รอบๆ ยอดเขาคืนสู่ความสงบ ไร้ซึ่งสำเนียงใดๆ
สัตว์ทั้งสามหาได้สนใจฉู่เฟิง เหมือนกับมองข้ามเขาไปเสียอย่างนั้น
ฉู่เฟิงพลันเข้าใจ ตอนนี้เขาอยู่ค่อนข้างห่างจากยอดเขา อีกทั้งพวกมันสามารถรับรู้ได้ว่าเขาไม่เป็ตัวอันตรายแต่อย่างใด ดังนั้นจึงไม่สนใจปล่อยให้เขายืนอยู่ด้านล่าง
สัตว์ทั้งสามตัวนี้เป็สิ่งมีชีวิตเหนือธรรมชาติที่มีความคิดความอ่าน
“ฉวยจังหวะหนีตอนนี้แหละ!”
ฉู่เฟิงตัดสินใจลงจากเขา ถึงแม้ว่าเขาจะรู้สึกสนใจเ้าต้นไม้เล็กๆ ที่หยั่งรากบนหน้าผาสำริดนั่นเป็พิเศษ กระหายที่จะหาคำตอบ ทว่าสำหรับเขาแล้ว ที่นี่อันตรายเกินไปมีสิทธิ์เอาชีวิตไปทิ้งได้ตลอดเวลา
กลิ่นหอมเริ่มเข้มข้น ลอยมาจากบนเขาสำริดนั่น
มาสทิฟฟ์ตัวนั้นรวดเร็วดุจสายฟ้า กระโจนไม่กี่ครั้งก็ผ่านกองหินที่ง่อนแง่นนั่น หลังจากนั้นวิ่งไปตามแนวเขาสูงตระหง่าน พุ่งทะยานสู่ยอดเขา
จามรีสูงสามเมตรกว่า สีดำปลอดทั่วร่างดุจลำแสงสีดำ เขาใหญ่โตบนหัวขู่ขวัญผู้คน มันเริ่มย่างตามไปติดๆ ไม่รีบร้อนไม่เชื่องช้า
มันก้าวเดินอย่างมั่นคงไปตามแนวหิน แล้วก็ปีนขึ้นไปบนผาสำริดสูงชันได้จริงๆ เสียด้วย
นกสีทองดุจดั่งหลอมมาจากทองที่อยู่ในอากาศ สยายปีกแวววาว ลูกั์ตาเปล่งประกายสีทอง มันลดระดับร่อนเข้าใกล้หน้าผา สายตาจดจ้องอยู่ที่ต้นไม้ต้นเล็ก
ตอนที่ฉู่เฟิงเตรียมจะผละจากไปนั่นเอง กลิ่นหอมทวีความเข้มข้นขึ้นหลายเท่าไม่ยอมหยุด ดอกตูมใกล้เบ่งบาน
“โพละ!”
แม้ว่าจะอยู่ห่างออกมาพอสมควร แต่ฉู่เฟิงได้ยินเสียงดอกไม้ผลิบานชัดเจน ต้นไม้เล็กๆ บนยอดเขาที่มีดอกตูมสีเงินยวงขนาดเท่ากำปั้นดอกนั้นคลี่บานออกหนึ่งกลีบ
ดอกไม้บานมีเสียง!
กลิ่นหอมของดอกไม้ข่มขวัญผู้คน หอมอบอวลยิ่งกว่าเมื่อครู่ ดั่งว่ามันมีอำนาจความชั่วร้ายเป็พิเศษ ล่อลวงให้ผู้คนหลงใหล
วินาทีนั้น สัตว์ทั้งสามก็ทะยานสู่ยอดเขา ใกล้เข้าไป จดจ้องอย่างตึงเครียด อีกทั้งกลิ่นดอกไม้ก็เริ่มเข้มข้นขึ้นอย่างร้ายกาจ เหมือนกับกลืนกินน้ำหอมเข้าไปอึกใหญ่
ฉู่เฟิงหันศีรษะกลับไปก็เห็นภาพนี้เข้าพอดี การกระทำอันพิสดารของพวกมันทำให้เขาแตกตื่นได้ไม่หยุดหย่อน
สัตว์ทั้งสามอดรนทนไม่ได้ คิดจะโจมตีศัตรู สำแดงความบ้าระห่ำอันน่ากลัว
เสียงเบาๆ ดังมาเป็ระยะ กลีบดอกไม้สีเงินยวงคลี่บานอย่างต่อเนื่อง ก่อให้เกิดหมอกขาวประปราย อีกทั้งประกายระยิบระยับ บุปผาเบ่งบานส่งเสียง ส่งกลิ่นหอมอวลทบทวีไม่หยุดหย่อน!
