เมื่อเห็นว่าอยู่ๆ เขาก็นิ่วหน้าขึ้นมาแล้ว หลินฟู่อินจึงเครียดขึ้นมาอีก บุรุษผู้นี้อยากให้นางทำอะไรกันแน่?
เมื่อหวงฝู่จินเห็นสภาพนั้น เขาจึงหยิบเอาเมล็ดเกือบทั้งหมดกลับมาจากมือนาง จากนั้นก็แบ่งออกมาส่วนหนึ่งก่อนกล่าวกับหลินฟู่อินว่า “เอาใหม่ ข้าจะถือให้เ้ากึ่งหนึ่ง แล้วเ้าใช้มือที่ว่างอยู่อีกข้างมาแกะให้ข้า”
น้ำเสียงนั้นดูเป็การสั่ง
หลินฟู่อินแทบเป็ลม “คุณชายกำลังล้อข้าเล่นอยู่ใช่หรือไม่?”
หวงฝู่จินส่ายหน้าด้วยสีหน้าใสซื่อ แล้วชี้นิ้วไปยังท้องของตนก่อนกล่าว “ข้ากำลังหิวมาก”
ท่าทีนั้นชัดเจนว่ากำลังพยายามอ้อน หากไม่ใช่เพราะสถานการณ์ไม่อำนวยแล้ว หลินฟู่อินก็อยากจะกลอกตามองฟ้าเสียจริงๆ
“เช่นนั้นก็ไปภัตตาคารหลิวจี้กัน ข้าเลี้ยงเอง” หลินฟู่อินถือเมล็ดในมือแล้วกล่าวอย่างไว้ท่าที
“ที่นั่นมันมีอะไรดีกัน? หากจะทำเช่นนั้นก็สู้กลับบ้านเ้าแล้วให้เ้าทำอาหารให้ข้าเลยดีกว่า” หวงฝู่จินยิ้มหวาน ก่อนยื่นมือออกไปจับมือหลินฟู่อิน “กลับบ้านกัน ระหว่างทางกลับเ้าก็แกะถั่วให้ข้าทานด้วย ถึงบ้านเ้าก็ทำอาหารให้ข้าทานต่อ จะมีอะไรดีไปกว่านี้ได้อีก”
หลินฟู่อินเดือดดาลขึ้นมา จนนางเผยรอยยิ้มแม้สายตาจะไม่ยิ้มด้วย “คุณชายควรไปขอให้แม่นางหลีอู่นั่นแกะให้ทาน และให้นางทำอาหารให้ท่านกินเสียมากกว่า ข้าไม่ใช่ทั้งคนใช้หรืออะไรของท่าน เช่นนั้นแล้วการให้ข้าทำให้มันก็ไม่เหมาะสมนักไม่ใช่หรือ?”
แม้จะได้ยินเช่นนี้แต่หวงฝู่จินก็ยังไม่สะท้าน ทั้งยังยิ้มออกมาแล้วกล่าว “ข้าหิวมากจริงๆ ดังนั้นก็แกะให้ข้าเสีย”
เห็นเขาไม่ปฏิเสธอะไรเลยเช่นนี้ ก็ยิ่งทำให้หลินฟู่อินรู้สึกราวกับว่านางกำลังดีดพิณให้วัวฟัง
ตอนที่เขาโผล่มาที่บ้าน นางไม่ได้ถามเขาว่าเขาทานอะไรมาหรือยัง และในเมื่อตอนนี้เขาบอกว่าหิว ก็คงแปลว่าเขายังไม่ได้ทานอะไรมาเลยจริงๆ
แต่การแกะด้วยมือเดียวนั้นเป็เื่ยากนัก นางจึงใช้ปากกัดดังกร๊อบเพื่อแกะเปลือก ดึงเอาเมล็ดออกมา แต่ยังไม่ยื่นให้หวงฝู่จินในทันที
นางทำซ้ำจนมีพอประมาณแล้ว นางถึงค่อยส่งให้หวงฝู่จินต่อ
หวงฝู่จินรับไว้ แล้วริมฝีปากของเขาก็โค้งขึ้นพลางก้มหน้าลงต่ำเพื่อไม่ให้ผู้อื่นเห็น
