใกล้จะตายอยู่แล้วใช้สิ่งใดมากล้าเชื่อมั่นในตนเองเพียงนี้
หลงเซี่ยวเจ๋อ ลุงฝูและเสี่ยวหานเห็นมู่จื่อหลิงขบขันใบหน้ารำคาญใจของมู่อี๋เสวี่ย พวกเขาก็อยากหัวเราะทว่าไม่กล้า อดกลั้นด้วยความทรมานนัก
ในขณะเดียวกันลุงฝูและเสี่ยวหานก็กังวลว่ามู่อี๋เสวี่ยพาองค์หญิงอันหย่าไปฟ้องไทเฮา ทว่าหลงเซี่ยวเจ๋อกลับรับรู้ได้ว่าละครชั้นดีกำลังจะเริ่มแล้ว เขาพลันตั้งตารอว่าพี่สะใภ้สามจะกลั่นแกล้งพวกนางเช่นใด
“เปิ่นหวางเฟยทำไมหรือ เปิ่นหวางเฟยเพียงหวังดีต่อพวกเ้า” มู่จื่อหลิงทำท่าทางเป็คนดีไร้เดียงสา
“หึ หวังดีต่อพวกข้า เ้าพูดกลับเสียแล้วกระมัง เ้ากลัวว่าหลังจากที่องค์หญิงอันหย่าฟื้นขึ้นมาจะไปบอกไทเฮาว่าเป็เ้ายั่วโทสะนาง ตอนนี้กำลังหวาดกลัวไทเฮากล่าวโทษ คิดจะขอร้องให้พวกเราปล่อยเ้าไปสินะ” มู่อี๋เสวี่ยพูดอย่างหยิ่งผยอง
“อ้อ ที่แท้เ้ารู้ว่าเปิ่นหวางเฟยกำลังกังวลจนหวาดกลัวนี่เอง อืม กลัวมากจริงๆ” มู่จื่อหลิงจงใจลากเสียงยาว แสร้งทำท่าหวาดกลัวเข้าแล้ว
มู่อี๋เสวี่ยก็มิใช่ว่าจะไร้สมองไปเสียหมด บัดนี้มีสมองขึ้นมาบ้างแล้ว
ยามนี้นางรู้ว่าองค์หญิงอันหย่าเป็กุญแจสำคัญ ขอเพียงองค์หญิงอันหย่าฟื้นขึ้นมา นางทูลต่อไทเฮาเช่นใดก็จะเป็เช่นนั้นแล้ว ไม่ว่าอย่างไรไทเฮาก็จะเชื่อ คนที่ซวยก็เป็นางมู่จื่อหลิง
แต่ว่ามู่อี๋เสวี่ยสมองเพียงเท่านี้ก็ยังไม่เพียงพอให้นางเล่น
ได้ยินคำพูดของมู่จื่อหลิง มู่อี๋เสวี่ยก็ยิ่งได้ใจราวกับนกยูงรำแพนหาง เชิดคางขึ้นอย่างถือดี ด้วยท่าทางเหมือนคางคกขึ้นวอ
หึหึ ยามนี้มู่จื่อหลิงรู้จักกลัวแล้ว คิดจะขอร้องพวกนาง?
รีบขอร้องเร็วเข้าเถิด ตอนนี้นางอยากจะเห็นมู่จื่อหลิงคุกเข่าลงบนพื้นส่ายหางขอร้องนางนัก จากนั้นนางค่อยเอาคืนที่มู่จื่อหลิงตบนางสองฝ่ามืออีกเท่าตัว รอมู่จื่อหลิงขอร้องแล้ว พวกนางค่อยไปฟ้องไทเฮา
มู่อี๋เสวี่ยฝันกลางวันอย่างสวยงาม รอมู่จื่อหลิงเอ่ยปากขอร้อง ทว่าคำพูดต่อมาของมู่จื่อหลิงก็ทำให้นางโมโหจนหน้าคล้ำ
“แต่ว่า...เปิ่นหวางเฟยมิได้กลัวว่าพวกเ้าจะไปทูลฟ้อง เปิ่นหวางเฟยกังวลว่าองค์หญิงอันหย่ายังไม่ทันเข้าวังชีวิตก็สูญสิ้นเสียแล้ว ถึงเวลานั้นตายไร้พยานหลักฐาน เป็พวกเ้าที่พาองค์หญิงอันหย่าออกมาและเกิดเื่ขึ้น เช่นนั้นพวกเ้า...” มู่จื่อหลิงพูดทีละคำด้วยโทนเสียงที่หวาดหวั่น
