"แล้วอะไรอีก?"
เหลียนเซวียนไม่ยอมให้นางตีมึนปล่อยเื่ผ่านไปง่ายๆ
"ยังจะมีอะไรอีกเล่า ไม่มี้... อีกสักครู่นวดแป้งห่อเกี๊ยวเสร็จก็ได้กินแล้ว"
เซวียเสี่ยวหรั่นปฏิเสธที่จะให้ความร่วมมือ คิดหาทางหลบเลี่ยง
ครานี้เหลียนเซวียนไม่ยอมปล่อยนางไป นิ้วมือเรียวลูบขอบถ้วยเบาๆ สีหน้าคล้ายไม่นำพา แต่รังสีกดดันแผ่กำจายรอบด้าน
เซวียเสี่ยวหรั่นเริ่มแข็งข้อกัดฟันสู้อีกหนจนรู้สึกว่ามีเหงื่อไหลซึมทั้งฝ่ามือและฝ่าเท้า หัวใจก็เต้นแรงขึ้นอย่างไม่อาจหยุดยั้ง
ผ่านไปครู่หนึ่ง เซวียเสี่ยวหรั่นเริ่มมีเหงื่อไหลเต็มหน้าผาก ท้ายที่สุดก็ต้องยอมจำนนต่อสายตาดั่งน้ำบ่อลึกของเหลียนเซวียนถอดเกราะเหล็กทิ้งไป
"ข้า... แวะเอาของไปเผาทิ้งด้วย" เซวียเสี่ยวหรั่นมุ่ยหน้า เอ่ยปากอย่างไม่เต็มใจ ยามเผชิญหน้ากันตัวต่อตัว เธอต้องยอมแพ้
"เผาสิ่งใด?" นิ้วมือที่เห็นข้อนิ้วชัดเจนยังคงไล้บนถ้วยน้ำอย่างงามสง่า
"เสื้อผ้า รองเท้า หวี" เซวียเสี่ยวหรั่นเลือกที่จะบอกเพียงส่วนเดียว เหลียนเซวียนเคยใช้หวีของเธอมาก่อน ปิดบังไม่ได้
"เหตุใดต้องเผา" เหลียนเซวียนนิ่งไปชั่วครู่ สุดท้ายก็ยังเอ่ยถามออกมา
เซวียเสี่ยวหรั่นก้มหน้ามองพื้น "รูปแบบของเสื้อผ้าอาภรณ์ที่พวกเราใช้ที่โน่นแตกต่างกับของพวกท่านเกินไป"
"เพียงเท่านี้เองหรือ" เหลียนเซวียนจ้องมา
"วัสดุที่พวกเราใช้ก็ไม่เหมือนกัน" เซวียเสี่ยวหรั่นก้มหน้าลงต่ำกว่าเดิม บางเื่เธอไม่อาจบอกได้จริงๆ มิเช่นนั้นอาจถูกจับไปเป็หนูทดลอง
ท่าทางหดหู่ หมดอาลัยตายอยากของนาง ทำให้เหลียนเซวียนหยุดนิ่งไปนาน "เสี่ยวหรั่น เ้าอย่าวิตกไปเลย ข้าจะคุ้มครองความปลอดภัยของเ้าเอง"
เมื่อนางไม่ยินดีบอกกล่าว เขาก็จะไม่ถามอีก
นี่เป็ครั้งแรกที่เขาเรียกชื่อเธอ
ยามน้ำเสียงทุ้มต่ำ ทั้งลุ่มลึกหนักแน่นและเปี่ยมไปด้วยเสน่ห์ดึงดูดขานเรียกชื่อของเธอ ก็รู้สึกว่าหัวใจสั่นไหว
เซวียเสี่ยวหรั่นเงยหน้าขึ้น ดวงตากลมโตสุกสว่างสะท้อนภาพใบหน้าหยาบกร้านทว่ากร้าวแกร่งของเขา
คำสัญญาของเขาเปลี่ยนอารมณ์ซึมเศร้าในหัวใจของเธอให้เป็ความสดใสในฉับพลัน
ไม่ต้องเอ่ยถึงภายหน้าว่าเขาจะปกป้องเธอได้จริงหรือไม่ เพียงแค่คำสัญญาจากเขาตอนนี้ เซวียเสี่ยวหรั่นก็ซาบซึ้งใจมากแล้ว
คำสัญญาจากสุภาพบุรุษหนักแน่นยิ่งกว่าห้าบรรพต
เหลียนเซวียนรักษาสัจจะดุจทองพันชั่ง วาจาเปล่งออกไปแล้ว ย่อมเชื่อถือได้
"ขอบคุณนะ เหลียนเซวียน" เธอขอบคุณด้วยความจริงใจ
"ไม่ ข้าต่างหากที่ควรขอบคุณเ้า"
เขาติดค้างคำขอบคุณประโยคนี้มานานมาก ครั้งนี้นับว่าเป็การชดเชยแล้ว
