วันเดียวกัน
คลินิก แพทย์ วิทูรย์
10:30น.
ห้องตรวจ….
ไดร์ฟ ดรัณภพ….
“คนไข้มีอาการแบบนี้มานานหรือยังครับ?”
“ผมไม่รู้เลยครับ….อยู่ดีๆ มันก็รู้สึกเบื่อ…ขึ้นมาเอง” ผมตอบเขาไปเสียงอ่อน
“รู้สึกเหงา…ทั้งๆ ที่เราอยู่ท่ามกลางผู้คนมากมาย….”
“รู้สึกว่า….ไม่อยากทำอะไร…”
“รู้สึก….ว่าตัวเองไม่น่าเกิดมา…” ผมบอกความในใจให้คุณหมอผู้ชายวัยกลางคนไปอย่างหมดเปลือก เพราะผมรู้สึกแบบนั้นจริงๆ รู้สึกมาสักพักแล้ว
“รู้สึกว่า…ตัวเองไม่ดีพอ…” ผมพูดและหยุดนิ่งมองหน้าคุณหมอเขาก็พยักหน้าเข้าใจก่อนจะมองหน้าผมอยู่อย่างงั้นเนิ่นนาน
“โรคที่คุณเป็…คือโรคซึมเศร้าหรือทางแพทย์เรียกว่า MDD (Major Depressive Disorder) …”
“โรคซึมเศร้าแยกออกเป็สองประเภท…”
“ประเภทที่หนึ่ง…โรคซึมเศร้าแบบขั้วเดียวคือมีอาการซึมเศร้าแค่อย่างเดียวนะครับ…”
“และประเภทที่สอง…โรคซึมเศร้าแบบสองขั้ว..คือไบโพลาร์…จะมีอารมณ์ขึ้นๆ ลงๆ มากกว่าคนปกติทั่วไป…”
“คนไข้…เป็แบบไหนครับ?”
“ผมไม่ทราบครับ….แต่ถ้าไม่มีใครมากระตุ้นความเสียใจของผม…ผมก็จะไม่อาละวาดนะครับ…” ผมตอบคุณหมอไป เพราะผมจะควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่อยู่ในตอนที่เขาคนนั้นมากดดันผมและต่อว่าผมเหมือนผมไม่ใช่ลูก…..
“ครับ…ผมคุณคงจะเป็แบบขั้วเดียว…คือมีอาการซึมเศร้าแค่อย่างเดียว…”
“คุณคิดถึงขั้นฆ่าตัวตายแล้ว…แสดงว่าคุณเป็เลเวลที่สี่แล้วนะครับ…” คุณหมอมองหน้าผมอย่างจริงจัง ผมก็พยักหน้ารับรู้
“มันมีวิธีรักษานะครับ…”
“มีอยู่สามวิธี…วิธีที่หนึ่ง…ใช้จิตบำบัด…ใช้หัวใจและความคิดบำบัดคุณ…จากคนที่เชี่ยวชาญทางด้านนี้”
“และวิธีที่สอง…ที่คนทำแล้วหายมาแล้วทุกราย..นั้นคือรักษาด้วยDTMSการปล่อยคลื่นแม่เหล็กเข้าไปในสมองครับ…ช่วยให้สารเคมีในสมองกลับมาทำงานเป็ปกติ..”
“และวิธีที่สาม…ใช้ยารักษาครับ…”
“หรือคนไข้จะเลือกทั้งสามวิธีเลยก็ได้นะครับ…ถ้าอยากหายเร็วๆ ..”
“แต่การรักษาด้วยยาเนี่ย…อาจจะมีผลข้างเคียงตามมาแล้วแต่สภาพร่างกายของคนไข้ในแต่ละคนครับ…” ผมพยักหน้ารับคำคุณหมอไป ผมก็อยากหายนะ…หายจากไอ้โรคบ้าๆ เนี่ย!!!
“คนไข้ยังไม่ต้องให้คำตอบหมอก็ได้นะครับ…เก็บไปพิจารณาก่อนก็ได้….แต่อย่านานนะครับ…” คุณหมอเอ่ยออกมาแววตาของเขามองมาที่ผมอย่างห่วงใย
“ครับ….” ผมตอบรับคุณหมอไปเพียงสั้นๆ และมองดูคุณหมอจดอะไรใส่ลงในแฟ้มประวัติคนไข้ด้วยสายตาเป็กังวล
“ผม…จะเก็บเื่นี้เป็ความลับ….” คุณหมอที่คงจะรู้ตัวว่าถูกผมจ้องอยู่เขาก็เงยหน้าจากแฟ้มขึ้นมามองหน้าผมและเอ่ยบอกผมพร้อมกับคลี่ยิ้มบางๆ ให้ผม
“คุณสบายใจได้ครับ….ผมมีจรรยาบรรณในการเป็หมอมากพอ…”
“ครับ…ขอบคุณมากครับ..” ผมเอ่ยบอกคุณหมอไป บางทีผมก็อยากให้เื่ราวของผมถูกเผยแพร่เหมือนกันนะ เพราะผมอยากจะรู้เหมือนกันว่าเขาคนนั้นจะทำหน้ายังไงและจะโกหกพวกนักข่าวว่าอะไร?
