หลี่ไหวฺอวี้ก้มศีรษะชำเลืองมองิเป่าจูปราดหนึ่ง พลางทำสีหน้าเย้าแหย่ยั่วโมโห
พริบตานั้นความซาบซึ้งของิเป่าจูจึงมลายหายสิ้น ขึงตาใส่เขาอย่างแรง ใครก่อเื่กัน เห็นอยู่ชัดๆ ว่าชาวบ้านเหล่านี้ไม่รู้จักสำนึกในความหวังดีของผู้อื่น
“รีบจับนางมัดส่งให้ต้าซือ” มีชาวบ้านวิ่งตามมาถึงตัวพวกเขาทั้งสองคน ชายกำยำล่ำสันจำนวนหนึ่งวิ่งเข้ามาจะจับคน
“ใช่ เผานางให้ตาย เผานางให้ตาย” ชาวบ้านต่างะโร้องไม่หยุดปาก
ภายในใจนึกเคียดแค้นิเป่าจูอย่างถึงที่สุด มิน่าเล่าิเถี่ยจู้กับหวังซื่อถึงหวาดกลัวเด็กผู้หญิงคนนี้นัก ที่แท้ก็เป็ปิศาจกลับชาติมาเกิด พวกเขาจะเก็บตัวหายนะผู้นี้ไว้ไม่ได้เด็ดขาด มิเช่นนั้นทุกคนก็จะต้องเดือดร้อนกันถ้วนหน้า
ชาวบ้านที่ควรจะเรียบง่ายจิตใจดี แต่เมื่อมีเื่ผลประโยชน์ส่วนตนเข้ามาเกี่ยวข้อง แต่ละคนก็ราวกับกลายร่างเป็มารร้าย แม้แต่ถ้อยคำอำมหิตจะเอาชีวิตคนก็ยังสามารถเอ่ยออกมาได้อย่างคล่องปาก
หลี่ไหวฺอวี้ดึงิเป่าจูมาอยู่ด้านหลังตนเอง ก่อนก้าวเข้าไปต่อสู้กับชายร่างใหญ่หลายคนพร้อมกัน
จะว่าไปควรเรียกว่าเป็การบดขยี้มากกว่าจะเป็การชกต่อยแบบธรรมดาทั่วไป ปกติเห็นหลี่ไหวฺอวี้ดูเป็คนผอมไม่น่าจะมีกำลังวังชา แต่ยามทะเลาะวิวาทขึ้นมาก็ไม่ออมมือแม้แต่น้อย
กระบวนยุทธ์มีชั้นเชิงปราดเปรียวทรงพลัง แต่ละหมัดล้วนพุ่งเป้าเข้าจุดสำคัญโดยตรง
ิเป่าจูเห็นแล้วยังตกตะลึงอ้าปากค้าง ไม่คาดคิดจริงๆ ว่าคนผู้นี้จะมีวรยุทธ์ ซ้ำยังปิดบังนางมานานถึงเพียงนี้
แท้จริงแล้วไม่ใช่ว่าหลี่ไหวฺอวี้ตั้งใจจะปิดบัง แต่ก่อนหน้านี้อาการาเ็ยังไม่ฟื้นฟูดี ประกอบกับไม่มีความจำเป็ที่เขาจะต้องใช้ฝีมือ
แต่บัดนี้ไม่เหมือนกัน อันตรายใกล้จะมาถึงตัวอยู่แล้ว หลี่ไหวฺอวี้เหลืออดจริงๆ ถึงได้ลงมือ
แม้ว่าชาวบ้านจะแข็งแรงเพียงใดก็ไม่สามารถต้านทานผู้ฝึกยุทธ์ได้ เพียงไม่กี่กระบวนท่าต่างก็ล้มลงไปกองระเนระนาดบนพื้น ไม่สามารถยืดตัวตรงขึ้นมาได้อีก
คนอื่นๆ เห็นสถานการณ์ตรงหน้าก็ไม่มีใครกล้าดาหน้าเข้ามาอีก
“พวกเ้ามัวแต่อึ้งอะไรกันอยู่ เข้าไปสิ หากนางไม่ตาย คนที่จะตายก็คือพวกเ้าแล้ว” ท่านหมอหลี่ก็ตามมา เมื่อเห็นสถานการณ์ก็รีบเติมเชื้อไฟทันที
