เจินจู ผิงอัน และหลัวจิ่งนั่งทานอาหารเย็นอยู่ภายในห้องส่วนตัวริมหน้าต่าง
พรุ่งนี้ก็จะถึงบ้านแล้ว สามคนจึงอารมณ์ดีกันอย่างมาก
“ท่านพี่ ข้าอยากซื้อของขวัญให้พวกพี่อาชิงกับถู่วั่งนิดหน่อย” ผิงอันมองเจินจูด้วยดวงตาเป็ประกายวิบวับ
“ได้สิ นี่เป็เงินย่อย ถือโอกาสตอนฟ้ายังไม่มืด เ้าอยากซื้ออะไรก็ซื้อเสียเลย” เจินจูล้วงกระเป๋าเงินใบเล็กออกมาจากในอก เทเงินจากด้านในออกมาแล้วมอบให้ผิงอันทั้งหมด
ผิงอันรับไปอย่างเบิกบานใจ นำเงินใส่เข้าในกระเป๋าใบเล็กของตัวเอง
“ให้สือซานไปเป็เพื่อนเ้า คนมากเช่นนี้ระวังความปลอดภัยด้วย” หลัวจิ่งดึงประตูห้องส่วนตัวเปิดออก และพาผิงอันไปหาหลัวสือซาน
ผ่านไปไม่นานเขาก็กลับเข้ามาในห้องอีกครั้ง
“เ้าไม่ต้องกลับไปฉลองปีใหม่กับพี่ชายของเ้าหรือ?
แม้จะรู้ว่าต่อให้เร่งกลับไปตอนนี้ก็กลับไปไม่ทันแล้ว แต่นางยังอยากถามออกไป
หลัวจิ่งยิ้ม แล้วคีบหัวสิงโตปรุงน้ำแดงให้นาง
“ไม่เป็ไร ปีก่อนๆ ก็ฉลองปีใหม่กับท่านพี่มาตลอด ปีนี้รั้งอยู่หมู่บ้านวั้งหลิน ฉลองกับพวกเ้า” เขาหยุดไปพักหนึ่ง ดวงตาที่มองนางอ่อนโยนขึ้น “ไม่ทราบว่าจะยินดีต้อนรับหรือไม่?”
“พรืด” เจินจูหัวเราะออกมา
“เ้าไม่ใช่ว่าไม่เคยฉลองปีใหม่ที่บ้านข้าเสียหน่อย ยังจะถามว่ายินดีต้อนรับหรือไม่อีก หากไม่ต้อนรับเ้าจะทำอย่างไร”
นางเลิกคิ้วหาเื่
ั์ตาสีดำของหญิงสาวสุกสกาวดังดวงดารา มุมปากที่ยิ้มอย่างอ่อนโยนดุจดอกไม้ผลิบานในฤดูใบไม้ผลิ ชั่วขณะนั้นหลัวจิ่งรู้สึกว่าหัวใจของตนจวนจะละลายลงไปเสียให้ได้
เจินจูเห็นเขาเงียบไม่พูดไม่จา อดเอนกายพิงไปทางด้านหลังไม่ได้ วันนี้ชุดที่นางสวมคือเสื้อกันหนาวสองชั้นสีแดงอมส้มประดับขอบด้วยขนเพียงพอน ่รอบเอวเย็บเข้าได้คอดเป็อย่างมาก แม้จะเป็เสื้อผ้าชุดหนาในฤดูหนาว ทว่ายังคงมีความโค้ง ส่งผลให้เห็นเอวคอดกิ่วได้ชัดเจน
สีสันงดงามขับให้นางสวยเด่นราวบุปผามากยิ่งขึ้น
สายตาของหลัวจิ่งไม่สามารถละออกไปได้ชั่วขณะ จิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว เขายกถ้วยน้ำชาบนโต๊ะขึ้นดื่มหนึ่งอึก แล้วถึงกล่าวออกมาอย่างเชื่องช้า “ต่อให้ไม่ต้อนรับ ข้าก็จะหน้าด้านอยู่บ้านเ้าไม่ไปไหน”
เจินจูหัวเราะขึ้นมาทันที นางยื่นมือเรียวบางขาวผ่องออกมาปิดริมฝีปากครึ่งหนึ่ง... หัวเราะจนไหล่สั่น
