ปลายฤดูใบไม้ร่วงฝนตกโปรยปรายลงมาเบาๆ พัดพาความรู้สึกเหน็บหนาวกระจายไปทั่วทั้งผืนธรณี
เจินจูยืนอยู่ใต้ชายคาของบ้าน ยื่นมือออกไปสำรวจความหนักเบาของสายฝน
“สายฝน... ตกได้ทันเวลาพอดีจริงๆ” ใบหน้าเจินจูประดับไว้ด้วยรอยยิ้มกว้าง
“ท่านพี่ ทำไมฝนถึงตกได้ทันเวลาพอดีล่ะ?” ผิงอันเข้ามาใกล้ แล้วถามด้วยความประหลาดใจ
“ฮ่าๆ เพราะว่าพืชผลที่เพาะปลูกจำเป็ต้องได้รับน้ำอย่างชุ่มชื้นอย่างไรเล่า”
เจินจูยิ้มและกำลังจะเอื้อมมือไปจิ้มแก้มของเขา
ผิงอันหลบหลีกทันที เขาโตตั้งเท่าไรแล้ว ผู้เป็พี่สาวยังเอาแต่จิ้มใบหน้าของเขาอยู่ได้ “ท่านปลูกอะไรหรือ ให้ข้าช่วยรดน้ำหรือไม่?”
“ฮ่าๆ ขอบใจเ้านัก แต่์ส่งฝนฤดูใบไม้ร่วงลงมาเช่นนี้ก็เป็การช่วยพี่รดน้ำแล้วล่ะ” โสมคนที่ปลูกไว้บนูเาสูง ผ่านการชโลมน้ำฝนในฤดูใบไม้ร่วงให้ชุ่มชื้น ร่องรอยดินโคลนที่เพิ่งขุดและปลูกลงไปคงลดน้อยลงมาก
รอนางไปแจ้งให้หลิวผิงทราบ และเขาไปแจ้งแก่กู้ฉีอีกที ไปๆ มาๆ เวลาอย่างน้อยก็ต้องผ่านไปครึ่งเดือนแล้ว
าชายแดนฝั่งต้าสยาน่าจะต้านทานต่อไปได้กระมัง เจินจูกังวลใจเล็กน้อย
แต่พอถึงตอนนั้นก็จะเข้าสู่่เดือนสิบเอ็ด อากาศจะยิ่งหนาวขึ้น แม้ยังไม่ถึงเวลาที่หิมะตกแต่เส้นทางูเาก็จะเดินทางลำบาก ภารกิจเก็บโสมคนจะยิ่งยากลำบากมากขึ้นไปด้วย
ฝนฤดูใบไม้ร่วงมาพร้อมกับลมหนาว ใบไม้ปลิวว่อนร่วงกระจายเต็มลานบ้าน บ้านประตูสองชั้นเช่นนี้สัดส่วนเนื้อที่ค่อนข้างใหญ่ เมื่อถึงคราวทำความสะอาดขึ้นมา จึงเสียเวลาไปค่อนข้างมากเลยทีเดียว
เจินจูกวาดใบไม้ที่ร่วงลงมาจากใต้ชายคาระเบียงให้เป็กองซ้อนกัน หลี่ซื่ออุ้มซิ่วจูเดินออกมาจากในบ้าน
“เจินจู อาหารหมักของปีนี้ต้องเริ่มเตรียมเลยหรือไม่?” ฝนฤดูใบไม้ร่วงหนึ่งห่าอุณหภูมิเย็นลงหนึ่งรอบ สภาพอากาศต่อไปก็เริ่มจะหนาวแล้ว ่เวลาแห่งการทำอาหารหมักประเภทต่างๆ ก็มาถึงอีกเช่นเคย
