“ได้ ลูกว่าอย่างไรก็ตามนั้น เ้ายัง้าอะไรอีก?” หลิวซานกุ้ยดื่มเยอะไปหน่อย จึงถูกหลิวเต้าเซียงค่อยๆ ขุดความทะนุถนอมลูกของผู้เป็พ่อออกมาทีละเล็กทีละน้อย
หลิวเต้าเซียงหัวเราะคิกคักและพูดว่า “ท่านพ่อ ตอนที่เราทำของใช้ในบ้าน เราทำล้อเกวียนด้วยได้หรือไม่?”
ทันใดนั้นทั้งบ้านอยู่ในความเงียบสงบ!
มีเพียงเสียงของหนอนไหมที่เตือนทุกคนว่า เมื่อครู่คำพูดของบุตรสาวหรือน้องสาวนั้นคือเื่จริงหรือ ทุกคนหูฝาดไปหรือเปล่า
“ล้อเกวียน?” หลิวซานกุ้ยคิดว่าตัวเองเมามากเกินไปและมีอาการหลอน
เขาส่ายศีรษะอันหนักอึ้งและยืนยันกับบุตรสาวอีกครั้ง
นางพูดอะไรผิดหรือเปล่า? หลิวเต้าเซียงกะพริบตาอย่างไร้เดียงสา
“อืม! ทำล้อเกวียนเถิด ท่านพ่อ ถึงเวลาจะได้ซื้อลาสักตัว เช่นนี้ยามที่เรามีเวลาว่าง ก็จะได้นั่งไปเที่ยวกันในอำเภอ ท่านพ่อ ข้าโตขนาดนี้แต่ยังไม่เคยได้เที่ยวในอำเภอเลยนะ”
หลิวเต้าเซียงเหยียดมือเล็กๆ ออกไปและวางรอบคอของหลิวซานกุ้ยพร้อมกับออดอ้อนเสียงหวาน
เพื่อให้นางไม่ต้องลำบากเดินเท้า จะให้นางออดอ้อนและเกลือกกลิ้งกับพื้นก็ย่อมได้
หลิวซานกุ้ยหวั่นไหวเล็กน้อย เงินในบ้านนอกจากต่อเติมบ้านแล้ว ก็ยังเหลืออีกยี่สิบกว่าตำลึง เขากับจางกุ้ยฮัวปรึกษากันว่า เงินที่ซื้อพันธุ์หมูกับไก่จะใช้หนึ่งร้อยตำลึงของจางอวี้เต๋อ หลังจากหักค่าใช้จ่ายก็ยังเหลืออยู่ห้าตำลึง การซื้อลากลับมาจะใช้ในงานไร่นาและยังเป็ล้อเกวียนได้ ที่สำคัญที่สุดคือ ราคาถูกกว่าวัวประมาณเศษสองส่วนสาม
“ท่านพ่อ หลังจากที่ท่านลงสอบฤดูใบไม้ร่วงปีนี้ ก็สามารถเข้าเรียนในสถาบันการศึกษาได้อย่างเป็ทางการ เมื่อถึงฤดูร้อน ฟ้าสว่างเร็วและอากาศก็ร้อน หากถึงฤดูหนาว ฟ้ามืดเร็วไม่ว่า อีกทั้งการเดินทางก็ค่อนข้างสะดวกเมื่อมีเกวียนลา ท่านพ่อก็จะได้ไม่ต้องตากแดดตากฝนอีกต่อไป”
จางกุ้ยฮัวรู้สึกว่าฝีปากของบุตรสาวคนรองนั้นนับวันก็ยิ่งคมคาย ฟังดูแล้วก็สมเหตุสมผล
“ซานกุ้ย หรือไม่ เราก็ซื้อลาสักตัวเถิด ในบ้านเลี้ยงไก่กับหมูมากมาย ลำพังอาหารที่เพาะปลูกจากที่นาของเราคงไม่พอ อีกอย่างเลี้ยงหมูก็ต้องใช้มันเทศ หากมีเกวียนลา ก็จะได้ไปกว้านซื้อในหมู่บ้านกลับมาบ้าง”