เมื่อหลินฟู่อินคิดว่าหวงฝู่จินกำลังกินขนมเปื้อนน้ำลายของนาง ก็รู้สึกอี๋ขึ้นมาเล็กน้อย และเมื่อเห็นท่าทีร่าเริงของหวงฝู่จิน นางก็เริ่มไม่พอใจขึ้นมา
นางกำลังโมโห โมโหเป็อย่างมาก
โมโหจนนางเริ่มไม่มั่นใจแล้วว่าจะหยุดตัวเองได้ ดังนั้นการที่หวงฝู่จินก้มหน้าลงเช่นนี้จึงนับได้ว่าเป็ทางเลือกที่ถูกต้อง
หลินฟู่อินกลับมาถึงบ้านด้วยอารมณ์ที่ไม่ค่อยดีนัก แล้วจึงตรงดิ่งเข้าครัวทันทีโดยไม่รอให้หวงฝู่จินกล่าวอะไร
เพราะหากว่ากันตามจริง นางเองก็เริ่มหิวแล้วเช่นกัน
นางเตรียมอาหารไว้เพียงส่วนของนางและหวงฝู่จิน เพราะสองพี่น้องหลินเฟินหลินฟางต่างก็ย้ายไปอยู่ที่ร้านแล้วเพื่อความสะดวกในการเตรียมสินค้า ทั้งของกินเล่นและไข่เยี่ยวม้ารวมไปถึงไข่ดอกสน
หลังทานมื้อเย็นเสร็จ หลินฟู่อินจึงไปล้างจาน ก่อนไปตักน้ำเพื่อคลายคอแห้งโดยไม่สนใจหวงฝู่จิน
วันนี้นางอารมณ์ไม่ดีพอที่จะไปตอแยกับเขามากกว่านี้แล้ว
เช้าวันถัดมาหวงฝู่จินก็ได้หายไปอีกครั้ง ซึ่งนางชินแล้ว
นางเพียงหวังว่าเขาจะไม่ได้ออกไปทำเื่อันตรายเช่นการไปตอแยกับผู้มีอำนาจในเป่ยหรง จนถูกมือสังหารไล่เอาชีวิตเช่นคราวก่อนอีก
หลังจากทานอาหารเช้าเสร็จแล้ว หลินฟู่อินก็ออกไปที่ร้านเพื่อพบหลินเฟินและหลินฟาง และรายงานกับพวกนางว่านางจะเดินทางไปยังชิงเหลียน
หลินเฟินและหลินฟางต่างก็ดีใจกันมากเมื่อทราบเื่ว่าพวกนางได้ร้านในชิงเหลียนมาเป็ที่เรียบร้อยแล้ว
จากนั้นทั้งสองจึงให้คำมั่นกับหลินฟู่อินว่าพวกนางจะดูแลบ้านให้เอง
หลินฟู่อินสบายใจขึ้นมา นี่เองคือข้อดีของการมีคนอยู่ด้วย
จากนั้นนางจึงกลับไปยังบ้านเพื่อเอาโฉนดแดงที่เพิ่งได้มา แล้วมุ่งหน้าไปยังร้านของแม่นางฉินเพื่อรายงานว่าพ่อบ้านของเจียงฮูหยินตกลงที่จะลดให้อีกห้าร้อยตำลึงเงิน
แม่นางฉินพอใจมาก และกล่าวกับหลินฟู่อินว่านางจะพยายามเตรียมเงินและไปหาพ่อบ้าน หลินฟู่อินจึงให้ที่อยู่ของพ่อบ้านไป
เมื่อออกมาจากร้านของแม่นางฉิน นางก็ไปพบนายหน้าเมิ่งเพื่อแจ้งเื่ที่นางอยากเปลี่ยนโฉนด และนางอยากให้เขาช่วยดำเนินการให้
นายหน้าเมิ่งจึงไปเช่ารถม้าแล้วออกเดินทางไปยังชิงเหลียน
ทันทีที่รถม้ามาถึงทางหลวงแล้ว รถม้าของพวกหลินฟู่อินก็ถูกใครบางคนมาหยุดไว้