“หมอจะลองให้ยานอนหลับและยาคลายเครียดไปทานก่อนนะครับ…”
“คุณจะได้นอนหลับเต็มอิ่ม…”
“ครับ…ขอบคุณมากครับ…” ผมเอ่ยบอกคุณหมอพร้อมกับยกมือไหว้เขาอย่างเคารพและลุกขึ้นยืนเต็มความสูงและเดินออกมาจากห้องตรวจ
พรึบ
“คุณหมอว่ายังไงบ้าง?” น้ำเสียงเป็ห่วงและเเววตาสดใสของผู้หญิงที่เดินไปเดินมาอยู่ด้านหน้าห้องตรวจด้วยท่าทางกระวนกระวายเอ่ยถามผมมาแทบจะทันทีที่ขาของผมก้าวพ้นขอบประตูเลื่อนมา
“นายจะมีโอกาสหายใช่ไหม?” สายตาของเธอที่มองมาที่ผมมันสื่อว่าเธอเป็ห่วงออกมาจากใจจริงของเธอ สีหน้าที่ลุ้นรอคำตอบของเธอทำให้ผมอยากจะยิ้มขำเธอเสียจริงๆ เลย
“มี….แต่เธอต้องช่วยฉัน” ผมตอบเธอไป เธอก็ยิ้มกว้างออกมาทันทีก่อนจะโผสวมกอดร่างผมเข้าอย่างจัง
พรึบ
“ฉันดีใจจัง….ฉันเชื่อว่านายจะต้องหายแน่นอน^_^” เธอบอกผมเสียงแจ่มใส ผมที่ยืนตัวแข็งทื่อเพราะไม่ชินกับการจู่โจมกอดของเธอคนนี้สักที แต่ผมก็ยอมรับว่ามันรู้สึกอบอุ่นและรู้สึกดีสำหรับตัวผมมากๆ เลยล่ะ
ผมไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่า แค่การกอดจะทำให้เราเหมือนมีพลังชีวิตเพิ่มมากขึ้นและรู้สึกดีขึ้นอย่างบอกไม่ถูก
พรึบ
“อืม….” ผมตอบเธอเบาๆ พร้อมกับยกมือทั้งสองข้างขึ้นไปสวมกอดเธอแผ่นหลังเล็กของเธอกลับพร้อมกับก้มใบหน้าลงไปสูดดมกลุ่มผมเรือนผมสีน้ำตาลอ่อนของเธอ เธอใช้น้ำยาสระผมยี่ห้อไหนกันนะ ถึงได้หอมละมุนขนาดนี้
พรึบ
“งั้น…นายหิวหรือยัง?” เธอผละร่างเล็กของเธอออกไปจากผมและเอ่ยถามผม ผมก็มองหน้าเธอนิ่งที่ผมกำลังสูดดมกลิ่นผมของเธออย่างเคลิบเคลิ้มอยู่เลย
แต่นั่นสิ…ผมรู้สึกหิวไหมนะ…
“ป่ะ…” เธอเอ่ยขึ้นพร้อมกับจับมือผมไปกุมไว้
“ไปไหน?” ผมถามเธอพร้อมกับขมวดคิ้วมองหน้าเธออย่างงุนงง
“ไปกินข้าวไง^^” เธอตอบผมกลับมาพร้อมกับฉีกยิ้มกว้างให้ผม จนหัวใจของผมเต้นโครมครามขึ้นมาซะอย่างงั้น นี้อาจจะไม่ใช่ครั้งแรกที่ผมได้อยู่ใกล้ชิดกับผู้หญิงคนอื่นนอกจากแม่ของผม