ทั้งสองต่างฝ่ายต่างขอบคุณซึ่งกันและกัน บรรยากาศแลดูเคร่งขรึมเป็ทางการขึ้นมาทันที
"ไม่ต้องขอบคุณข้าหรอก ท่านช่วยข้ามามาก หากไม่ได้พบกับท่าน ข้าก็ไม่รู้ว่าจะมีชีวิตออกจากป่านั่นได้หรือเปล่า"
เซวียเสี่ยวหรั่นพูดจากใจจริง หากไม่มีเขา เธอคงถูกพวกเสือสางหมาป่าคาบไปกินนานแล้ว
"สรรพสิ่งมีเหตุย่อมมีผล เ้าช่วยชีวิตข้าที่ริมแม่น้ำ ต่อมาถึงได้เกื้อกูลพึ่งพาซึ่งกันและกัน ดังนั้นคำขอบคุณนี้เ้าสมควรได้รับ"
เหลียนเซวียนประสานมือคารวะขอบคุณนางอย่างจริงจัง
ความเคร่งขรึมจริงจังของเขาทำให้เซวียเสี่ยวหรั่นละล้าละลัง รับมือไม่ถูก
"ยะ... อย่าทำเช่นนี้เลย"
เหลียนเซวียนวางมือ ยิ้มให้นางอย่างอ่อนโยน
ดวงหน้าอาบรอยยิ้มดุจจันทราเดือนสามประทับลงในหัวใจของเซวียเสี่ยวหรั่น พลันรู้สึกว่าบุรุษตรงหน้าไม่ใช่เหลียนเซวียนผู้หยาบกระด้าง แต่เป็คุณชายสูงศักดิ์งามสง่าผู้มีรอยยิ้มชูบุปผา [1]
เซวียเสี่ยวหรั่นยกถ้วยเปล่าออกไปจากห้องอย่างเหม่อลอย
"ต้าเหนียงจื่อ ผักจี้ไช่ล้างสะอาดแล้ว ยังมีงานอะไรต้องทำอีกหรือไม่" อูหลันฮวาวิ่งเข้ามา
เซวียเสี่ยวหรั่นได้สติคืนมา "อ๋อ ไม่มีงานอะไรแล้วล่ะ หากเ้าว่างก็ไปเย็บปักถักร้อยกับน้องมู่เซียงสิ ฝีมือด้านการเย็บปักของหลันฮวาดีหรือไม่"
เซวียเสี่ยวหรั่นเอ่ยถามไปอย่างนั้นเอง
"ไม่ดี" อูหลันฮวาอึดอัดใจ "ข้าเรี่ยวแรงมาก งานเย็บปักถักร้อยประณีตเกินไปสำหรับข้า ก็เลยเรียนรู้ได้ไม่ดีเท่าไร" ปรกตินางแทบไม่มีเวลาหยิบจับงานเย็บปักถักร้อยเลยด้วยซ้ำ
เซวียเสี่ยวหรั่นทอยิ้ม เธอพอเข้าใจได้
"เช่นนั้นก็ไปเรียนรู้จากน้องมู่เซียงให้ดี ต่อไปยังต้องตัดเสื้อผ้าสำหรับสวมใส่เองอีกนะ"
ในบ้านไม่ค่อยมีงาน ให้นางไปเรียนรู้วิชาจากซีมู่เซียง จะได้ไม่ต้องถามหางานทำทั้งวัน
"อื้อ ข้าจะไปเดี๋ยวนี้" อูหลันฮวาพยักหน้า ต้องเรียนรู้ให้มาก งานละเอียดเหล่านี้ก็เป็งานเช่นกัน ยิ่งนางมีความสามารถมากเท่าไร ก็ยิ่งช่วยงานต้าเหนียงจื่อได้มากขึ้นเท่านั้น
ครั้นแล้วเวลา่บ่าย พวกนางสามคนจึงขลุกอยู่ในห้องโถงทำงานเย็บปักถักร้อยร่วมกัน
ทำมาได้ครึ่งทาง เซวียเสี่ยวหรั่นเห็นว่าเสื้อผ้าของอูหลันฮวาปะแล้วปะอีก ดูซอมซ่อเกินไป ประกอบกับเมื่อวานนางทะเลาะเบาะแว้งกับบ้านนั้น เสื้อผ้าถูกกระชากขาดหลายแห่ง
เซวียเสี่ยวหรั่นหยิบเงินปลีกออกมา ให้อูหลันฮวานำไปซื้อผ้าสองชิ้นกลับมาตัดเสื้อที่หมู่บ้านลิ่วไผ
แม้ว่าวันนี้ไม่มีตลาดนัด แต่ร้านค้ายังคงเปิดร้านตามปรกติ
ตอนแรกหัวเด็ดตีนขาดอูหลันฮวาก็ไม่ยอมไป บอกว่านางมีเสื้อผ้าสวมใส่เพียงพอแล้ว ไม่ต้องสิ้นเปลืองซื้อมาจากข้างนอก