ฉู่เฟิงตกตะลึงอย่างแท้จริง นี่มันดอกไม้อะไรกัน กลิ่นหอมนี่ล่อลวงผู้คนเกินไป จนทำให้เขาคิดอยากจะหันกลับพุ่งขึ้นไปยังยอดเขา
ดอกตูมสีขาวเงินขนาดเท่ากำปั้น ตรงส่วนยอดของต้นไม้เล็กสูงเกือบเมตรนั้นบานเต็มที่ หมอกขาวกระจายลอยอ้อยอิ่งอยู่บนหน้าผาสำริด ทำให้ตรงนั้นไม่ต่างกับแดนเซียน
รอยแต้มสีทองบนกลีบดอกส่องประกายขึ้นพร้อมกันท่ามกลางหมอกขาว แต้มแสงสีทองละลานตาราวกับแสงดาวสาดประกายพร่างพราวระยิบระยับ
ภาพนี้ช่างงดงามตระการตา ชวนให้คนหลงใหลยิ่งนัก
สิ่งที่สัตว์ทั้งสามรอคอยก็คือวินาทีนี้ รอให้มันเบ่งบานเต็มที่!
พวกมันต่อสู้ปะทะกันอย่างดุเดือด เงาเล็บล่องลอยในอากาศ นี่เป็การปลดปล่อยสัญชาตญาณดิบเถื่อน บ้าคลั่งอย่างที่สุด ล้วนแต่้าดอกไม้ประหลาดล้ำนั่นแต่เพียงตัวเดียว
ทุกครั้งที่จามรีสีดำตัวนั้นย่างเท้าลง ยอดเขาสั่นไหวด้วยพละกำลังมหาศาล
ตึง!
ในอากาศ นกสีทองกางกรงเล็บั์เข้าปะทะกับเขาหนาคู่นั้น ส่งให้เกิดเสียงครูดกรีดหู
มาสทิฟฟ์ตัวนั้นคำรามต่ำ น้ำเสียงกดดันหนักหน่วงไม่ต่างกับเสียงฟ้าร้อง
สัตว์ทั้งสามเข้าห้ำหั่นกันและกัน ต่อสู้เพื่อแย่งชิงดอกไม้ที่เบ่งบาน
ระหว่างการต่อสู้ พวกมันก็สูดอัดกลิ่นหอมจากดอกไม้อันเข้มข้นนั้นอย่างหนักหน่วงด้วยเช่นกัน
หมอกขาวลอยวนปกคลุมยอดเขาสำริด ในเงาเลือนราง แต้มสีทองไหวระริก ดุจดั่งทะเลดาวที่เปล่งประกายอยู่ท่ามกลางสายหมอก ณ ที่นั้นคือความลึกลับ คือความงามอย่างถึงที่สุด
โครม!
พวกมันเข้าถึงต้นไม้เขียวชอุ่มต้นนั้นแล้ว อุ้งตีนใหญ่โตของมาสทิฟฟ์ตัวนั้นปัดโดนดอกไม้
กระแสลมรุนแรงพัดโหม นกสีทองทิ้งตัวลง กางกรงเล็บแหลมคมขยุ้มมาสทิฟฟ์ตัวนั้นอย่างหนักหน่วง คิดจะฉีกทึ้งมันอย่างโเี้
แรกเริ่มที่พวกมันไม่ลงมือต่อกัน ก็เป็เพราะยังกริ่งเกรงกันและกันอยู่ ทว่าเมื่อดอกไม้บานแล้วพวกมันต่างสู้กันโดยไม่คิดชีวิต จะอะไรก็ไม่สนอีกต่อไป!
ตอนที่นกสีทองตัวนั้นกระพือปีก กลีบดอกไม้หลายกลีบก็ร่วงหล่นจากดอกที่อยู่ในอุ้งเท้าของมาสทิฟฟ์ ละลิ่วลอยตามลมร่วงลงไปด้านล่างเขาสำริด
สถานที่นี้สูงชะลูดอย่างยิ่ง กลีบดอกที่ถูกโอบล้อมด้วยหมอกขาว ร่วงลงยังตำแหน่งที่ฉู่เฟิงอยู่อย่างรวดเร็ว
เพียงเอื้อมมือเขาก็รับไว้ได้หนึ่งกลีบ กลิ่นหอมรุนแรงยังไม่จางหาย แทบจะทำให้เขาเมาจนลงไปกองอยู่ตรงพื้น เมื่อตรวจดูให้ละเอียดด้านในของกลีบดอกแต้มทองยังมีแสงเรืองรองอยู่อีกชั้น
“เกสรดอกไม้!”