ยามนี้นางหน้าหนาไม่กลัวแมลงวันใดทั้งนั้น คำพูดอันใดก็กล้าพูดออกมา ตัวละครเล็กอย่างพวกมู่อี๋เสวี่ยย่อมต้องหวาดกลัว
องค์หญิงอันหย่าเป็อะไรที่จวนฉีอ๋อง สุดท้ายคนที่ยินดีที่สุดมิใช่มู่อี๋เสวี่ยหรือ มู่อี๋เสวี่ยแทบจะรอตอนเกิดเื่ไม่ไหวแล้ว เช่นนั้นก็ต้องมาดูกันว่านางมีความสามารถนั้นหรือไม่
ความคิดของมู่อี๋เสวี่ยดีนัก แต่นางก็ยังมีบันไดลงอยู่ดี ให้สู้กับนาง มู่อี๋เสวี่ยยังอ่อนไปนิดหน่อย
สิ่งที่รอมิใช่รับการคุกเข่าขอร้องอย่างที่คิด แต่เป็คำเฉไฉของมู่จื่อหลิง พลันโมโหจนเหลืออด “เ้า...เ้าหยุดพูดไร้สาระได้แล้ว องค์หญิงอันหย่าเพียงเป็ลมไปเท่านั้น จะตายได้อย่างไร”
มู่จื่อหลิงยามนี้เป็โพธิสัตว์ข้ามแม่น้ำเจียง ตนเองยังยากปกป้อง [1] ยังกล้ามาพูดไร้สาระ กล้าทึกทักสาปแช่งว่าองค์หญิงอันหย่าจะตาย องค์หญิงอันหย่าเพียงแค่หมดสติไปเท่านั้น หาได้ตายง่ายดายเช่นนั้นไม่
มู่จื่อหลิงเหลือบมององค์หญิงอันหย่าที่ยังคงตัวอ่อนปวกเปียกให้สาวใช้พยุงอยู่ ก็ยิ้มบางๆ ออกมา ลูกแกะน้อย ความอดทนไม่เลวเลยนี่ เป็เช่นนี้แล้วยังไม่ขยับเขยื้อน เช่นนั้นก็ทำต่อไป
มู่จื่อหลิงโบกมือ ถอนหายใจอย่างไม่ใส่ใจ
“เฮ้อ! ในเมื่อพวกเ้าไม่เชื่อก็ไปเถิด วังหลวงอยู่ไกลจากที่นี่ ตลอดทั้งทางยังโงนเงนนัก หากกระทบกระเทือนถึงองค์หญิงอันหย่าเข้า... ถึงตอนนั้นก็อย่าได้โทษว่าเปิ่นหวางเฟยไม่เตือนพวกเ้า บางทียังมิทันได้พบไทเฮา ศีรษะก็เปลี่ยนที่อยู่เสียแล้ว”
ได้ยินเช่นนี้สาวใช้ทั้งสองคนก็ตื่นตระหนก ทว่ามู่อี๋เสวี่ยยังคงไม่เชื่อ นางจึงแสร้งสงบเยือกเย็น พูดกับสาวใช้ทั้งสองว่า “อย่าไปฟังคำพูดมั่วซั่วของนาง พวกเราไป”
ทว่าพวกนางก้าวออกไปได้เพียงหนึ่งก้าว มู่จื่อหลิงก็ยกมือเรียวดังหยกขึ้นััใบหน้ารูปไข่ขาวนุ่มของตน พูดเบาๆ ว่า “จุ๊ๆ ใบหน้ารูปไข่แสนงดงาม น่าเสียดายจริงๆ ถึงเวลานั้นคงอาบไปด้วยเือยู่บนพื้นอันโสมม กลิ้งไปกลิ้งมา พอตั้งใจฟังก็จะได้ยินเสียงศีรษะอาบเืกลิ้ง ‘ขลุกๆ’ ไปมา!