“เ้าค่ะ ต้องเริ่มเตรียมได้แล้ว ครั้งก่อนเ้าของร้านเหนียนบอกกับท่านพ่อว่า ขอปริมาณมากกว่าปีที่แล้วสามเท่า นั่นเป็จำนวนไม่น้อยเลยนะเ้าคะ” ไม่กี่ปีมานี้การค้าของสือหลี่เซียงดำเนินไปอย่างคึกคักยิ่ง อาหารหมักประเภทต่างๆ ของครอบครัวสกุลหูได้รับความนิยมอย่างมาก พออากาศเริ่มเย็น สกุลหูก็ต้องเริ่มเตรียมทำงานหนักเพื่อหมักอาหารประเภทต่างๆ แล้ว
“…มากขึ้นสามเท่า? ไอ๊หยา ยุ่งจนข้ามปีไปก็เร่งไม่เสร็จเลยนะนั่น” หลี่ซื่อทั้งทุกข์ใจทั้งกลัดกลุ้ม
“ฮ่าๆ ท่านแม่ ท่านไม่ต้องกังวล ปีนี้จ้างคนมามากหน่อย เร่งทันได้แน่เ้าค่ะ” เจินจูหันไปยิ้มทางนางเพื่อปลอบใจ
“ยังจะจ้างเพิ่มอีกหรือ? ปีที่แล้วจ้างฟู่เหรินมาหั่นเนื้อตั้งแปดคนแล้ว ปีนี้ยังจะจ้างมากขึ้นอีก?” หลี่ซื่อรู้สึกกดดันขึ้นมาอีกด้วย
เจินจูยิ้มอย่างงดงาม คิดไปมาอยู่เล็กน้อยแล้วกล่าวให้นางสบายใจ “ทางนั้นมีท่านย่าจัดการ ท่านไม่ต้องเป็ห่วง ท่านแม่ดูแลแค่ซิ่วจูกับผิงอันก็พอแล้วเ้าค่ะ ปีที่แล้วมีฟู่เหรินสองคนแอบอู้งานและเล่นวิธีเ้าเล่ห์ แต่ถูกท่านย่าจับออกมาได้ ฉะนั้นการจ้างคนในปีนี้ของพวกเราต้องเอาใจใส่สักหน่อย อืม... งานสร้างคฤหาสน์ในูเาทางนั้นพอถึงหน้าหนาวก่อนที่หิมะตกก็ต้องหยุดแล้ว ให้ท่านอาเฮยโต้วกับบิดาของเอ้อร์หนิวมาช่วยก่อนก็ได้เ้าค่ะ พวกเขาต่างก็ขยันและมีความสามารถ ช่วยท่านพ่อกับท่านลุงเชือดหมู แยกเนื้อกับกระดูก หั่นเนื้อและกรอกไส้ล้วนทำได้ทั้งสิ้น”
ฟังนางวางกำหนดการอย่างละเอียด หลี่ซื่อก็พยักหน้าติดๆ กัน
“ก็ถูก ปีที่แล้วน้องสะใภ้หลิวเอ้อร์มาทำงานอย่างแทบเป็แทบตาย แต่ไม่กี่วันก็อู้งานทำตัวหลอกล่ออย่างเ้าเล่ห์ คิดไม่ถึงเลยว่าจะยัดเนื้อหมูเข้าไปในขากางเกงได้ เฮ้อ... ไม่รู้จักละอายยิ่งนัก”
เมื่อเอ่ยถึงเื่นี้ขึ้นมา เจินจูอดหัวเราะออกมาไม่ได้ ตอนเข้าหน้าหนาวปีที่แล้วสกุลหูเริ่มทำอาหารหมัก จึงได้จ้างฟู่เหรินมาติดๆ กันหลายคนเพื่อช่วยหั่นเนื้อกรอกไส้ อาสะใภ้หลิวเอ้อร์ผู้นั้นมาหาหวังซื่อแล้วปาดน้ำตาร้องไห้เล่าถึงความลำบากยากจนของตน ขอร้องหวังซื่ออย่างสุดกำลังว่าให้นางมาทำงานที่บ้านสกุลหูด้วย หวังซื่อใจอ่อนเลยรับปากไป