ั้แ่เด็กจนโตผมอยู่โรงเรียนประจำชายล้วนก็จริงแต่ก็ไม่ค่อยได้เจอเพื่อนผู้หญิง มาเจอก็มหาลัยแล้ว ผมก็ค่อนข้างเป็คนเงียบๆ ไม่ค่อยมีเพื่อนผู้หญิงส่วนมากจะขุกตัวอยู่แต่ชมรมและบ้านของผมเพื่อทุ่มเทเวลาให้กับเพลงและการแต่งเพลงรวมไปถึงการเล่นดนตรีและคิดค้นท่าเต้นเบรกแดนซ์และฮิปฮอป ในหัวผมตอนนั้น มีเพียงเื่พวกนี้จริงๆ
ถึงจะมีผู้หญิงมากมายเข้ามาขายขนมจีบในชีวิตของผมอยู่บ่อยครั้ง เพราะรูปร่างหน้าตาที่แสนจะเพอร์เฟคของผม และที่สำคัญผมเป็คนนิ่งๆ เงียบๆ อาจจะดูน่าค้นหาและท้าทายความสามารถพวกเธอ พวกเธอถึงอยากเข้ามาทำความรู้จักกับผม
แต่ก็โดนผมปฏิเสธกลับไปทุกที
แต่ผู้หญิงทุกคนที่เข้ามาในชีวิตของผมไม่เหมือนเธอคนนี้ เพราะเธอคนนี้เป็คนแรกที่ทำให้ผม หัวใจเต้นรัวกระส่ำแบบนี้ และรู้สึกอยากอยู่ใกล้ๆ เธอ อยากเป็ฝ่ายเข้าไปทำความรู้จักกับเธอเองเสียมากกว่า
และที่สำคัญผมอยากให้เธอจับมือผมแบบนี้และหันมายิ้มให้ผมแบบนี้ตลอดไปจัง^_^
มันรู้สึกดีชะมัด…ผู้หญิงอะไรน่ารักเป็บ้าเลย^///^
พรึบ
“กินอะไรดีนะ?” เธอว่าพร้อมกับขมวดคิ้วงุนงงอย่างคนคิดหนักทันทีที่เธอลากผมเข้ามาภายในห้างดังที่อยู่ติดกับคลีนิคที่เธอพาผมไปปรึกษาหมอจิตเวช โชคดีที่ตอนนี้เป็่ที่ห้างเพิ่งจะเปิด ผู้คนเลยไม่เยอะเท่าไหร่
ว่าแต่เธอพาผมวิ่งมาถึงในห้างั้แ่เมื่อไหร่กันนะ ไม่ยักจะรู้ตัวเลยแหะ
“ร้านนี้ก็แล้วกัน^_^” เธอว่าเองเออเองเสร็จสรรพโดยไม่ขอความเห็นจากผมเลยสักนิด ว่าผมอยากกินไอ้ชาบูเหมือนเธอด้วยหรือเปล่า
“ชาบูชุดใหญ่สองชุดค่ะ^_^” เธอเอ่ยสั่งพนักงานของร้านทันทีที่พนักงานร้านเดินมายื่นสมุดเมนูอาหารให้เธอ เธอยังไม่ได้เปิดดูเมนูเลยนะ? ยังไม่ได้รับเลยเสียด้วยซ้ำไป….-_-
“กินหมดเหรอ?” ผมเอ่ยถามเธอไปอย่างสงสัย เธอก็ละสายตาจากหน้าพนักงานร้านกลับมามองหน้าผมที่เพิ่งจะนั่งลงบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามกับเธอ
“หมดดิ…หิวจะตายอยู่แล้ว^_^” เธอว่าพร้อมกับหันกลับไปยิ้มให้พนักงานตามเดิม
“ขอเร็วๆ เลยนะคะ^_^”
“ได้ค่ะ^_^” พนักงานตอบรับคำเธอด้วยสีหน้ายิ้มแบบงงๆ แต่เธอแอบชำเลืองตามามองทางผมนะ ผมปลอมตัวขนาดนี้แล้ว คงไม่มีใครจำได้หรอกมั้ง?