สุดท้ายก็ถูกนำไปทิ้งทีู่เาด้านหลังให้สัตว์ป่ามากัดทึ้งอย่างไร้ความปรานี กลายเป็ซากเนื้ออาบเื ภาพนั้นช่างน่าสังเวชเกินกว่าจะทนดูได้นัก ไอ้หยา นั่นมิใช่ตายตาไม่หลับหรือ คิดๆ แล้วน่าสยองจริงๆ”
มู่จื่อหลิงไม่เกรงกลัวว่าพวกนางจะจากไป และไม่รีบร้อนตามพวกนาง ยังคงอารมณ์ดั่งเมฆน้อยลมเบาบาง ใน่สำคัญก็ยังมิลืมเน้นเสียงข่มขวัญพวกนาง
ราวกับนางเล่าเื่ผีไม่ผิดเพี้ยน แน่นอนว่าก็ไม่เหนือไปจากความคาดหมายของนาง
สาวใช้สองคนนั้นใจนสีหน้าซีดราวกับกระดาษ พวกนางเชื่อคำพูดของฉีหวางเฟยจริงๆ กลัวศีรษะจะย้ายที่อยู่ พวกนางจึงมิกล้าก้าวไปข้างหน้าแล้ว
แม้มู่อี๋เสวี่ยจะอับอายจนพาลโมโหไปแล้ว แต่ว่านางก็ยังเป็เพียงสตรีในห้องหอที่ไม่เคยเห็นโลกข้างนอก ย่อมใบรรยากาศน่าขนหัวลุกของมู่จื่อหลิง
นางหันศีรษะไปถามมู่จื่อหลิงอย่างไม่แน่ใจ “เ้า...เ้ารู้อาการป่วยขององค์หญิงอันหย่าได้อย่างไร”
น้ำเสียงนี้เบาเสียจนไม่เหมือนผู้ที่เย่อหยิ่งเมื่อครู่อย่างสิ้นเชิง
“มิต้องมาสนใจว่าเปิ่นหวางเฟยทราบได้อย่างไร เ้าลองััหน้าอกองค์หญิงอันหย่าก็จะเห็นว่าหัวใจนางเต้นเร็วยิ่งนัก” มู่จื่อหลิงเห็นมู่อี๋เสวี่ยเกือบจะตกหลุมพรางแล้ว ก็ยกมุมปากอย่างพอใจ กล่าวตักเตือนอย่างเป็ต่อ
มู่อี๋เสวี่ยไม่พูดพล่าม ยื่นมือไปกดหน้าอกขององค์หญิงอันหย่า
ไม่กี่นาทีหลังจากนั้น
มู่อี๋เสวี่ยก็ชักมือกลับมาราวถูกไฟดูด นางตกตะลึง พูดอย่างติดขัด “จริง...จริงด้วย หัวใจขององค์หญิงอันหย่าเต้นแรงยิ่งนัก จะตายจริงๆ หรือ”
มู่จื่อหลิงเห็นมู่อี๋เสวี่ยพูดออกมาตรงๆ ด้วยท่าทางโง่เขลา ในใจก็ยิ้มออกมา ที่หัวใจองค์หญิงอันหย่าใจเต้นเร็วมิใช่เพราะโมโหความโง่งมของพวกเ้าหรือ ทั้งที่พาคนไปได้แล้ว แต่ยังคงชักช้าลีลาอยู่ที่นี่กับนาง
แต่ต่อให้พวกนางฉลาดคิดจะจากไป นางเองก็ไม่ปล่อยพวกนางไปง่ายๆเช่นกัน ไหนเลยจะมีเื่ดีๆ เช่นนี้
มู่จื่อหลิงใช้ระบบซิงเฉินตรวจวัดอัตราการเต้นของหัวใจองค์หญิงอันหย่าแล้ว หัวใจที่เป็โรคหัวใจขององค์หญิงอันหย่าดวงนั้นเต้น ‘ตึกตึกตึก’ อย่างบ้าคลั่ง แล้วความเร็วนั้นไม่ลดลงเลยมีแต่เร็วขึ้น ดูท่าคงจะถูกยั่วโทสะไม่เบาแล้ว
หากองค์หญิงอันหย่ายังโกรธต่อไปเช่นนี้ คาดว่าได้เกิดเื่จริงๆ แน่ ทว่ามู่จื่อหลิงเตรียมการไว้หมดแล้ว
จะปล่อยให้องค์หญิงอันหย่าเกิดเื่จริงๆ ได้อย่างไร นางต้องก้าวไปทีละลำดับ ค่อยๆ ควบคุมไปทีละก้าว ไม่ละโมบจนเกินไป
“เป็อย่างไรเล่า เปิ่นหวางเฟยนั้นหวังดีต่อพวกเ้าจริงๆ หากร่างกายขององค์หญิงอันหย่าทนไปถึงวังไม่ไหว ถึงเวลานั้นตายโดยไม่ตั้งใจเข้าพวกเ้าก็ระวังศีรษะจะกลิ้งขลุกๆ แล้วกัน” มู่จื่อหลิงปล่อยมือด้วยท่าทางจนปัญญานัก เอ่ยเตือนอีกครั้งด้วยความหวังดี
พวกมู่อี๋เสวี่ยมองหน้ากันไปมา พวกนางในยามนี้ย่อมไม่อยากไปเลยแม้แต่น้อย หากองค์หญิงอันหย่าตายขึ้นมาจริงๆ ที่แห่งนี้ล้วนเป็คนของจวนฉีอ๋อง ถ้ามู่จื่อหลิงไม่ยอมรับผิด คนตายแล้วไร้หนทางสืบหา เช่นนั้นผู้ที่หัวตกลงพื้นก็เป็พวกนางแล้ว
แต่ว่ายามนี้ไม่ไปแล้วต้องทำอย่างไรต่อ ทั้งสามคนยืนอยู่ตรงนั้นอย่างโง่งม เ้ามองข้า ข้ามองเ้า ผู้ใดก็ไม่กล้าเอ่ยปาก และมิกล้าขยับแม้แต่ครึ่งก้าว
ดูเหมือนว่าพวกหลงเซี่ยวเจ๋อก็ถูกคำพูดทีเล่นทีจริงของมู่จื่อหลิงทำให้ใเช่นกัน องค์หญิงอันหย่าจะตายจริงๆ หรือ แต่เหตุใดพี่สะใภ้สามจึงไม่มีท่าทางหวาดกลัวเลยเล่า แล้วยังมีท่าทีชอบใจอย่างมาก
เมื่อทั้งห้องเงียบลง มู่จื่อหลิงก็เอ่ยปากอย่างไม่ทุกข์ไม่ร้อน “พวกเ้าอยากไป เปิ่นหวางเฟยก็มิรั้งไว้แล้ว ก็ถือเสียว่าความหวังดีของเปิ่นหวางเฟยเป็ความมุ่งร้ายแล้วกัน”
“ท่านพี่...” มู่อี๋เสวี่ยอยากกล่าวอะไรแต่ก็ชะงักไว้ สองตาน้ำตาคลอหน่วย ยามนี้นางหวาดกลัวจริงๆ เสียแล้ว ทว่าเมื่อครู่นางทำกับมู่จื่อหลิงแบบนั้น มู่จื่อหลิงจะยังช่วยพวกนางหรือ?