“ไร้เหตุผลเช่นนี้ อาจถูกท่านพ่อของข้าไล่ออกจากบ้านก็ได้นะ”
“ท่านอารองหูไม่มีทางทำเช่นนั้นแน่ เขาไม่เหมือนเ้า ที่มีมโนธรรมน้อยนิด รู้จักแต่จะบังคับข้า”
มือของเขาเอื้อมไปที่แก้มของนาง แล้วบีบมันเบาๆ ััเกลี้ยงเกลาละเอียดอ่อน
“โอ๊ย น่าชังนัก มาบีบหน้าคนเขาทำไมกัน”
เจินจูปัดมือของเขาออก เมื่อเงยหน้าขึ้นไปก็พบว่าในขณะที่ไม่ทันรู้สึกตัวเขาได้เขยิบเข้ามานั่งใกล้ปานนี้แล้ว สายตาลึกซึ้งราวกับมีเปลวไฟวูบไหวอยู่
ทันใดนั้นบนใบหน้าของนางก็เกิดความร้อนวูบขึ้น
หลัวจิ่งกุมมือเล็กนุ่มนิ่มราวกับไร้กระดูก ในใจคล้ายถูกความอบอุ่นจุกแน่นอยู่เต็มอก
คิดถึงท่าทางที่ได้พบกับนางครั้งแรกขึ้น ร่างผอมเล็กท่าทางปลิ้นปล้อนเ้าเล่ห์ สายตาแฝงไว้ด้วยความตื่นตัวเล็กน้อย ท่าทีที่มีต่อเขาราวกับเด็กน้อยที่เป็เพื่อนบ้านก็ไม่ปาน ไม่ถูกรอยแผลตามร่างกายของเขาทำให้ใเลยแม้แต่น้อย
แต่ภายในระยะเวลาสามปีสั้นๆ นางก็เหมือนดอกบัวที่เบ่งบานสะพรั่งในน้ำ บริสุทธิ์ สง่างดงามสดใสยากจะหาผู้ใดเทียบเคียงได้ ไม่แปลกใจเลยที่คุณชายสามสกุลจ้าวจะเห็นนางเพียงแวบเดียว ก็จับตัวนางไปอย่างไม่สนผลลัพธ์ที่จะตามมาทีหลังเช่นนี้
ในฝ่ามือใหญ่ห่อหุ้มมือเล็กบางนุ่มนิ่มเอาไว้ นวดคลึงบางเบา ลูบไล้อย่างเชื่องช้า สิบนิ้วสอดประสานกัน ความรู้สึกลุ่มหลงวนเวียนไปมาไม่หยุด
เจินจูมองเขาที่กุมมือของตนเล่นอยู่กลางฝ่ามือใหญ่ ใบหน้าเริ่มแดงขึ้นช้าๆ
บนเปลือกตาที่หลุบต่ำลงของเขา ขนตาเป็แพโค้งงอนออกมาอย่างเห็นได้ชัด ขนคิ้วดำขลับยาวเฉียง จมูกสูงโด่ง สีปากน่ามอง ด้วยระยะที่ใกล้เพียงนี้ ทว่าบนผิวกลับไม่พบจุดด่างพร้อยให้ได้เห็น ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็ล้วนดูเป็ชายหนุ่มหน้าตางามสง่าโดดเด่นและดูแจ่มใสยิ่งนัก
การสังเกตอย่างละเอียดของนาง ถูกสายตาสีเข้มลุ่มลึกดังบึงน้ำของเขาจับได้ทันที
นางกะพริบตา ลูกตาเริ่มมองซ้ายขวา แสร้งทำท่าสงบเยือกเย็น
มุมปากของเขาอมยิ้ม พร้อมกับยืดแขนออกไปและรั้งนางเข้าสู่อ้อมอก
กลิ่นกายหอมที่คุ้นเคยวนเวียนอยู่ปลายจมูก กลิ่นอายอันแสนอบอุ่นทำให้จิตใจสงบผ่อนคลายลง หลัวจิ่งส่งเสียงในลำคอด้วยความพึงพอใจ กอดนางให้กระชับแน่นขึ้น
เจินจูใบหน้าเริ่มแดงลุกลาม คิดจะดันเขาออกทว่าตัดใจทำไม่ได้ ขณะที่ลังเล มือเรียวเล็กก็ลงไปโอบอยู่บนเอวของเขาแล้ว