“นี่” ผมเอ่ยเสียงเรียบขึ้นเมื่อมองเห็นคนตรงหน้าเอาแต่ก้มหน้าก้มตาไม่สนใจผม
“หืม?” เธอเงยหน้าขึ้นมาจากสมุดจดบันทึกอะไรของเธอสักอย่างผมมักจะเห็นเธอจดแล้วก็จดอยู่นั้นแหละไอ้สมุดโน้ตสีชมพูของเธอเนี่ย
“เธอจดอะไร?” ผมเอ่ยถามเธอไปพลางชะโงกหน้าไปมองในหน้าสมุดของเธอด้วย เธอก็ยิ้มให้ผมรอยยิ้มที่มีเลศนัยแบบนี้ทำให้ผมอยากรู้ขึ้นมา
แต่ผมก็อ่านไม่ค่อยออกแหะ ลายมือตวัดชะมัด แน่ในใช่ไหมว่าใช้มือเขียนน่ะ
“ฉันกำลังวางพล็อตนิยายอยู่ยังไงล่ะ^_^”
“พล็อตนิยาย?” ผมทวนคำพูดของเธอไปอย่างงุนงง พร้อมกับขมวดคิ้วไปด้วย
“ก็ฉันน่ะ…คิดพล็อตนิยายได้สดๆ ร้อนๆ เลย..พอมีคำดีๆ ก็จะจดใส่ไว้เผื่อกันลืมน่ะ^_^”
“อ้อ…” ผมพยักหน้าตอบรับรู้เธอไปก่อนจะมองดูเธอนั่งยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อยู่คนเดียวในมือก็เขียนหนังสืออย่างรวดเร็วจนผมต้องอึ้ง แต่อย่าว่าแต่เธอเลยที่คิดพล็อตนิยายออกน่ะ
เพราะผมเองก็คิดเพลงออกแล้วเหมือนกัน เธอเป็คนทำให้ผมอยากจะแต่งเพลงให้เธอ…ซึ่งมันเป็เพลงรัก…เพลงแรกในชีวิตของผม^_^
พรึบ
“พี่ไอหรือเปล่าคะ?” เสียงหวานใสของน้องผู้หญิงดังขึ้นทำให้ผมที่แอบจ้องหน้าหวานเรียวสวยริมฝีปากสีชมพูระเรื่อของผู้หญิงตรงหน้าของผมอยู่ถึงกับต้องสะดุ้งใบหน้าร้อนผ่าวขึ้นมาทันที เอ่อเว้ย จ้องเองเขินเองได้ซะงั้น-///-
“คะ? ….”
“พี่ไอริส…เ้าของนามปากกาลมหนาว^_^” น้องนักศึกษาเอ่ยขึ้นพร้อมกับยิ้มกว้างอย่างดีใจ ในมือของเธอถือนิยายปกลวยลายสวย
“ค่ะ…” เธอตอบน้องนักศึกษาไป
“หนูขอลายเซ็นพี่หน่อยนะคะ….หนูเป็แฟนพันธุ์แท้นิยายของพี่ค่ะ…”
“อ่านนิยายของพี่ทุกเื่เลยค่ะ^_^”
“ขอบคุณนะคะ^_^” เธอเอ่ยขอบคุณน้องนักศึกษาไปพร้อมกับรอยยิ้มสดใสของเธอทำให้ผมอดที่จะยิ้มตามเธอไปด้วยไม่ได้
พรึบ
“เล่มล่าสุดเลย…..ขอบคุณนะคะ^_^” เธอยิ้มร่าที่น้องนักศึกษาส่งหนังสือนิยายให้เธอเซ็นและเอ่ยบอกน้องนักศึกษาไป
“เสร็จแล้วค่ะ^_^” เธอก้มหน้าเซ็นลายเซ็นลงไปบนหน้าปกนิยายและยื่นหนังสือนิยายส่งคืนน้องนักศึกษาคนนั้นไป
“ขอบคุณนะคะ^_^” น้องนักศึกษาเอ่ยขอบคุณเธอ
“งั้นหนูไปก่อนนะคะ^_^” และน้องก็เอ่ยลาเธอ
“จ้า…ตั้งใจเรียนนะ^_^” เธอบอกน้องก่อนที่จะยกมือโบกบ๊ายบายน้อง ทำให้ผมรู้ว่าเธอเป็คนที่มองโลกในแง่ดีมาก เธอคงจะมีความสุขกับชีวิตของเธอที่เธอบอกผมจริงๆ นั้นแหละ ว่าทำไมเธอถึงกลัวตายแต่ผมกลับคิดที่อยากจะตาย
“เธอ….”
“หืม?” เธอละสายตาจากแผ่นหลังของน้องนักศึกษามามองหน้าผมที่เอ่ยเรียกเธอ
“เธอชื่อ…ไอริสเหรอ?” ผมถามเธอไป เพราะผมยังไม่ได้รู้จักชื่อเธอเลยแหะ
“ใช่^_^” เธอตอบผมพร้อมกับยิ้มหวานแบบพิมพ์ใจให้ผม ผมคงจะตกหลุมรักเธอคนนี้เข้าอย่างจริงๆ ซะแล้วสิ
“ชาบูมาแล้วค่ะ^_^” เสียงของพนักงานเอ่ยขึ้นทำให้ผมได้สติว่าผมยิ้มให้เธอจนเหงือกจะแห้งอยู่แล้วเนี่ย
“ขอบคุณค่ะ^_^” ไอริสยิ้มร่าจนเห็นฟันขาวที่เรียงกันสวยและเธอก็เป็คนจัดแจงวางจานให้ผมและจุ่มหมูให้ผมเสร็จสรรพบางทีผมอาจจะไม่ต้องพึ่งยารักษาแล้วก็ได้นะครับ…เพราะเธอคนนี้บำบัดใจของผมให้พองโตแล้วล่ะ