มู่จื่อหลิงชายตาแลอย่างเงียบๆ มีเื่ขอร้องนางก็เรียกขานใกล้ชิดขึ้นมา ไม่มีเื่ก็ก่นด่าราวกับแม่ค้าปากตลาด ความเร็วในการเปลี่ยนสีหน้าของมู่อี๋เสวี่ยนี้ไม่มีใครกล้าสู้นางแล้ว
“เฮ้อ! เห็นพวกเ้าน่าสงสาร เปิ่นหวางเฟยจะใจดีช่วยพวกเ้าสักหน พยุงองค์หญิงอันหย่าไปนั่งก่อน เปิ่นหวางเฟยฝังเข็มให้นางก็เรียบร้อยแล้ว” มู่จื่อหลิงถอนหายใจด้วยท่าทางเสียเปรียบอย่างมาก
ไม่รู้เลยว่าในใจนางนั้นยินดียิ่งเสียกว่าอะไร
“เร็วๆ รีบพยุงองค์หญิงไปนั่งลง” มู่อี๋เสวี่ยได้ยินคำพูดของมู่จื่อหลิงก็ยินดีราวกับได้รับการอภัยโทษอย่างไรอย่างนั้น รีบร้อนพูดกับสาวใช้ทั้งสองคน
นางในตอนนี้เชื่อคำพูดของมู่จื่อหลิงโดยสิ้นเชิง ก่อนหน้านางได้ยินคนในวังพูดว่ามู่จื่อหลิงรักษาโรคทางสมองขององค์ชายห้าจนหาย นางก็ยังไม่เชื่อมาโดยตลอด
เมื่อก่อนมู่จื่อหลิงเป็เพียงกระสอบฟาง ไม่รู้จักตัวอักษรแม้สักตัว จะมีทักษะการแพทย์ได้อย่างไร ทั้งตอนที่อยู่จวนจงอี้โหวประตูหลักไม่ออกประตูรองไม่ข้าม จะไปเรียนทักษะการแพทย์มาจากที่ใด
แต่วันนี้นางสามารถมองความผิดปกติขององค์หญิงอันหย่าออกก็ทำให้นางเชื่อขึ้นมาบ้าง
ไม่ว่ามู่จื่อหลิงจะช่วยให้องค์หญิงอันหย่าฟื้นมาได้หรือไม่ อย่างไรเสียตอนนี้พวกนางก็ไม่สามารถไปได้ และไม่มีวิธีรักษาองค์หญิงอันหย่าเช่นกัน ก็รักษาม้าตายเป็ม้าเป็ [2] แล้วกัน
ถ้าองค์หญิงอันหย่าตายภายใต้น้ำมือมู่จื่อหลิง เช่นนั้นมู่จื่อหลิงคิดปัดความรับผิดชอบก็ปัดมิได้แล้ว ไทเฮาต้องให้นางรับผิดชอบด้วยชีวิตเป็แน่
----------------------------------------
เชิงอรรถ
[1] โพธิสัตว์ข้ามแม่น้ำเจียง ตนเองยังยากปกป้อง หมายถึงตนเองยังลำบาก อย่าได้ไปคิดช่วยเหลือผู้อื่น
[2] ม้าตายเป็ม้าเป็ ใช้กับเื่ราวไร้หนทางแก้ไข เมื่อมีความหวังเพียงเล็กน้อย จึงได้แต่ใช้วิธีนั้นเป็วิธีสุดท้าย