้ายังมีเกสรดอกไม้แตะแต้มอยู่ชั้นหนึ่ง แสงระเรื่อเรืองรอง
ฉู่เฟิงยื่นมือออกไปรอรับกลีบดอกไม้อีกสี่กลีบ สองในสี่กลิ่นหอมอ่อนจางลง เพราะเกสรดอกไม้ที่ติดอยู่มีไม่มาก ส่วนอีกสองกลีบที่เหลือกลิ่นหอมรุนแรงเข้มข้น ผงเรืองแสงบนกลีบดอกหนาแน่น กลิ่นหอมแรงไม่เลือนหาย
สัตว์ทั้งสามบนยอดเขาสำริดมองลงมาชั่วแวบด้วยสายตาเย็นเยียบ จากนั้นก็กลับไปห้ำหั่นแย่งชิงกลีบดอกที่ยังไม่หลุดร่วงกันต่อ
ฉู่เฟิงเห็นดังนั้นก็กำกลีบดอกไม้ในมือไว้แน่น
ทว่า ในไม่ช้าเขาก็พบความผิดปรกติ กลีบดอกไม้ในมือไม่ได้อบอุ่นชุ่มชื้นอีกต่อไป กลับให้ความรู้สึกเหี่ยวเฉา เขาแบมือออกตอนนี้กลีบดอกไม้ทั้งสี่ไม่เรืองแสงแล้ว กลีบดอกเองก็แห้งเหี่ยว!
เพียงชั่ววินาทีเท่านั้น พวกมันสิ้นแสงเรืองรองไร้ซึ่งชีวิตชีวา กลับกลายเป็เหลืองกรอบ
นี่มันอะไรกัน?
ออกแรงแค่เพียงนิด หนึ่งกลีบในนั้นก็แหลกละเอียด
ฉู่เฟิงตะลึงงัน เขาโยนกลีบดอกแห้งเหี่ยวอีกสามกลีบที่เหลือทิ้ง ะโไปทางยอดเขา “คืนให้พวกแกแล้วนะ”
แล้วเขาก็หมุนตัวกลับอย่างไม่ลังเล ไม่สนใจพวกนี้อีกต่อไป รีบเผ่นพุ่งลงจากเทือกเขา
ถึงแม้จะรีบร้อนเผ่นหนีเพียงใด หากระหว่างทางก็ยังอดไม่ได้ที่จะครุ่นคิด ทำไมกลีบดอกไม้ทั้งสี่นั่นถึงเหี่ยวแห้งอย่างรวดเร็วในมือของเขา? การเปลี่ยนแปลงนี้ผิดปรกติอย่างมาก!
แม้ตอนผ่านอาคารสำริด ผ่านแผ่นจารึก เขาก็ไม่หยุดพัก ในใจคิดแต่จะลงจากเขาโดยเร็ว เส้นทาง่หลังความชันของูเาค่อยๆ ลดลง ทำให้เดินทางได้เร็วขึ้น
ใช้เวลาเดินทางอยู่นาน ตอนที่ฉู่เฟิงลงมาถึงเชิงเขา ดวงอาทิตย์สีแดงก็คล้อยลงทางทิศตะวันตกแล้ว
โชคดีที่สัตว์พิเศษทั้งสามตัวนั่นไม่ได้ไล่ตามมา น่าจะยังฟัดกันอยู่บนยอดเขากระมัง
ฉู่เฟิงเหงื่อท่วมตัว การออกกำลังแบบฉับพลันบนูเาสูงเช่นนี้ ต่อให้สภาพร่างกายของเขาสมบูรณ์อย่างไรก็ยังรู้สึกเหนื่อยล้าหมดแรง
เขานั่งหอบอยู่ตรงเชิงเขาอ่อนล้าอย่างถึงที่สุด เวลาผ่านไปพักใหญ่ก็ยังคงได้ยินเสียงหัวใจที่เต้นแรงของตัวเอง เขากรอกน้ำใส่ปากอั่กๆ
หันกลับไปมองูเาสูงใหญ่ที่ด้านหลัง รู้สึกว่าเื่จริงที่เกิดขึ้นเป็ปริศนา
แผ่นจารึกสำริดซีหวัง อาคารสำริดลี้ลับแล้วยังจะูเาสำริด ข้างในูเาสูงตระหง่านนั่นทำมาจากสำริดจริงๆ หรือ?