เซวียเสี่ยวหรั่นจนปัญญาจำต้องบอกไปว่า เมื่อนางติดตามพวกเขาออกเดินทาง ภาพลักษณ์ของนางที่ปรากฏสู่ภายนอกก็คือหน้าตาของพวกเขาด้วย หากสวมเสื้อผ้าซอมซ่อเกินไป คนนอกจะคิดว่าเ้านายกดขี่ข่มเหงนาง
อีกอย่าง ช่วยเ้านายทำงานก็มีทั้งเงินเดือนและสวัสดิการ ของจำพวกเสื้อผ้าและรองเท้า ถือเป็หนึ่งในสวัสดิการที่ได้รับ
อูหลันฮวาถูกเกลี้ยกล่อมจนสำเร็จ
นางเป็คนเดินเร็ว ไปกลับรอบหนึ่งใช้เวลาเพียงครึ่งชั่วยาม
เซวียเสี่ยวหรั่นกับซีมู่เซียงมองผ้าเนื้อหยาบสองชิ้นสีมอซอตรงหน้าก็หัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก
"หลันฮวา เ้าเป็สตรี เหตุใดจึงเลือกผ้าสีหม่นไร้ชีวิตชีวาเช่นนี้เล่า"
ชิ้นหนึ่งเป็สีเทาเข้ม อีกผืนเป็สีเทาอ่อน ไม่ใช่สีที่หญิงสาวนิยมใช้กัน
"สีนี้ก็สวยดีอยู่แล้ว ไม่เลอะง่าย แล้วยังทนทานอีกด้วย" อูหลันฮวากลับเห็นต่าง
"สีเทาอ่อนพอทำเนา ทว่าสีเทาเข้มเห็นอยู่ว่าเป็สีที่มีแต่บุรุษสวมใส่กัน" ซีมู่เซียงก็ไม่ชอบ
หญิงสาวบ้านไหนชอบสีเข้มแบบนี้กัน
"สีเข้มสิดี เอามาตัดกางเกงกับกระโปรงสวมได้นานหลายปีเลย" อูหลันฮวากลับไม่นำพา
เซวียเสี่ยวหรั่นลูบเนื้อผ้าหยาบหนาด้วยความรู้สึกะเืใจ
"หลันฮวา ผ้าชิ้นนี้อย่าเอามาตัดเสื้อผ้าเลย พรุ่งนี้เ้าไปซื้อมาใหม่อีกสองผืน"
"หา? ยังต้องซื้ออีกหรือ? เพราะเหตุใดเล่า" อูหลันฮวาร้อนใจเล็กน้อย
"อื้ม ผ้าเนื้อหยาบสีเทาเข้มชิ้นนี้ ข้าจะเอาไว้ใช้ทำอย่างอื่น พรุ่งนี้เ้าซื้อผ้าฝ้ายเนื้อละเอียดกลับมาสองผืน ผืนหนึ่งสีขาว ส่วนอีกผืน..." เซวียเสี่ยวหรั่นมองสีผิวที่ค่อนข้างคล้ำของนางอย่างลังเล ว่าเหมาะสมกับผ้าสีแบบไหน
เซวียเสี่ยวหรั่นหันไปหามู่เซียงขอคำปรึกษา
ทั้งสองซุบซิบกันครู่หนึ่งถึงตัดสินใจซื้อผ้าสีอ่อน
"สีงาช้าง สีฟ้า สีชมพู สีเขียวอ่อน จากสีเหล่านี้ เ้าเลือกที่ชอบมาสักสี"
อูหลันฮวาสีหน้าห่อเหี่ยว "ต้าเหนียงจื่อ ซื้อผ้าสีอ่อนพอได้ แต่เนื้อผ้าควรซื้อที่หยาบและหนาหน่อย ข้าเป็คนหยาบกระด้าง ผ้าเนื้อนุ่มขาดได้ง่าย เกรงว่าสวมไม่กี่วันก็ขาดแล้ว"
เซวียเสี่ยวหรั่นทอยิ้ม "งั้นก็ได้ แต่ไม่ว่าอย่างไรผ้าฝ้ายเนื้อละเอียดสีขาวก็ยังต้องซื้อ เสื้อบังทรงกับกางเกงตัวในต้องใช้เนื้อผ้าที่นุ่มหน่อย
"เ้าค่ะ" อูหลันฮวาฉีกยิ้มกว้าง ดวงหน้าคร้ามเข้มขับเสริมสีฟันให้แลดูขาวสะอาดเป็พิเศษ
...
[1] มีที่มาจากรอยยิ้มของพระมหากัสสปะ ซึ่งเข้าใจปริศนาธรรมที่พระพุทธเ้าชูดอกบัวขึ้นในที่ประชุมของเหล่าภิกษุสงฆ์ เป็รอยยิ้มที่สื่อถึงการตระหนักรู้และเข้าใจถ่องแท้