ผู้ที่มาพร้อมกับหลิวเอ้อร์ เป็ฟู่เหรินจากหมู่บ้านเดียวกัน
สองสามวันแรกที่พวกเขาทั้งสองเพิ่งมาถึง ยังซื่อสัตย์และขยันอยู่มาก แต่ผ่านไปได้ไม่นานก็เริ่มเผยธาตุแท้ออกมา ไม่ต้องพูดถึงความเร็วในการหั่นเนื้อเลย พวกนางมักหยอกล้อขบขันกันอยู่บ่อยครั้ง และดูถูกคนที่มาทำงานอย่างขยันขันแข็งและตั้งใจอยู่ก่อนหน้า ต่อมาเริ่มนำเนื้อหมูซุกไว้ภายในขากางเกง มัดปิดช่องว่างตรงชายขากางเกงไว้แน่น แล้วใช้กระโปรงยาวคลุม แอบเอาเนื้อหมูออกจากบ้านสกุลหูไป
หลังจากทำครั้งแรกได้สำเร็จ วันที่สองก็คิดเล่นลูกไม้แบบเดิมซ้ำอีก จึงถูกหวังซื่อจับได้คาหนังคาเขาเพราะจับตาดูพวกนางอยู่ตลอด สองคนที่ความลับถูกเปิดเผยออกมา ไม่เพียงไม่ยอมรับความผิด กลับโทษว่าสกุลหูขี้เหนียว ครอบครัวใหญ่โตทรัพย์สินภายในบ้านมากมายมหาศาลยังจะคิดเล็กคิดน้อยกับพวกนางเพียงเนื้อไม่กี่ชิ้น
เจินจูที่มาได้ยินข่าวนี้ เมื่อได้ฟังก็หัวเราะจนหายใจหอบเหนื่อย ร้องบอกแก่หวังซื่อว่าให้นำพวกนางส่งไปยังบ้านของหัวหน้าหมู่บ้านได้เลย
จ้าวเหวินเฉียงตำหนิพวกนางอย่างรุนแรงพักหนึ่ง แล้วเรียกผู้ชายของทั้งสองครอบครัวมาว่ากล่าวไปพร้อมกันอยู่อีกพักหนึ่ง
หลังจากเหตุการณ์สิ้นสุดลง หวังซื่อด่าทอตนเองอย่างหนัก ทั้งที่รู้ว่าเวลาปกติหลิวเอ้อร์เป็คนนิสัยอย่างไร แต่ยังใจอ่อนปล่อยให้นางเข้ามาในบ้านสกุลหูอีก ทำให้เกิดเื่กวนใจเหล่านี้ขึ้นโดยไม่ใช่เหตุ
ครอบครัวสกุลหูย่อมไม่มีผู้ใดตำหนิหวังซื่อ เจินจูจึงกล่าวอย่างตรงไปตรงมา ว่าเื่เหล่านี้ล้วนเป็เื่เล็กน้อย ไม่จำเป็ต้องโมโหเพื่อคนไม่สลักสำคัญอะไรเลย
ผู้ที่มารับจ้างเดิมมีฟู่เหรินอยู่หกคนคือ จางซื่อกับเสี่ยวจางซื่อภรรยาบุตรชายคนโตของนาง พานซื่อท่านย่าของตงเซิ่ง หวงซื่อภรรยาของจ้าวเฮยโต้ว รวมไปถึงฟู่เหรินที่เข้ามาเพิ่มทีหลังอีกสองคน ล้วนเป็คนที่มีจิตใจดีงามซื่อสัตย์และขยันขันแข็งทั้งสิ้น