คำกล่าวนี้ได้ผลจริงดังคาด บุรุษคนที่เหลือต่างวิ่งกรูเข้าไป พลางะโโห่ร้อง ทว่าก็ใช้ได้แต่กำลังกายเท่านั้น
หลี่ไหวฺอวี้เข้าไปต้านทาน แต่สามกรไหนเลยจะสู้ศัตรูสี่บาทา แม้วรยุทธ์จะสูงส่งเพียงใดก็ไม่อาจต้านทานคนหมู่มากได้
ทั้งสองฝ่ายต่างสัประยุทธ์ ยุ่งเหยิงชุลมุนกันไปหมด
“พวกเ้าหยุดให้ข้าเดี๋ยวนี้” ขณะที่สถานการณ์มาถึงจุดที่ใกล้จะเลยเถิด หัวหน้าหมู่บ้านก็มาถึง โดยมีท่านป้าจงกับิเป่าอวี้ตามอยู่ด้านหลัง
พอิเป่าอวี้เห็นพี่สาวก็วิ่งเข้ามาหาทันที มองพิจารณาทั้งซ้ายขวาบนล่างจนแน่ใจว่าิเป่าจูไม่ได้รับาเ็ถึงถอนหายใจอย่างโล่งอกออกมา
“พี่หญิง ข้ากับท่านป้าจงเชิญหัวหน้าหมู่บ้านมาด้วย ท่านวางใจ ไม่มีปัญหาแน่นอน” ิเป่าอวี้ปลอบนาง
ิเป่าจูลูบเรือนผมของิเป่าอวี้ พลางหัวเราะให้กับความโง่เขลาของน้องชาย หัวหน้าหมู่บ้านมาจะมีประโยชน์อะไร เขาไม่เคยเชื่อนางมาั้แ่ไหนแต่ไร มาก็เท่ากับฝ่ายตรงข้ามมีคนเพิ่มขึ้นอีกคน
แต่นางก็ไม่ได้เอ่ยคำนี้ออกมา เพราะไม่อยากทำร้ายจิตใจของน้องชายที่คิดแต่จะปกป้องตนเอง
“แม่หนู เ้าไม่เป็ไรใช่หรือไม่” ท่านป้าจงเดินเข้ามาถามด้วยความห่วงใย
“ข้าไม่เป็ไร ขอบคุณท่านป้าเ้าค่ะ” ิเป่าจูเอ่ยขอบคุณด้วยใจจริง
หากมิใช่ท่านป้าเป็คนไปเชิญ หัวหน้าหมู่บ้านก็คงไม่มา เกิดเหตุการณ์ใหญ่โตเช่นนี้ นางไม่เชื่อว่าหัวหน้าหมู่บ้านจะไม่รู้เื่แม้แต่น้อย
“เด็กโง่ ต้องมาเกรงใจอะไรกับข้า” ท่านป้าจงยิ้มให้ด้วยความเมตตาเอ็นดู
“ก่อความวุ่นวายขนาดนี้ ใช้ได้ที่ไหนกัน” หัวหน้าหมู่บ้านตวาดเสียงเข้มจนทุกคนต้องถอยหลังไป
ทั้งสองฝ่ายต่างหยุดมือ หลี่ไหวฺอวี้ถอยกลับมาอยู่ข้างิเป่าจูในสภาพสมบูรณ์ แต่ทางฝ่ายของชาวบ้าน ชายฉกรรจ์หลายคนนอนกองอยู่บนพื้น ไม่สามารถขยับตัวได้ มีแต่เสียงร้องโอดโอยอยู่ตลอดเวลา
หัวหน้าหมู่บ้านสั่งให้คนพยุงคนเ่าั้กลับบ้านไปพักผ่อน แล้วก็มีคนเข้ามาเล่าเื่ราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นให้ฟัง
“ข้าได้ยินหมดแล้ว เื่นี้ยังเชื่อไม่ได้ทั้งหมด” หัวหน้าหมู่บ้านพูดพลางขมวดคิ้ว หันมามองิเป่าจู
หากเป็เมื่อก่อนเขาก็คงเชื่อไปแล้ว ทว่าหลังจากน้องสาวสกุลจงมาหาเขาและเล่าเื่ครานั้นให้ฟัง เขาย่อมเชื่อคำพูดของนาง เพียงแต่ทางด้านนักพรต...