สำหรับข้อเสนอนี้ หลิวเต้าเซียงเอ่ยขึ้นมาเพราะคิดมานานกว่าจะตัดสินใจ
“ใช่แล้วๆ ท่านพ่อ เรา้าเกวียนลา”
หลิวซานกุ้ยก้มศีรษะมองดูบุตรสาวคนรองในอ้อมอก นี่เป็การเหยียบจมูกขึ้นหน้า [1] ก่อนหน้านี้ยังนั่งอยู่ข้างกายเขา ตอนนี้กลับซุกเข้ามาอยู่ในอ้อมอกแล้ว
“ก็ได้ ลูกรองบอกว่าซื้อก็ซื้อ ถึงอย่างไรย่าหวงก็บอกว่าเงินค่าไม้ยังไม่ต้องรีบให้ ส่วนค่าแรงสามารถติดค้างไว้ก่อนได้ ถึงสิ้นปีเราค่อยคิดกับเขาทีเดียว”
เขาเองก็พอมีความหวัง บ้านเลี้ยงหมูไก่มากมาย ถึงตอนนั้นคงกว้านซื้อรำข้าวกับข้าวร่วนมากมาย แล้วยังต้องซื้อเปากู่กลับมาอีก
“ท่านพ่อ เื่อาหารกับพันธุ์ลูกไก่ ท่านไม่ต้องห่วง ข้ามีหนทางจัดการเื่นี้ได้อย่างเหมาะสมเอง”
นางได้สะสมไข่มาสองเดือน ถึงตอนนั้นก็เอาไปแลกพันธุ์ลูกไก่กับสัตว์ปีศาจศูนย์ศูนย์เจ็ดโดยตรง ไข่ไก่หนึ่งใบแลกลูกไก่หนึ่งตัว ฮี่ๆ คิดอย่างไรนางก็ได้เปรียบ
นอกจากนี้ ไข่ไก่หนึ่งใบยังสามารถแลกรำข้าวได้สองชั่ง
“สัตว์ปีศาจน้อย ที่ของนายแลกข้าวโพดได้หรือเปล่า?”
เปากู่ในที่นี้ก็คือข้าวโพด ซึ่งเปากู่คือภาษาถิ่นของหมู่บ้านสามสิบลี้นั่นเอง!
“ได้สิครับ ข้าวสารหนึ่งชั่งแลกกับไข่สี่ใบ ส่วนข้าวโพดสองฝักแลกกับไข่หนึ่งใบ ถูกกว่าครึ่งหนึ่ง”
คำพูดของสัตว์ปีศาจศูนย์ศูนย์เจ็ดเปรียบดั่งเสียง์
“สัตว์ปีศาจตัวน้อย ฉันรักนายเหลือเกิน!”
สัตว์ปีศาจศูนย์ศูนย์เจ็ดฟังแล้วเงียบไปครู่หนึ่งและตอบว่า “เซียงเซียง คุณห้ามตายนะ”
เกิดโฮสต์ตายไป มันก็ต้องเริ่มทำงานนับหนึ่งใหม่ นี่เท่ากับว่าทรมานมันไปครึ่งค่อนชีวิตไม่ใช่หรือ?
มุมปากของหลิวเต้าเซียงกระตุก “อืม ฉันไม่ตายหรอก ยังต้องพยายามกับสัตว์ปีศาจน้อยอย่างนาย เราต้องขยายพื้นที่เพาะเลี้ยงให้กว้างใหญ่ด้วยกัน”
คํานี้สัตว์ปีศาจศูนย์ศูนย์เจ็ดชอบฟังที่สุด เ้าต้นกล้าถั่วงอกน้อยซาบซึ้งจนโยกตัวไปมา “เซียงเซียง พยายามเข้านะครับ เงินกำลังโบกมือให้คุณอยู่ไม่ไกล”
หลิวเต้าเซียงยิ้ม เมฆหมอกสลายและปรากฏดวงจันทร์ห้อยระย้าอยู่บนที่สูง!