เดิมทีหม่าซื่อผู้เป็ภรรยาของจ้าวต้าซานกับติงซื่อมารดาของตงเซิ่ง ก็อยู่ในกลุ่มที่ทำงานด้วย แต่พวกนางไปทำอีกตำแหน่งหนึ่งที่มั่นคงแล้ว ดังนั้นปีนี้ยังสามารถเพิ่มฟู่เหรินขึ้นมาอีกสองคนได้
หูฉางหลินกับหูฉางกุ้ยเริ่มกำหนดแผนการทำงานอันยุ่งเหยิงที่สุดในหนึ่งปีขึ้น
รับหมูมาเชือดและตัดแบ่งส่วนต่างๆ ออก ปริมาณหมูที่เชือดห้าถึงหกตัวทุกวัน ยุ่งจนพวกเขาแม้แต่ข้าวก็ต้องรีบทาน
ปีนี้เจินจูตั้งใจให้พวกเขารับผู้ช่วยทำงานที่มีแรงกำลังวังชาดีมาสองคนเป็พิเศษ นั่นก็คือเจิ้งซวงหลินและจ้าวเฮยโต้ว
ในที่สุดสองคนจึงมีเวลาพักหายใจได้บ้าง ไม่ต้องรีบจนเท้าแทบไม่ััพื้นอีกแล้ว
ในเช้าวันถัดมาทุกคนก็มากันแต่เข้า ฟู่เหรินที่มีหน้าที่หั่นเนื้อและกรอกไส้ ร้องกล่าวทักทายกันหนึ่งที ขั้นตอนการจัดทำล้วนทำอย่างคุ้นเคย พอพวกนางมาถึงก็ยกม้านั่งตรงมุมห้องมานั่งทันทีและเริ่มชะล้างทำความสะอาดไส้เล็ก รอให้เชือดหมูเสร็จค่อยลงมือหั่นเนื้อ
ส่วนเจินจูอยู่ภายในห้องเก็บของจุกจิกหลังบ้านตนเอง เริ่มใช้หินโม่มาโม่เครื่องเทศให้กลายเป็ผง งานนี้ก็ทำไม่ง่ายเช่นกัน เครื่องเทศจำนวนมากครึ่งค่อนวันก็ยังโม่ไม่เสร็จ โชคดีนักที่ผิงอันเลิกเรียนก็เลยเข้ามาช่วยนางได้
เครื่องเทศในถุงผ้าใบใหญ่เ่าั้ต้องโม่ให้กลายเป็ผงแป้งทั้งหมด ขั้นตอนในการทำค่อนข้างหนักหนายิ่ง
“ท่านพี่ ถู่วั่งถามข้าว่าปีนี้บ้านเรารับกำลังคนเพิ่มใช่หรือไม่ ข้าก็เลยถามเขาว่าผู้ใดอยากมาทำงาน เขาบอกว่าท่านย่าของเขาอยากมาลองดู” ผิงอันโม่เครื่องเทศและถามขึ้น
ท่านย่าของถู่วั่ง? อายุเกือบหกสิบแล้วกระมัง เจินจูลังเลเล็กน้อย ไม่ใช่ว่ารังเกียจที่นางอายุมากแต่เจินจูกลัวว่านางจะทำงานหนักจนเกินไปไม่ไหว
“ดวงตาท่านย่าของถู่วั่งเป็อย่างไรบ้างแล้ว?”
“ดีขึ้นมากแล้วล่ะ นอกจากตอนค่ำมองสิ่งของได้เลือนลางเล็กน้อย ตอนกลางวันก็สามารถมองเห็นได้ชัดเจนดีเลย” ผิงอันกับถู่วั่งอยู่ร่วมกันเข้ากันได้อย่างดี และผิงอันก็ไปเล่นสนุกที่บ้านของเขาอยู่บ่อยๆ ด้วย
“อ้อ เช่นนั้นเ้าว่าการเคลื่อนไหวมือและเท้าของท่านย่าเขาคล่องแคล่วดีไหม?”