ิเป่าจูตะลึงพรึงเพริด หัวหน้าหมู่บ้านมองมาที่นางไม่ผิดแน่ ถึงอย่างไรนางก็เป็ศูนย์กลางของเื่นี้ แต่แววตาล้ำลึกเช่นนั้นคล้ายว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้องอยู่
ยิ่งไปกว่านั้นหากนางฟังไม่ผิด ที่หัวหน้าหมู่บ้านบอกว่าเื่นี้เชื่อไม่ได้ทั้งหมด หมายความว่าไม่อาจเชื่อคำพูดของนักพรตทั้งหมดได้ จะใช่อย่างที่นางเข้าใจหรือไม่
ท่าทางท้องฟ้าจะหลั่งฝนเป็โลหิต เกิดนิมิตหมายอันน่าอัศจรรย์เสียแล้ว!
“ท่านไม่ต้องลำบากใจ คำกล่าวของนักพรตจะจริงเท็จประการใด ข้าสามารถพิสูจน์ได้” หลี่ไหวฺอวี้มองหัวหน้าหมู่บ้านพลางเอ่ยปาก
เขาคาดเดาได้ว่าหัวหน้าหมู่บ้านคิดอะไรอยู่ เขา้าแน่ใจว่าเป็พร์แท้จริงหรือเป็เพียงการต้มตุ๋นหลอกลวง แค่ทดสอบดูก็รู้แล้ว
หลี่ไหวฺอวี้มองทุกคนอย่างไม่เกรงกลัว ลากิเป่าจูเดินไปทางแท่นบูชาพร้อมกัน
เมื่อเห็นทั้งสองคนย้อนกลับมาสู่ร่างแหแทนที่จะหลบหนี ทุกคนต่างก็คลำไม่ถึงศีรษะ [1] ไปชั่วขณะ ลืมสิ้นว่าต้องใช้เชือกมัดคนไว้ ยังเดินตามกลับไปเป็แถว
หัวหน้าหมู่บ้านอยากรู้ว่าเขาจะทำสิ่งใด จึงเดินตามไปด้านหลัง
“ดูจากท่วงท่างามสง่าเหนือสามัญของท่านผู้นี้ คาดว่าคงเป็ต้าซือที่ทุกคนต่างกล่าวขวัญอยู่กระมัง”
“เป็ข้าเอง”
นักพรตไม่รู้ว่าหลี่ไหวฺอวี้คือผู้ใด ก็นึกว่าคงเป็ชาวบ้านธรรมดาทั่วไป เมื่อได้ยินถ้อยคำยกย่อง ก็วางมาดหยิ่งผยอง สะบัดแส้ทีหนึ่ง ใบหน้าแทบจะเชิดขึ้นฟ้า
“ได้ยินว่าต้าซือเหยียบเมฆาเดินทางมาไกลถึงที่นี่ ผู้มีพลังวิเศษเช่นนี้ย่อมจะเป็เซียนโดยแท้” ตามมาด้วยถ้อยคำเยินยออีกประโยค
“ผู้บำเพ็ญพรตในป่าลึกส่วนใหญ่ต่างรู้วิถีนี้ทั้งนั้น ทว่าก็เป็เพียงแค่ทักษะเล็กน้อยไม่ควรค่าแก่การเอ่ยถึง” เมื่อถูกหลี่ไหวฺอวี้ตบสะโพกม้า [2] สองสามที เขากลับแสดงความถ่อมตัว
“พลังวิเศษเช่นนี้ คนบ้านป่าเมืองเถื่อนอย่างพวกเราไม่เคยเห็นมาก่อน ต้าซือจะช่วยแสดงอภินิหารให้พวกเราชมเป็ขวัญตาได้หรือไม่” หลี่ไหวฺอวี้พูดพลางยิ้มมุมปาก
ทุกคนต่างกระตือรือร้นขึ้นมา พวกเขายังไม่เคยเห็นเซียนเหาะเหินเดินอากาศมาก่อน ลืมเื่ิเป่าจูไปจนหมดสิ้น ต่างคล้อยตามและ้าััอภินิหารของต้าซือ
“เอ้อ... เื่นี้...”