คนขับรถม้าด่าไม่หยุด จนหลินฟู่อินต้องเลิกม่านขึ้นดู และได้พบกับรถม้าของหวงฝู่จินที่จอดขวางบริเวณทางหลวงอยู่
นางมองหน้ามองหลังต่อ เมื่อเห็นว่าที่นี่ไม่มีใครอื่นอยู่แล้ว นางจึงเข้าใจได้ว่าหวงฝู่จินจงใจเลือกจังหวะนี้เพื่อออกมาขวางพวกนาง
“แม่นางหลิน พวกเราควรจะทำอย่างไรกันดี? ข้าด่ามันไปมากขนาดนี้แล้ว แต่เ้าคนขับรถม้านั่นกลับยังเมินข้าอยู่เลย” คนขับรถม้าฝั่งหลินฟู่อินหันมามองหลินฟู่อินด้วยท่าทีเดือดดาล
“ข้าเองก็ขับรถม้ามานาน เดินทางมาหลายครั้ง แต่ข้ายังไม่เคยพบคนถือดีถึงขั้นมาขวางถนนแล้วไม่ยอมให้ผู้อื่นเดินทางได้เช่นนี้มาก่อนเลย”
“ท่านลุงไม่ต้องโมโหไปเ้าค่ะ ข้าจะไปคุยเอง” หลินฟู่อินหัวเราะออกมา จากนั้นจึงยกชายกระโปรงขึ้นเพื่อเตรียมลงจากรถม้า
นายหน้าเมิ่งยื่นหน้าออกมาแล้วกล่าว “แม่นางหลิน ระวังตัวด้วย!”
“ท่านเมิ่งไม่ต้องกังวล ในรถม้าคันนั้นเป็ญาติห่างๆ ของข้าเองเ้าค่ะ” หลินฟู่อินกล่าวติดตลก จากนั้นจึงกล่าวกับนายหน้าเมิ่งต่อ “ข้าขอฝากโฉนดไว้กับท่านด้วย อยู่ในกล่องไม้นั่นละ”
“แม่นางโปรดวางใจ!” นายหน้าเมิ่งพยักหน้าไม่หยุด ก่อนกล่าวด้วยรอยยิ้ม “เป็ญาติห่างๆ ของแม่นางนี่เอง เช่นนั้นการที่มาหยุดแม่นางไว้กลางทางเช่นนี้ก็พอเข้าใจได้” กล่าวจบแล้วเขาจึงหันไปกล่าวกับคนขับรถต่อ “ท่านลุงก็ไม่ต้องโกรธไป นั่นเป็คนรู้จัก”
นายหน้าเมิ่งนั้นไหวพริบเฉียบคม เมื่อเขาเห็นสีหน้าสงบนิ่งของนางก็เข้าใจได้ว่านางรู้จักกับคนในรถม้าที่ขวางทางอยู่นั่นจริงๆ เขาจึงไม่เป็กังวลอีก
และเขาคาดการณ์ว่าหลินฟู่อินคงจะเดินทางต่อกับรถม้าของ ‘ญาติห่างๆ’ นั้นแทน เขาจึงกล่าวกับหลินฟู่อิน “เช่นนั้นแล้วข้าจะล่วงหน้าไปก่อน เมื่อจัดการทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว ข้าจะไปพบแม่นางที่ร้านเลย”
หลินฟู่อินพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม
หวงฝู่จินที่นั่งจิบชาอยู่ในรถม้าแทบจะเผลอพ่นชาออกมาหลังถูกเรียกว่าเป็ ‘ญาติห่างๆ’ ซ้ำไปซ้ำมา
หลินฟู่อินเลิกม่านของรถม้าขึ้น ก็พบหวงฝู่จินที่เปลี่ยนมาสวมชุดคลุมสีเขียวหยกกำลังนั่งจิบชาอยู่ นางก้าวเข้าไปในรถม้าแล้วมองหวงฝู่จิน ก่อนกล่าวว่า “คุณชายเองก็จะไปที่ชิงเหลียนเช่นกันหรือ?”