การสื่อสารของนางกับสัตว์ปีศาจศูนย์ศูนย์เจ็ดเกิดขึ้นเพียงชั่วหนึ่งลมหายใจ ขณะที่หลิวซานกุ้ยกำลังก้มหน้าพินิจ เขาได้ยินไม่ต่ำกว่าหนึ่งครั้งที่บุตรสาวคนรองพูดว่า ไม่ต้องห่วงเื่พันธุ์ลูกไก่กับอาหาร จึงคิดว่าปีที่แล้วบุตรสาวคนรองคงหาเงินได้ไม่น้อย
“เต้าเซียง เ้าห้ามแอบเลียนแบบวิธีลับๆ ล่อๆ บ้านเรานั้นเป็ผู้บริสุทธิ์ เื่เงินเ้าไม่ต้องห่วง พ่อจะพยายามให้มาก ตอนนี้เราย้ายมาริมลำธาร อากาศ่นี้กำลังร้อน ข้าจะจับปลาไปส่งที่โรงเตี๊ยมให้มาก”
หลิวเต้าเซียงเห็นความกังวลของบิดา จึงเลิกเสแสร้งแล้วยิ้ม “ท่านพ่อ คิดไปถึงไหน ข้าก็แค่สัญญากับคนอื่นไว้ จ่ายค่ามัดจำก่อน เมื่อรอไก่วางไข่ หรือหากว่าบ้านเราขายหมูได้เงินมาก็จะคืนพร้อมกันทีเดียว”
“ทำเช่นนี้ได้ด้วยหรือ?” หลิวซานกุ้ยรู้สึกงุนงงเล็กน้อย
จางกุ้ยฮัวทนดูต่อไปไม่ไหว จึงตำหนิเขา “ลูกเราก็แค่ดูวิธีการทำจากร้านค้า มีบ้านที่เงินไม่พอใช้ก็ไปค้างชำระที่ร้านค้าก่อนทั้งนั้นไม่ใช่หรือ? เมื่อมีเงินค่อยเอาไปคืน”
ได้ยินดังนั้นหลิวซานกุ้ยจึงคิดว่าการกระทำของบุตรสาวไม่ได้ผิดปกติจากคนเ่าั้ จึงยิ้มอย่างโล่งอกแล้วเอ่ย “โชคดีที่คนอื่นเชื่อใจเ้า”
“ท่านพ่อ เราคือคนทำมาค้าขาย ต้องพูดเื่ความไว้เนื้อเชื่อใจ” หลิวเต้าเซียงโน้มน้าวหลิวซานกุ้ยสำเร็จ พร้อมกับทำหน้าระรื่น
เื่นี้จึงตกลงกันตามนี้ หลิวเต้าเซียงไม่รู้ว่าตอนนี้สภาพจิตใจของจางกุ้ยฮัวเองก็ผ่อนคลายอย่างแท้จริง
ก่อนหน้านี้บุตรสาวบอกว่าซื้อที่ดิน ยังไม่พอ ยังอยากเลี้ยงหมูเลี้ยงไก่ สัตว์เหล่านี้กินเก่งเหลือเกิน หากเลี้ยงไม่ดีก็จะไม่มีเนื้ออีกด้วย!
การวางไข่ยิ่งไม่ต้องพูดถึง
โชคดีที่บุตรสาวแก้ไขปัญหาเื่นี้ได้
“ต้องขอบคุณเถ้าแก่เกาผู้นั้นด้วย โชคดีที่เขาเชื่อใจคำพูดของลูกเรา”
หลิวซานกุ้ยรู้สึกว่านางพูดถูก “ต่อไป ข้าจะจับปลาตัวใหญ่สดๆ ใหม่ๆ ไปให้เถ้าแก่เกาด้วยสักสองตัว ข้าได้ยินตงจื่อบอกว่า ปีนี้เห็นฟองในน้ำเป็พวงๆ ไม่รู้ว่ามีตะพาบมาจากไหน ไม่รู้ว่าตัวใหญ่แค่ไหน อีกเดี๋ยวข้าจะลองไปเหยียบดู นี่คือของดี คนที่ได้กินปลาบ่อยๆ คงเฉยๆ กับปลา แต่ตะพาบนี้เป็ของหายาก แล้วก็คุณชายซู เดิมทีน่าจะมาพักที่บ้านเราสัก่ เพียงแต่...”
เพียงแต่บ้านของเขาทรุดโทรมเกินไป!