“ค่อนข้างปราดเปรียวเลยล่ะ ท่านย่าของถู่วั่งกล่าวว่าล้วนเป็เพราะทานเนื้อกวางของบ้านเรา ตอนนี้ร่างกายจึงดีขึ้นมากกว่าตอนอายุห้าสิบปีอย่างมาก เคลื่อนไหวร่างกายเลี้ยงไก่ปลูกผักล้วนว่องไวยิ่งนัก”
ถู่วั่งเป็เด็กชายที่เก็บตัวและกตัญญู งานของที่บ้านก็มักแย่งไปทำ แต่ถู่วั่งราวกับทำงานด้านการเกษตรไม่ค่อยขึ้น ผักที่ปลูกต่างก็แห้งเหี่ยวตาย ไก่ที่เลี้ยงล้วนผอมซูบเซียว หลังท่านย่าของถู่วั่งรับ่ต่อจากเขา ผักและไก่ของที่บ้านก็มีลักษณะเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น
“ฮ่าๆ เช่นนั้นก็ได้ เ้าบอกกับเขาว่าพรุ่งนี้ให้ท่านย่าของเขาทานข้าวเช้าเสร็จแล้วมาได้เลย” หลายปีมานี้ตนเองก็สนิทสนมกับท่านย่าของถู่วั่งมาเป็เวลานาน รู้ว่านางเป็คนที่มีความรับผิดชอบ ทำงานจำพวกหั่นเนื้อและกรอกไส้เหล่านี้น่าจะพอทำได้
ท่านย่าของตงเซิ่งก็อายุเกือบหกสิบปีแล้วเช่นกัน การเคลื่อนไหวของมือคล่องแคล่วว่องไว ขอแค่ท่านย่าของถู่วั่งไม่ได้ช้าจนเกินไปนัก เช่นนั้นก็ไม่ต้องกังวลอะไรมาก
ครอบครัวของถู่วั่งเป็ครอบครัวยากจนในหมู่บ้านเสมอมา สองสามปีมานี้อาศัยการเกื้อกูลของสกุลหูอยู่บ่อยครั้ง ผนวกกับค่าตอบแทนเล็กน้อยจากการเก็บหญ้าเลี้ยงสัตว์มาส่งให้ทุกเดือนของถู่วั่ง ชีวิตความเป็อยู่จึงไม่ได้ทุกข์ยากจนเกินไป แต่สะสมเงินทองอะไรไม่ได้อย่างแน่นอน
ท่านย่าของถู่วั่งออกจากบ้านมาทำงานก็ดี ยืนด้วยลำแข้งของตนเองจึงจะเป็หนทางการเอาตัวรอดได้ การพึ่งพาผู้อื่นให้ช่วยเหลือเกื้อกูลมากไป อย่างไรเสียก็ไม่ใช่แผนการใช้ชีวิตระยะยาวที่ดีเลย
ถู่วั่งเป็เด็กเฉลียวฉลาด ซิ่วฉายหยางกล่าวว่าหากปีหน้าพวกเขาลงสนามสอบบัณฑิตเด็ก อัตราที่ถู่วั่งจะสอบผ่านเป็ไปได้ค่อนข้างมากเลยทีเดียว
มีท่านย่าของถู่วั่งมาเพิ่มหนึ่งคน ในงบประมาณที่เตรียมไว้ของเจินจู ยังสามารถเพิ่มขึ้นได้อีกหนึ่งคน ขณะที่คิดว่าฟู่เหรินในหมู่บ้านครอบครัวไหนค่อนข้างเหมาะสมอีก หลี่ซื่อที่อยู่นอกประตูก็ะโเรียกชื่อนางขึ้น
“ท่านแม่ มีอะไรหรือเ้าคะ?” นางลุกขึ้นตบผงเครื่องเทศที่ติดตามร่างกายออก
“อาสะใภ้จ้าวผู้นั้นพาลูกสะใภ้คนที่สองของนางมา เ้าไปดูหน่อยเถอะ” หลี่ซื่อสีหน้าเป็กังวลเล็กน้อย