ไม่บังเอิญไปหน่อยหรือ?
“หยุดเรียกข้าว่าญาติห่างๆ จะได้หรือไม่?” หวงฝู่จินกลับกล่าวขอร้องออกมาแทนคำตอบ
หลินฟู่อินแสยะยิ้มและเลิกคิ้วขึ้น “ช่วยไม่ได้มิใช่หรือ? หากข้าตอบไปว่าเป็อย่างอื่นก็จะน่าสงสัยอีก”
หวงฝู่จินไม่ตอบอะไร เขาวางจอกชาลงบนโต๊ะ แล้วหยิบเอาโฉนดออกมาจากแขนเสื้อเพื่อยื่นให้กับหลินฟู่อิน ก่อนกล่าวอย่างนุ่มนวล “ข้าเองก็ไปด้วยเหตุผลเดียวกับเ้า”
หลินฟู่อินรับโฉนดมาดู แล้วนางก็ต้องตกตะลึงเพราะหวงฝู่จินมีโฉนดถึงห้าใบ สองจากชิงเหลียนและสามจากเมืองหนิง
และสิ่งที่ทำให้นางตะลึงที่สุดคือสิ่งที่เขียนไว้บนโฉนดทั้งห้า ว่าแต่ละใบนั้นมีเนื้อที่กว่าสองพันหมู่ ทั้งยังเป็ที่ที่ทำการเพาะปลูกได้
“ทั้งหมดนี้ท่านเสียไปเท่าไรหรือ?” หลินฟู่อินถามด้วยมือไม้สั่นเทา
นางเองก็เพิ่งซื้อที่พร้อมเรือนไปกว่าห้าถึงหกร้อยหมู่ คาดไม่ถึงเลยว่าเจียงฮูหยินจะยังมีที่เหลืออยู่มากถึงเพียงนี้
หวงฝู่จินมองหลินฟู่อินแล้วกล่าวอย่างนุ่มนวล “รวมกันทั้งหมดหนึ่งแสนตำลึงเงิน”
แม้ว่าเงินแสนตำลึงจะเป็เงินก้อนใหญ่ แต่เมื่อคิดว่าได้ที่กลับมาหนึ่งหมื่นหมู่ก็นับว่าถูกมา
“ถูกยิ่งนัก” หลินฟู่อินอิจฉาหวงฝู่จินขึ้นมาเล็กน้อย
หากตอนนั้นนางมีเงินแสนอยู่ในมือ ที่นับหมื่นหมู่นี้ก็คงกลายเป็ของนางไปแล้ว!
หวงฝู่จินส่ายหน้า “ไม่ ไม่ถูกเลย อันที่แพงนั้นเป็ที่ในชิงเหลียน ที่ในเมืองหนิงไม่ได้มีราคาอะไรมากขนาดนั้น”
หลินฟู่อินเองก็เคยไปเยือนเมืองหนิงมาแล้ว แม้มันจะมีความมั่งคั่งแต่ก็มากกว่าเมืองชิงหยางเพียงเล็กน้อย เทียบไม่ได้เลยกับในชิงเหลียน
พอคิดได้เช่นนี้ นางจึงเห็นด้วยกับคำพูดของหวงฝู่จิน
เมื่อหลินฟู่อินตั้งท่าจะคืนโฉนดให้หวงฝู่จิน หวงฝู่จินก็โบกมือ “เอาไปเปลี่ยนให้เป็ชื่อของเ้าเสีย นำมันไปหานายหน้าเมิ่งนั่นแล้วดำเนินการไปพร้อมกับที่ของเ้าเลย เพราะข้าจะยกให้เ้าดูแล
นี่เป็สิ่งที่หวงฝู่จินบอกกับนางไว้เมื่อคราวก่อน
หลินฟู่อินพิจารณาดูแล้วก็รู้สึกว่ามันไม่ถูกต้องนัก แต่เมื่อเห็นว่าหวงฝู่จินมีท่าทีจริงจังเช่นนี้ นางจึงต้องพยักหน้ารับ