พวงแก้มเรียบลื่นของหญิงสาวแดงเรื่อไปด้วยสีชมพู เปลือกตาหลุกหลิกอยู่เป็ระยะด้วยความเหนียมอาย แพขนตายาวราวกับปีกผีเสื้อขยับสั่นไหวขึ้นลง
คนงามอยู่ในอ้อมอก กลิ่นหอมหวนวนเวียนอยู่ปลายจมูก ภายในร่างกายของหลัวจิ่งเกิดลูกไฟพุ่งพล่านขึ้นกะทันหัน ร้อนแผดเผาเสียจนลำคอและปากแห้งผาก
สายตาหยุดอยู่ที่ริมฝีปากแดงชุ่มชื้นน่ามองของนางอย่างอดใจไว้ไม่อยู่ ตรงนั้นราวกับมีสุรารสเลิศชั้นดีดึงดูดให้เขาเข้าไปฉกชิม
จนกระทั่งริมฝีปากเข้าใกล้กับความอ่อนนุ่มอิ่มเอิบชุ่มชื้น เขาถึงได้ตระหนักว่าตนเองกำลังได้ในสิ่งที่ปรารถนา
เสียงวุ่นวายปนเปกันจากด้านนอกหน้าต่างราวกับอยู่ห่างไกล แสงไฟขมุกขมัวสาดส่องเข้ามา
เมื่อริมฝีปากประกบกัน เหลือเพียงเสียงลมหายใจกระชั้นของคนสองคน
เจินจูถูกจุมพิตเสียจนสติพร่าเลือน ความร้อนผ่าวพรั่งพรูขึ้นมาบนใบหน้าไม่หยุด ลมหายใจผสมผสานไออุ่นร้อนแผ่คลุมซึ่งกันและกัน ทำให้นางรู้สึกหายใจติดขัดเล็กน้อย
มือของหลัวจิ่งประคองอยู่ตรง่หลังคอของนาง นางถอยหนีไม่ได้ ทำได้เพียงเผชิญหน้ากับการกลืนกินอันดุดันของเขา
ครั้งแล้วครั้งเล่า ราวกับเป็หมาป่าหิวโซที่ไม่มีวันรู้จักพอ ปลายลิ้นของนางล้วนถูกเขาฉกฉวยตามอำเภอใจจนเกิดชาขึ้น
ร่างกายอ่อนยวบไร้กำลัง ไม่รู้ว่าสองมือที่ยึดเกาะอยู่บนลำคอของเขาได้ดึงส่วนบนของเสื้อไว้อย่างไร้เรี่ยวแรงั้แ่เมื่อไร
“…”
ผ่านไปเป็เวลาเนิ่นนาน ในที่สุดหลัวจิ่งจึงละออกจากริมฝีปากอย่างอ้อยอิ่ง
เห็นริมฝีปากงามถูกจูบจนบวมแดง และดวงตาพร่าเบลอสติหลุดลอยของนาง หัวใจของเขาก็ปั่นป่วนเต้นรัวแรงขึ้นมาอีกพักหนึ่ง
เขาก้มศีรษะลงอย่างนุ่มนวล แล้วประทับริมฝีปากลงไปแนบสนิทอย่างแ่เบาอีกครั้งด้วยความสงสาร ไม่กระหน่ำดุดันเหมือนเมื่อครู่ที่ผ่านมา
อ่อนโยนอาลัยรัก ทะนุถนอมและอ้อยอิ่งเชื่องช้า ใช้ลิ้นละเลียดชิมไปตามรูปปากของนาง หยอกล้อจนคนตัวเล็กเงยหน้าเบี่ยงถอยไปด้านหลังติดๆ กัน
เจินจูเขินอายระคนขุ่นเคือง จึงเผยอปากเข้าไปกัดริมฝีปากของเขา
“…อื้อ”
เสียงหัวเราะอู้อี้หลุดออกมา มือของเขาที่ประคองต้นคอของนางไว้เริ่มเคลื่อนไหวแ่เบา และลูบไปบนติ่งหูนุ่มนิ่มของนาง
“อ๊ะ”
เป็ไปดังคาด นางละฟันคมออกไปทันที พร้อมกับยกมือขึ้นลูบที่ติ่งหู แล้วถลึงตาใส่เขาด้วยความอับอายและขุ่นเคือง