อาสะใภ้จ้าวกับลูกสะใภ้คนที่สองของนาง? เป็ใครกัน? คนในหมู่บ้านแซ่จ้าวมีมากมายเลย
รอจนนางมาถึงห้องโถงก็เห็นหวงซื่อภรรยาของหัวหน้าหมู่บ้านที่เส้นผมมีสีดอกเลาปะปนอยู่บ้าง มากับเลี่ยวซื่อลูกสะใภ้ของบุตรชายคนที่สองของครอบครัวนาง
“โอ๊ะ เจินจูนี่ ไม่เจอกันไม่กี่วัน เ้างดงามมากขึ้นอีกแล้ว” หวงซื่อเห็นนางก็ชมขึ้นทันที
“…” เจินจูยิ้ม เช่นนี้ต้องมีเื่อะไรมาขอร้องกันอีกกระมัง
เจินจูยิ้มแล้วทักทายพวกนางอย่างสุภาพหนึ่งรอบ แล้วจึงเอ่ยปากถาม “ท่านมีเื่อะไรก็กล่าวออกมาตามตรงได้เลยเ้าค่ะ พวกท่านก็รู้ว่า่นี้ครอบครัวข้าเริ่มยุ่งกับงานอาหารหมักในหน้าหนาวแล้ว เื่ที่ต้องรีบทำมีค่อนข้างมากเลยเ้าค่ะ”
หวงซื่อกับเลี่ยวซื่อภรรยาบุตรชายคนที่สองของนางต่างมองหน้ากันไปมาแวบหนึ่ง และรีบฉีกยิ้มขึ้น “เจินจู ข้าได้ยินมาจากท่านย่าของเ้าว่าปีนี้ครอบครัวเ้าอยากรับผู้ช่วยเพิ่มสองคน เ้าดูสิแม่ของไป่เฉิงเป็อย่างไรบ้าง สามารถเข้าไปทำงานในบ้านของพวกเ้าได้หรือไม่?”
เมื่อคืนหวงซื่อไปบ้านเก่าสกุลหูและปรึกษากับหวังซื่อ แต่เพราะหวังซื่อประสบกับเื่ปีที่แล้วมา จึงไม่ได้รับปากไปง่ายๆ เพียงให้พวกนางไปถามความคิดเห็นของเจินจูที่บ้านสกุลหูเอง
กล่าวกันตามหลักแล้ว ครอบครัวหัวหน้าหมู่บ้านไม่ควรขาดเงินจนถึงกับให้ลูกสะใภ้ไปตกอยู่ในสภาพคนงานรับจ้างได้ แต่จ้าวไป่ิของครอบครัวเขาสอบเข้าเป็ซิ่วฉายและยังต้องเดินบนเส้นทางเคอจวี่อีก ที่บ้านต้องสนับสนุนจวี่เหริน [1] หนึ่งคนออกมาให้ได้ เหตุนี้จึงใช้เงินไม่ใช่แค่สองหรือสามเหลียง แค่เข้าไปเรียนที่อำเภอก็ต้องสิ้นเปลืองเงินไม่น้อย รวมกับต้องเตรียมเชื่อมความสัมพันธ์คบหาเพื่อนฝูง ยิ่งต้องจ่ายเงินมากขึ้นด้วย
จ้าวไป่ิเป็เด็กรู้จักคิด พยายามหลีกเลี่ยงการมีปฏิสัมพันธ์ทางสังคมที่ไม่จำเป็ แต่เลี่ยงไปทั้งหมดเลยก็เป็ไปไม่ได้ ชื่อเสียงที่ถูกสวมหมวกใส่ว่าสันโดษเอาแต่ใจ หยิ่งยโส และไม่เข้าร่วมกับกลุ่มคน ย่อมมีผลกระทบต่อวันข้างหน้าของเขา
ด้วยเหตุนี้จ้าวเหวินเฉียงจึงใช้ชีวิตอย่างฝืนทน นำเงินทั้งหมดประหยัดไว้ใช้จ่ายในชีวิตประจำวันให้กับจ้าวไป่ิ