เมื่อหวงฝู่จินเห็นว่านางไม่คัดค้าน เขาก็พยักหน้าอย่างพอใจ
จากนั้นจึงรินชาให้นาง แล้วดันจอกให้ ปากก็เอ่ยสั่ง “ดื่มเสีย”
หลินฟู่อินยื่นมือออกไปรับจอกมา ทว่าในใจกำลังคิดเื่อื่นอยู่
หวงฝู่จินมีที่อยู่มากกว่าหนึ่งหมื่นหมู่ การไปสำรวจคงต้องใช้เวลามากเป็แน่ ที่ในโฉนดทั้งห้าถูกซื้อมาเพื่อใช้ทำไร่ แต่ดูเหมือนว่าจะให้ผลผลิตไม่ดีเท่าที่ในหมู่บ้านต้าซู่ของนาง
แต่เพราะมันมีที่มากกว่าไร่ของนางเกือบสี่เท่า ดังนั้นการจะคิดเช่นนั้นมันจึงไม่ค่อยถูกนัก
และจะไปคิดว่าผลผลิตจะเท่ากันหมดก็ไม่ได้อีก เพราะผู้ที่ดูแลไร่ให้เจียงฮูหยินนั้นมีหลายกลุ่ม ปลูกผักต่างกันและดูแลต่างกัน… ต่อให้ผลผลิตไม่เท่ากันขึ้นมาก็ไม่น่าแปลกใจ
หวงฝู่จินเห็นหลินฟู่อินนั่งนิ่งๆ โดยไม่ดื่มชาในมือ จึงกล่าวขึ้นมาว่า “วันนี้เ้าจะไปดูร้านของเ้ามิใช่หรือ? มีเื่น่ายินดีเช่นนั้นแล้วยังจะไปคิดถึงเื่อื่นอีกหรือ?”
หลินฟู่อินเหลือบมองเขา “จะมีเื่อะไรให้คิดไปมากกว่าที่ดินหนึ่งหมื่นหมู่อีกหรือเ้าคะ?”
หวงฝู่จินกะพริบตาปริบๆ อย่างงงวย ก่อนจะยกมือขึ้นมาลูบคาง มองหลินฟู่อินอย่างขบขัน ก่อนจะกล่าวว่า “ตอนนี้เป็ฤดูหนาวแล้วมิใช่หรือ? ไปคิดถึงเื่เช่นนั้นเอาตอนนี้เพื่ออะไรกัน? รอให้ถึงฤดูใบไม้ผลิปีหน้าค่อยคิดก็ยังไม่สายหรอก”
หลินฟู่อินก่นด่าอยู่ในใจ ชาวเป่ยหรงนี่ไม่เคยคิดอะไรล่วงหน้าเลยจริงๆ
“ในเมื่อข้ารับที่นับหมื่นหมู่มาจากท่านแล้ว ข้าก็ต้องดูแลมันให้ดีที่สุด ข้าจะไม่ยอมทำตัวเช่นชาวเป่ยหรงอย่างพวกท่านแน่” หลังจากที่เริ่มคุ้นเคยกันขึ้นมาบ้างแล้ว หลินฟู่อินก็ไม่รักษาท่าทีกับหวงฝู่จินเช่นแต่ก่อนอีก
เช่นครั้งนี้ที่นางทำแม้แต่การเสียดสี แม้นางจะไม่รู้ตัวถึงความเปลี่ยนแปลงนี้เลยก็ตาม
“เ้าเข้าใจผิดแล้ว พวกข้าชาวเป่ยหรงไม่ได้มีนิสัยเช่นที่เ้าว่านะ” หวงฝู่จินเลิกเรียวคิ้ว มองหลินฟู่อิน
“ข้าเข้าใจอะไรผิดไปตรงไหนกัน?” หลินฟู่อินเอียงคอมองเขา เพื่อรอให้เขาอธิบาย
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้