ซูจื่อเยี่ยช่วยครอบครัวของหลิวเต้าเซียงไว้ครั้งใหญ่หลวง แม้ว่าวันนั้นนางได้ทำอาหารที่โรงเตี๊ยมให้เขา แต่ว่าอาหารการกินนั้นยังเทียบไม่ได้
“ท่านพ่อ อีกสองวัน หากทุกอย่างในบ้านเรียบร้อยดีแล้ว ข้าจะไปหาคุณชายท่านนั้นในตำบล ดูสิว่าเขา้าจะมาค้างคืนที่บ้านเราหรือไม่”
หลิวเต้าเซียงรู้สึกว่าเป็การดีกว่าที่จะเชิญเขาเอง
“ดี กำแพงบ้านยังไม่เสร็จ แล้วก็ต้องเชิญช่างไม้มาทำเครื่องใช้ในบ้าน เช้าวันรุ่งขึ้น ข้าจะไปหาคนช่วยตัดไม้ในหมู่บ้าน ที่บ้านมีอาหารดีๆ หรือไม่?”
หลิวซานกุ้ยถามจางกุ้ยฮัว
หมู่บ้านสามสิบลี้ ทุกครอบครัวต่างก็ยุ่ง ดังนั้นเวลาเชิญคนมาช่วยจะไม่จ่ายค่าแรง แต่จะเรียกว่าเป็การแลกเปลี่ยนแรงงานแทน
มันหมายถึงการร่วมด้วยช่วยกัน
แต่เื่ช่วยก็ส่วนช่วย อาหารการกินก็ควรจะมีไว้พอเป็หน้าเป็ตาได้ด้วย
“รุ่งขึ้นให้ชิวเซียงไปซื้อเนื้อตรงปากทางหมู่บ้านมาหน่อย ในบ้านยังมีพริกแห้งที่ตากไว้ปีก่อน ข้าจะเอาพริกแห้งมาผัดผักสักสองอย่าง อีกอย่างรุ่งเช้าพรุ่งนี้เ้าช่วยดูที่ลำธารและดูสิว่าพอจะมีปลาให้จับหรือไม่”
จางกุ้ยฮัวจําได้ว่าหลิวซานกุ้ยได้วางกระชังปลาสองสามอันไว้ในหญ้าน้ำตรงริมแม่น้ำ
รสชาติของปลานั้นสดใหม่ เพียงแต่เวลาทำปลานั้นค่อนข้างเปลืองน้ำมัน คนชนบทจึงไม่ค่อยกินกัน น้ำมันที่ประหยัดไว้ก็เพื่อทำกับข้าวได้อีกหลายอย่าง
“ตอนนี้อากาศอบอุ่นแล้ว วันรุ่งขึ้นน่าจะได้ปลามา ชิวเซียงอย่าลืมซื้อเต้าหู้กลับมาสองก้อนด้วย”
คนมีมากแต่ปลามีน้อย ลำพังปลาอย่างเดียวคงไม่พอกินสำหรับทุกคน หากเอาปลาตุ๋นกับเต้าหู้ นับว่าเป็อาหารที่ดีเยี่ยม
หลิวชิวเซียงฟังอย่างตั้งใจ เมื่อเห็นว่าบิดามอบหมายภารกิจให้ จึงตอบรับอย่างมีความสุข
จากนั้นจางกุ้ยฮัวก็พูดเื่การไปพบเฉินซื่อ “เดิมทีตั้งใจจะเอาเงินไปเยี่ยมท่านยายของเ้าั้แ่วันที่สอง ใครจะรู้ว่า...”
ใครจะรู้ว่าหลิวฉีซื่อจะจิตใจอำมหิตและแอบลงมืออย่างเหี้ยมโหด
จางกุ้ยฮัวอยากบอกว่า ตกลงหลิวซานกุ้ยคือบุตรชายของนางจริงหรือไม่?
แต่สุดท้ายก็กลัวว่าจะทำร้ายจิตใจของเขา จึงเก็บซ่อนคำพูดเหล่านี้ไว้ในใจ
“ท่านแม่ ข้าจะไปด้วย”
หลิวเต้าเซียงลงมาจากอ้อมแขนของบิดาอย่างแรง ก่อนจะปีนเข้าไปในอ้อมแขนของจางกุ้ยฮัว
หลิวซานกุ้ยเห็นด้วย “ข้าว่าก็ดี วันรุ่งขึ้นพวกเ้าไปหาท่านแม่ ไปคนเดียวเร็วกว่าก็จริง แต่สองคนก็มีเพื่อน”
วันรุ่งขึ้น จางกุ้ยฮัวปลุกหลิวชิวเซียง ทั้งสองจัดการทำความสะอาดบ้านจนเรียบร้อย เมื่อข้าวหุงสุกก็เรียกหลิวเต้าเซียงให้ตื่นไปล้างหน้าล้างตา หลังจากทานอาหารเช้าสามแม่ลูกก็ไปยังร้านค้าที่ปากทางหมู่บ้าน เพียงแค่ข้ามลำธารไป แต่สะพานไม่ได้อยู่ข้างบ้านหลิวเต้าเซียงจึงต้องเดินอ้อมไปอีกระยะหนึ่ง เมื่อข้ามสะพานแล้วก็ค่อยเดินวกเข้ามาตรงปากทางหมู่บ้าน
จางกุ้ยฮัวซื้อเนื้อไม่ติดมันมาสี่ชั่ง และหมูสามชั้นสองชั่ง เพื่อเตรียมนำไปให้เฉินซื่อ
เมื่อถึงเวลาอาหารเที่ยง ทั้งสองก็มาถึงหน้าประตูบ้านเฉินซื่อ
“ท่านยาย!”