บุตรชายสองคนของหัวหน้าหมู่บ้าน จ้าวฝานหรงบุตรชายคนโตกับภรรยามีจ้าวไป่ิเป็บุตรชายคนเดียว หลังจ้าวไป่ิสอบเข้าเป็ซิ่วฉายได้ก็กลับมาในหมู่บ้านหนึ่งรอบ ขณะนี้ยังคงอยู่ทางใต้ทำการตระเตรียมเพื่ออนาคตของบุตรชาย จ้าวฝานเม่าบุตรชายคนที่สองกับภรรยาให้กำเนิดจ้าวไป่เฉิงกับจ้าวเหม่ยเยว่หนึ่งบุตรชายหนึ่งบุตรสาว คู่สามีภรรยาทำได้เพียงอยู่บ้านทำการเกษตร เสบียงอาหารที่เพาะปลูกออกมาทุกปีเพียงพอต่อการรับประทานของทั้งครอบครัวใหญ่ แล้วที่ยังมีเหลือก็ขายไปทั้งหมดเพื่อสะสมเงินไว้
จ้าวไป่เฉิงได้เป็นักเรียนรุ่นใหม่ของโรงเรียนวั้งหลินในปีนี้ ขณะนี้ที่บ้านยังมีจ้าวเหม่ยเยว่อายุสองปีอีกด้วย
ครอบครัวสนับสนุนจ้าวไป่ิ แม้เงินที่ทั้งครอบครัวหามาได้ในหนึ่งปีจะไม่น้อย แต่เทียบไม่ได้เลยกับค่าใช้จ่ายของการเล่าเรียนที่สูงเกินไป หลายปีมานี้จ้าวเหวินเฉียงพยายามสะสมเงินไว้ได้เล็กน้อย เมื่อจ่ายค่าเข้าเรียนที่อำเภอไป ผนวกกับค่าใช้จ่ายการดำรงชีวิตของเขาทั้งหมด และซื้อพู่กัน หมึก กระดาษและแท่นฝนหมึก กระเป๋าก็ว่างไปครึ่งหนึ่งในทันที
ทำให้ค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวันของทั้งครอบครัวล้วนขาดแคลนขึ้นมาบัดดล
นี่เพิ่งจะเริ่มต้นเอง ทุกสามปีซิ่วฉายต้องเตรียมตัวกับการสอบ “ซุ่ยชื่อ [2]” อีกครั้ง หลังจากผ่านเกณฑ์มีคุณสมบัติเหมาะสมแล้วก็สามารถเตรียมสอบระดับ “เซียงซื่อ” เป็การสอบตำแหน่งขุนนางในฤดูใบไม้ร่วงได้ เมื่อสอบผ่านหลังจากนี้แล้วก็จะเป็จวี่เหริน และจวี่เหรินก็จะมีคุณสมบัติเดินทางไปสอบยังเมืองหลวง
การสอบทุกรอบล้วนจำเป็ต้องให้การสนับสนุนเงินอย่างเพียงพอ การเล่าเรียนและสอบเคอจวี่เป็เื่สิ้นเปลืองเงินนัก
จ้าวเหวินเฉียงกับหวงซื่อเป็กังวลมาก หลานชายสอบเข้าเป็ซิ่วฉายได้ แต่ทรัพย์สินเงินทองของที่บ้านเทียบกันแล้วกลับไร้ความสามารถจริงๆ
เชิงอรรถ
[1] จวี่เหริน คือ ผู้ที่สอบได้ตำแหน่งบัณฑิตระดับท้องถิ่น
[2] ซุ่ยชื่อ หรือ 岁试 หมายถึง การสอบของนักเรียนหนึ่งครั้งทุกสามปีและจะแบ่งเรียงระดับชั้น หรือเรียกว่า ‘การสอบประจำปี’ ก็ได้ (ซึ่งหมายถึงการสอบประจำทุกสามปี)
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้