นักพรตหน้าถอดสี เมื่อเห็นรอยยิ้มแฝงเจตนาร้ายของหลี่ไหวฺอวี้ถึงรู้ว่าตนเองหลงกลเข้าแล้ว เมื่อต้องเผชิญหน้ากับคำขอร้องอย่างกะทันหัน ก็ไร้การตอบสนองไปชั่วขณะ ไม่รู้จะทำอย่างไร
ในที่สุดิเป่าจูก็รู้เป้าหมายของหลี่ไหวฺอวี้ หัวหน้าหมู่บ้านก็เข้าใจเช่นกัน เห็นสีหน้ากระอักกระอ่วนของนักพรตก็รู้ผลแล้ว
“แฮ่ม! ต้าซือเหยียบเมฆเดินทางมากว่าพันลี้ ทั้งยังมาทำพิธีเบิกแท่นบูชา สูญเสียพลังไปมาก อีกประเดี๋ยวก็ต้องช่วยพวกเราปราบปิศาจ ยังไม่เหมาะที่จะสูญเสียพลังตอนนี้ รอไว้มีโอกาสค่อยเชิญต้าซือมาแสดงอภินิหารให้ชมเถอะ”
ท่านหมอหลี่ใช้ความคิดอย่างรวดเร็ว ลอบก่นด่าในความเ้าเล่ห์ของหลี่ไหวฺอวี้พลางคิดหาทางรับมือ
หัวหน้าหมู่บ้านมองหลี่ฟู่กุ้ย ก่อนถอนหายใจลึกๆ นับว่าเข้าใจเื่ราวทั้งหมดแล้ว แต่พวกชาวบ้านยังคงไม่รู้เื่
แม้ว่าเขาจะออกมาอธิบายตอนนี้ ทุกคนอาจปล่อยิเป่าจูไปชั่วคราวเพราะเคารพเชื่อถือในตัวเขามาตลอดหลายปี แต่หลังจากนี้ก็จะหาทางจับผิดนางทุกวิถีทาง สร้างปัญหาไม่จบไม่สิ้น
ไม่สู้มาดูกันว่าเ้าหนุ่มคนนี้จะมีวิธีแยบยลในการแก้ปัญหาอย่างไรค่อยว่ากันอีกที หัวหน้าหมู่บ้านครุ่นคิดพลางมองไปที่หลี่ไหวฺอวี้ซึ่งสุขุมมั่นคงราวกับภูผา
“ใช่ ใช่ ข้านักพรตสูญเสียพลังไปมาก วันนี้ต้องสงวนพละกำลังไว้เพื่อปราบปิศาจก่อน วันหน้าพวกเ้ายังมีโอกาสเปิดหูเปิดตากับวิชาเหาะเหินเดินอากาศอย่างแท้จริง” นักพรตรีบรับสมอ้าง
“ต้าซือเหนื่อยมากแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นพวกเราก็เพิ่งเห็นอิทธิฤทธิ์ของกระบี่เทพกันไปมิใช่หรือ สิ่งสำคัญที่สุดตอนนี้ก็คือการกำจัดดาวหายนะผู้นี้”
“ใช่แล้ว พวกเราจะมีชีวิตที่ดีได้ ตราบใดที่กำจัดดาวหายนะทิ้ง”
สิ่งที่ทั้งสองคนกล่าวสมเหตุสมผล ชาวบ้านจึงเชื่ออย่างล้ำลึกโดยปราศจากข้อกังขา ไม่มีใครสร้างความลำบากใจให้ต้าซือ ตอบแทนที่เขาเพียรพยายามอย่างหนักเพื่อนำพาสันติสุขมาสู่หมู่บ้านของพวกตน
เชิงอรรถ
[1] คลำไม่ถึงศีรษะ มาจากสำนวน พระสูงสองจั้งคลำไม่ถึงศีรษะท่าน หมายถึงงุนงง จับต้นชนปลายไม่ถูก
[2] ตบสะโพกม้า เป็สำนวน หมายถึงประจบสอพลอ มีที่มาจากราชวงศ์หยวน ชาวมองโกลมักทักทายกันด้วยการตบสะโพกม้าของอีกฝ่าย สำรวจความสมบูรณ์ของม้าว่าเป็อย่างไรบ้าง แล้วกล่าวอย่างติดปากว่า ม้าดีเพื่อให้เ้าของดีใจ ต่อมาคนก็เริ่มไม่สนใจดูว่าม้าดีจริงหรือไม่ เพียงกล่าวชื่นชมเอาใจ