ดวงตากลมโตที่มีม่านน้ำบางๆ ตำหนิถึงพฤติกรรมอันโหดร้ายของเขา
หลัวจิ่งเกิดรอยยิ้มอันเจิดจ้าสว่างไสวขึ้น รู้สึกว่าไม่มี่เวลาไหนจะสวยงามไปมากกว่านี้อีกแล้ว
ผิงอันซื้อของเล็กๆ น้อยๆ กลับมามากมาย มีทั้งน้ำตาลปั้น รูปปั้นจากแป้งข้าวเหนียว ถังหูลู่ [1] ไม้ไผ่แกะสลัก เก้าห่วงปริศนา... ล้วนเป็สิ่งของที่บรรดาเด็กผู้ชายชื่นชอบทั้งสิ้น
อากาศหนาวเหน็บเช่นนี้ น้ำตาลปั้นกับถังหูลู่สามารถเก็บรักษาไว้ได้นาน
เจินจูให้หลิวอี้ไปร้านเนื้อตากแห้งสำเร็จรูปที่มีชื่อของเมืองเฉิงหยาง แล้วซื้อเนื้อตากแห้งมาด้วยเงินยี่สิบเหลียงอีกครั้ง ตอนมอบของขวัญสิ้นปีและฉลองปีใหม่สามารถนำมาใช้ได้พอดี
เพราะการแยกย้ายกันของผู้คุ้มกันจากจวนสกุลกู้ รถม้าจึงมีที่ว่างเพิ่มขึ้นมาเหลือเฟือ
เมื่อคิดขึ้นมาได้ว่าตอนฉลองปีใหม่จำเป็ต้องใช้ของฉลองปีใหม่และของขวัญสิ้นปี เจินจูจึงลากหลัวจิ่งออกมาเดินเล่นที่หัวเมืองหนึ่งรอบ
ผ้าพับ เกาเตี่ยน ลูกกวาด ประทัด อาหารและสุรา ใบชา ผลไม้แห้งเชื่อม ของทานเล่นประเภทคั่วจากเหนือจรดใต้ เมื่อยัดข้าวของเข้าไปเต็มรถม้าทั้งเกวียนแล้ว จึงหยุดลงด้วยความพึงพอใจ
เมื่อออกจากเมืองเฉิงหยางก็เดินทางมาอย่างรวดเร็วตลอดทาง ครั้นจวนจะเป็เวลาเที่ยงตรงก็ได้เร่งมาถึงเมืองไท่ผิงจนได้
เมื่อเห็นทิวทัศน์ของถนนที่แสนคุ้นเคย เจินจูกับผิงอันต่างก็ตื่นเต้นดีใจยิ้มแย้มจนมองไม่เห็นดวงตา
เพิ่งห่างจากบ้านไปเพียงระยะเวลาสั้นๆ หนึ่งเดือน ทว่าเหมือนผ่านไปเป็เวลานานมากแล้ว
เมื่อหลิวผิงได้ข่าวจึงมารอพวกนางอยู่หน้าประตูฝูอันถัง
ได้เห็นว่าพวกนางกลับมาอย่างปลอดภัย หลิวผิงก็ดีใจมากเช่นกัน
เขาได้รับจดหมายจากกู้ฉีนานแล้ว ทราบว่าอีกไม่กี่วันข้างหน้านี้พวกนางกำลังจะกลับมา จึงส่งลูกจ้างไปคอยเฝ้าอยู่หน้าประตูเมือง
ลูกจ้างกลับมารายงานด้วยความรวดเร็วเป็อย่างมาก คาดประมาณจำนวนคนเรียบร้อย และรีบให้คนไปทำการจองโต๊ะเลี้ยงจำนวนสองโต๊ะที่สือหลี่เซียงทันที
รั้งขบวนรถม้าหยุดอยู่หลังร้านและไปทานอาหารกลางวัน เพื่อพักพูดคุยกันอยู่ครึ่งชั่วยาม
เจินจูมอบซองแดงปึกหนาให้กับหลิวอี้ ด้านในเป็ตั๋วเงินห้าสิบเหลียง ตลอดการเดินทางโชคดีที่ได้เขาดูแลพวกนางสองพี่น้อง ช่วยพวกนางไว้ไม่น้อยจริงๆ จึงเป็ธรรมดาที่ต้องขอบคุณเป็พิเศษสักรอบ