เสียงที่ละเอียดอ่อนและกังวานดังลอดรั้วไม้ไผ่มา
เฉินซื่อถือมีดหั่นผักเดินออกมาจากในครัว บนศีรษะโพกไว้ด้วยผ้าหยาบสีฟ้าลายดอกไม้
“โอ้ หลานสาวตัวน้อยของยายมาแล้วหรือ รีบเข้าบ้านเร็ว ยายกำลังหั่นผักให้อาหารไก่ ต่อไปจะได้วางไข่แล้วเอามาทำขนมให้หลานรักกิน”
ทันทีที่เฉินซื่อเห็นสองแม่ลูกมา สีหน้าก็ยินดีปรีดาพร้อมกับโบกมือจากในห้องครัว
จางกุ้ยฮัวเดินมาหานางพร้อมกับหลิวเต้าเซียง จากนั้นยื่นหมูสามชั้นในมือให้ แล้วคว้ามีดทำครัวหักๆ มาไว้ในมือและยิ้ม “ท่านแม่ ข้ามาแล้ว”
เฉินซื่อเอื้อมมือออกไปโอบกอดหลิวเต้าเซียง แล้วก้มหน้าถามนางว่า “หลานรัก ตอนนี้เป็่ฤดูทำนาใบไม้ผลิ ที่บ้านคงยุ่งมาก เหตุใดจึงมาได้?”
หลิวเต้าเซียง้าทำให้นางมีความสุข จึงยิ้มออดอ้อน “ข้าคิดถึงแผ่นเฉียวกั่วที่ท่านยายทำแล้ว”
“โอ้ หลานรักเด็กดี ยายไม่ได้คุยโวหรอกนะ การทำเฉียวกั่วแผ่นต้องใช้ฝีมือ ในรุ่นนี้ ยายนับว่าเป็อันดับต้นๆ เลยล่ะ”
เฉินซื่อมีความสุขมาก
“เดี๋ยวยายจะทอดให้เ้า แล้วให้เ้าเอากลับไปกินที่บ้านนะ”
เฉินซื่อคิดว่าพวกนางยังพักอยู่ที่บ้านหลังเดิมของตระกูลหลิว ด้วยเหตุนี้จึงไม่ได้บอกว่าจะให้พวกนางมากหน่อย เพื่อให้พวกนางนำไปทอดกินที่บ้านทีหลังเอง
จางกุ้ยฮัวสับผักเป็อาหารไก่อยู่ไม่ไกลจากประตูครัว นางยิ้มแล้วเอ่ย “ท่านแม่ วันนี้เรานำข่าวดีมาให้ท่านด้วย”
“อะไรนะ ข่าวดีหรือ? คงไม่ใช่ว่าแม่สามีจอมร้ายกาจของเ้าไปแล้วหรอกนะ?” เฉินซื่อชี้นิ้วขึ้นบนท้องฟ้า
นี่คือการถามว่าหลิวฉีซื่อขึ้น์แล้วใช่หรือไม่?
มนุษย์ต้องตายเท่านั้น จึงจะขึ้นไปบน์
ดังนั้นแล้ว เฉินซื่อเองก็เกลียดชังหลิวฉีซื่อเช่นกัน
-----
เชิงอรรถ
[1] เหยียบจมูกขึ้นหน้า เปรียบเปรยว่า การที่อีกฝ่ายให้เกียรติอีกฝั่งหนึ่ง แต่ฝั่งนั้นกลับได้คืบจะเอาศอก