หากว่าเป็ไปได้ เขาอยากจะผ่าชั้นดินของูเาลูกนั้นเสียจริงๆ ดูข้างในให้ละเอียดไปเลยว่าเป็อะไรกันแน่
ูเาลูกนี้ เป็หนึ่งในหลายๆ ลูกในเทือกเขาคุนหลุน พื้นที่บริเวณนี้ซ่อนความลับอะไรไว้กันแน่นะ?
“ต้องรีบไปให้พ้น เกิดเ้าสัตว์ทั้งสามตัวนั่นวิ่งตามลงมา ย่อมอันตรายอย่างถึงที่สุด”
เหตุแผ่นดินไหวที่เกิดขึ้นเมื่อหลายวันก่อน ทำให้เกิดรอยแยกไม่น้อยบนูเา ตรงเชิงเขานี้ก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น เวลาฉู่เฟิงย่างเท้าลงต้องเลี่ยงอย่างระมัดระวัง
โดยไม่ตั้งใจ เขาเห็นก้อนหินก้อนหนึ่งในรอยแยกขนาดราวสามนิ้วรูปทรงสี่เหลี่ยม มีเหลี่ยมมีมุมอย่างประหลาด พบเห็นได้น้อยมาก
ฉู่เฟิงเก็บมันติดมือมาด้วยแล้วเดินทางต่อ
ไม่รู้ว่ารู้สึกไปเองหรือเปล่า ตลอดทางฉู่เฟิงรู้สึกว่าร่างกายภายในผิดปรกติเล็กน้อย เล็กน้อยอย่างยิ่ง บางทีก็ััได้ถึงกระแสอุ่นหนึ่งสายที่ไหลเวียนในเส้นเื
พอตั้งใจสังเกตมันก็หายไป พอไม่ไปใส่ใจมันก็โผล่ออกมา
รู้สึกไปเอง หรือร่างกายเกิดอาการแพ้กันแน่?
เขาเริ่มสงสัยว่าความรู้สึกของตัวเองผิดปรกติหรือไม่?
“มันเริ่มเป็ที่มือข้างนี้”
เขาแบมือซ้าย แรกสุดเขารู้สึกที่บริเวณกลางฝ่ามือข้างซ้าย แต่ตรงนั้นกลับไม่มีอะไร
“กลีบดอกไม้สี่กลีบแห้งเหี่ยวอย่างแปลกประหลาด ในมือข้างซ้ายของเรา”
ฉู่เฟิงเดินทางไป พลางขบคิดเื่นี้ไปด้วย เขารู้สึกว่ามันไม่ได้เรียบง่ายอย่างนั้น เื่นี้มีบางอย่างแปลกๆ ทำให้เขากังวลอย่างมาก
กลีบดอกไม้นั่นปล่อยหมอกสีขาวได้แล้วยังมีแต้มสีทอง ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็ล้วนพิลึกพิลั่น
เทือกเขาสำริดคุนหลุนที่อยู่ข้างหลังนั่น มาวันนี้โจมตีทัศนคติดั้งเดิมของเขา ล้มล้างความเชื่อ มันทำให้เขาไม่อาจไม่ใคร่ครวญ
“สัตว์ทั้งสามล้วนไม่ธรรมดา พวกมันต่อสู้แย่งชิงดอกไม้บนต้นนั้น ก็น่าจะไม่มีอันตราย”
ถึงเขาจะยังกังวลอยู่บ้าง แต่ฉู่เฟิงรู้สึกว่า ดอกไม้นั่นไม่น่าจะมีอันตรายต่อร่างกาย ไม่อย่างนั้นทำไมถึงทำให้สัตว์ดุร้ายยากจะพานพบ มาต่อสู้แลกชีวิตเพื่อ่ชิงมัน
เขาส่ายศีรษะพักความคิดพวกนี้ไว้ก่อน รีบก้าวยาวๆ ไปยังทิศทางที่เป็ที่พักอาศัยของพวกคนเลี้ยงสัตว์
ยามราตรี ทุกแห่งหนบนที่ราบสูงกว้างใหญ่ไร้ขอบเขตต่างเงียบสงบ บางคราจะได้ยินเสียงคำรามของสัตว์ป่าอยู่ไกลๆ แต่นั่นก็ยิ่งทำให้รู้สึกโดดเดี่ยวเวิ้งว้าง