เมื่อหลิวผิงส่งสัญญาณอนุญาต หลิวอี้จึงทำการขอบคุณและรับเงินซองแดงมา
หลิวผิงมาส่งพวกนางออกจากเมืองด้วยตัวเอง พอเห็นว่าขบวนเดินทางจากไปไกลมากแล้ว จึงกลับฝูอันถังไปอย่างเชื่องช้า
เมื่อผิงอันออกจากประตูเมืองมาก็สะบัดบังเหียนม้าห้อตะบึงรวดเร็วอย่างอดใจไม่อยู่
จนกระทั่งขบวนม้ามาถึงหมู่บ้านวั้งหลิน ทางเข้าหมู่บ้านก็ได้มีคนหนึ่งกลุ่มมารวมตัวกันรออยู่แล้ว
มองมาจากที่ไกลๆ เห็นหูฉางกุ้ยและหลี่ซื่อยืนอยู่ท่ามกลางกลุ่มคน รวมทั้งซิ่วจูที่ถูกอุ้มอยู่ในมือของหลี่ซื่อ และผิงอันกับผิงซุ่นที่ถูกบรรดาเด็กๆ รายล้อม
ทันใดนั้นเจินจูก็รู้สึกน้ำตาจวนจะร่วงหล่นลงมา คาดไม่ถึงเลยว่าสายสัมพันธ์ดั้งเดิมของครอบครัวได้ฝังลึกเข้าสู่หัวใจของนางไปเสียแล้ว
“ท่านพี่”
ดวงตาผลองุ่นสีดำขลับเปล่งปลั่งของซิ่วจูทอประกายวาววับ ใบหน้ารูปไข่สีแดง มือเล็กป้อมยกขึ้นเหยียดสูงสุดแขนพยายามโบกมือไปมา
ดวงตาคู่งามของหลี่ซื่อมีน้ำตาซึม บุตรสาวและบุตรชายหนึ่งคู่ของนาง เดินทางจากบ้านเกิดไปยังที่แสนไกลเป็ครั้งแรก นางระทมทุกข์จนตลอดทั้งคืนแทบไม่อาจหลับตาลงได้อย่างสงบเลย ยามนี้ได้เห็นพวกเขากลับมาอย่างปลอดภัย ในที่สุดก้อนหินอันหนักหน่วงก็ถูกยกออกไปได้เสียที
มือของหูฉางกุ้ยถูไปมาไม่หยุด เพื่อปิดบังความตื่นเต้นเอาไว้ ลูกๆ กลับมาอย่างปลอดภัยนับเป็การปลอบโยนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเขาแล้ว
ขบวนรถม้าที่เดินทางมาหยุดลงตรงหน้ากลุ่มคน เจินจูดึงประตูเกวียนเปิดออก ค่อยๆ ลงมาจากรถม้า หยุดยืนอยู่ข้างทางที่รอบด้านเป็ก้อนดินก่อตัวขึ้น และหันไปส่งยิ้มอย่างนุ่มนวลให้ซิ่วจู
กลุ่มคนที่เดิมทีคึกคักจอแจกัน กลับสงบเงียบลงอย่างกะทันหัน
เจินจูยังคงสวมชุดเสื้อกันหนาวสองชั้นสีแดงอมส้มประดับด้วยขนเพียงพอนตรงขอบ และส่วนล่างเป็กระโปรงผ้าฝ้ายลวดลายเมฆสีขาวแสงจันทร์ของเมื่อวาน ส่วนบนศีรษะแปรงมวยผมห้อยลงมา นี่เป็การแปรงมวยผมที่เยว่อิงสอนนางตอนอยู่จวนกั๋วกง แม้ซับซ้อนไปหน่อยแต่อย่างไรนางก็สามารถแปรงออกมาได้
ปักปิ่นหงส์ทองฝังไข่มุกมีห้อยพู่ระย้าหนึ่งชิ้น บนใบหูใส่ต่างหูไข่มุกจากเครื่องประดับชุดเดียวกัน งดงามและดูล้ำค่า เปล่งประกายจนไร้คำบรรยาย
“…นั่นเป็บุตรสาวคนโตของครอบครัวฉางกุ้ยงั้นหรือ? เหตุใดเปลี่ยนไปงดงามเพียงนั้นได้?”
“โธ่เอ๋ย เดิมทีเจินจูก็เป็ดอกไม้งามในหมู่บ้านอยู่แล้ว ตอนนี้แค่เปลี่ยนการแต่งกายที่ดูสูงส่งขึ้นเอง”
“จุ๊ๆ ชุดที่แต่งบนกายนั่น ไม่รู้ว่าต้องจ่ายเงินไปเท่าไรกันนะ”
“ก็นั่นน่ะสิ ฉางกุ้ยบอกว่าพวกนางสองพี่น้องได้รับคำเชิญให้ไปเที่ยวเล่นในเมืองหลวง ก็คุณหนูผู้นั้นที่มาเป็แขกของบ้านฉางกุ้ยคราวก่อนอย่างไรล่ะ บอกว่าเป็คุณหนูของจวนสกุลโหวในเมืองหลวง ภูมิหลังช่างใหญ่โตยิ่งนัก”
“โห นั่นยอดเยี่ยมไปเลยนะ คุณหนูของจวนสกุลโหว เป็ผู้สูงศักดิ์เสียดฟ้าเลย เด็กสองคนของครอบครัวเขาช่างมีวาสนาจริงๆ”
“ใช่ไหมล่ะ เ้าดูสิ นายท่านแซ่หลัวชายหนุ่มอนาคตไกลผู้นั้น คุ้มกันพวกนางไปส่งถึงเมืองหลวงตลอดทางด้วยนะ”
“…”
หลังผ่านการเงียบเชียบไปก็เป็เสียงแอบกระซิบกระซาบกันขึ้น
“หลบหน่อย ให้หญิงชราเช่นข้าผ่านไปหน่อย เจินจู ผิงอัน กลับมาแล้วหรือ?” เสียงของหวังซื่อดังแว่วขึ้นจากด้านหลังกลุ่มคน
“ท่านย่า ข้าอยู่นี่ขอรับ!” ผิงอันแหวกกลุ่มคนออกมาแล้วพุ่งเข้าไป
“โอ้... โอ้! ในที่สุดหลานชายคนดีของข้าก็กลับมาแล้ว!” หวังซื่อตื่นเต้นจนเสียงพูดสั่นเล็กน้อย
เจินจูหิ้วกระโปรงขึ้นและเดินเข้าไป
“ท่านพ่อ ท่านแม่ ข้ากลับมาแล้วเ้าค่ะ”
เสียงอ่อนหวานไพเราะ ประดับไว้ด้วยความดีอกดีใจ
“อื้ม กลับมาแล้วดียิ่งนัก!” หูฉางกุ้ยที่ซื่อตรงไร้เล่ห์เหลี่ยมถูกลางฝ่ามือไปมา พลางพยักหน้าติดๆ กัน
น้ำตาของหลี่ซื่อร่วงหล่น ความรู้สึกทุกข์ใจ สับสน ตื่นเต้น และดีใจผสมอยู่ด้วยกัน น้ำตายิ่งไหลพรากลงมาอย่างควบคุมไม่ได้
เจินจูข่มความรู้สึกแสบร้อนที่ปลายจมูก หยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาเช็ดน้ำตาให้นาง
“ท่านพี่ ท่านพี่ อุ้ม... อุ้ม...”
ซิ่วจูโผเข้ามาทางนางทันที
หลี่ซื่อไม่ทันระวัง เกือบปล่อยนางร่วงลงไป
“โธ่เอ๋ย เ้าเด็กน้อยนี่ อ้วนขึ้นอีกแล้วใช่ไหม พี่เกือบจะอุ้มเ้าไม่ไหวอยู่แล้ว”
เจินจูฉวยนางเข้ามาไว้ในอ้อมอกทันที
ซิ่วจูหน้าตาเบิกบานหัวเราะเสียงดัง พวงแก้มพลุ้ยไหลรวมกันจนเหมือนซาลาเปาก้อนขาว
น่ารักจนทำให้คนอดใจอยากบีบไว้ไม่อยู่
“เจินจู เ้ากลับมาแล้ว”
หวังซื่อจูงมือผิงอันเดินเข้ามาด้วยใบหน้าตื่นเต้น
หญิงสาวร่างสะโอดสะองสวยสง่ายืนอยู่ท่ามกลางกลุ่มคน ยิ้มบางๆ ส่งมาทางนาง ราวกับเทพธิดาสว่างสดใสเป็ประกาย ที่ปรากฏขึ้นท่ามกลางแสงรุ่งอรุณยามเช้าโผล่พ้นขอบฟ้าเพื่อต้อนรับวันใหม่
หวังซื่อตะลึงงัน
เชิงอรรถ
[1] ถังหูลู่ คือ ผลไม้เคลือบน้ำตาลเสียบไม้