ฉู่เฟิงขอค้างแรมในบ้านคนเลี้ยงสัตว์ เขาตัดสินใจว่าวันพรุ่งจะเดินทางกลับ
กลางดึก เขาอ่านหนังสือเงียบๆ แต่แล้วก็รู้สึกได้ถึงกระแสอบอุ่นที่เคยรู้สึกได้ไม่ชัดเจนก่อนหน้านี้ คล้ายมีคล้ายไม่มี ไม่รู้ว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงอะไรหรือไม่
เป็นานเขาจึงถอนใจเบาๆ “ช่างมันแล้วกัน”
เป็เพราะเพียรทดสอบมาสารพัดวิธี เขาก็พบว่าหากยิ่งจดจ่อตั้งใจก็ยิ่งไม่อาจััได้ ตรงกันข้าม หากเพิกเฉยไม่ใส่ใจกลับจะรู้สึกได้รางเลือน
“เกสร ตัวเร่งปฏิกิริยา” ฉู่เฟิงพึมพำสองคำนี้ออกมาเบาๆ จู่ๆ เขาก็นึกขึ้นมาได้
ในงานอำลาจบการศึกษา ครอบครัวของหลินนั่วอีส่งคนมารับเธอ ในความคลุมเครือเธอพูดถึงคำพวกนี้ แต่ด้วยระยะห่างทำให้เขาไม่อาจได้ยินอย่างชัดเจน
แม้จะเลิกกันแล้ว แต่ตอนนั้นเขาก็ยังอยากส่งเธอกลับบ้าน ทว่าเมื่อมองเห็นสายตาของคนของสกุลหลิน ที่มองมาทางเขาออกจะเฉยชาห่างเหิน ฉู่เฟิงก็ได้แต่โบกมือให้แล้วจากมา
จมอยู่ในความคิดเล็กน้อย พลันสายตาก็เหลือบไปเห็นก้อนหินก้อนหนึ่งข้างกาย
“รูปทรงก้อนหินนี่ ทำไมถึงมีเหลี่ยมมุมอย่างนี้”
ในกระโจม เขาพิจารณาหินก้อนนี้ ถึงจะเป็ทรงลูกบาศก์ แต่ตามขอบกลับไม่มีเหลี่ยมมุม ค่อนข้างเรียบลื่น เหมือนกับถูกขัดถูมาก่อนจนกลมมน
พอพิจารณาโดยละเอียด ก็เห็นลายเส้นเลือนรางบนก้อนหิน ของอย่างนี้เกิดโดยธรรมชาติได้งั้นหรือ?
ลายเส้นดำมืด หากไม่เพ่งมองให้ดีก็อาจมองข้ามไปได้โดยง่าย
“เป็รอยที่คนทำไว้งั้นหรือ?”
เมื่อตอนที่อยู่ที่เชิงเขาคุนหลุน แต่แรกเขาก็ไม่ได้ตั้งใจแต่อย่างใด เพียงแต่คิดว่าหินก้อนนี้มีรูปทรงแปลกๆ ก็เลยหยิบติดมือมา ระหว่างทางที่ครุ่นคิดถึงเืู่เาสำริด ก็หยิบหินมาหมุนอย่างใจลอย จนนำมันกลับมาด้วย
ตอนนี้เขาพลันค้นพบว่า หินก้อนนี้มีความพิเศษบางอย่าง
ฉู่เฟิงเอาหินไปล้างให้สะอาด แล้วมาสำรวจดูใต้แสงตะเกียง
ก้อนหินสูงราวสามนิ้ว สีน้ำตาลเทามีลวดลายเลือนรางโดยรอบ เหมือนลายเถาวัลย์แต่ก็เหมือนเป็ลายที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติอยู่ บางทีดูโบราณคร่ำคร่า
หรือจะเป็เครื่องหินยุคเก่าที่ชนเผ่าโบราณหลงเหลือไว้? เขาคาดเดา
ฉู่เฟิงพลิกก้อนหินไปมา ลูบคลำลวดลายพวกนั้น ทันใดนั้นมีเสียงกุกกักดังขึ้นเบาๆ ในค่ำคืนอันเงียบสงบเช่นนี้ช่างเสียดหูเหลือเกิน