ณ ลานกว้างแห่งหนึ่งในเมืองหลวง ที่พื้นปูด้วยแผ่นหินสีเขียวทอดยาวสุดสายตา ลานกว้างแห่งนี้ตั้งอยู่ในเขตพื้นที่ที่คึกคักที่สุดในเมืองหลวง และมีผู้คนเดินผ่านไปมามากที่สุด
ใจกลางลานกว้างแห่งนี้มีเวทีตั้งอยู่ โดยที่บันไดของเวทีนั้นมีสีแดงเหมือนเื และไม่มีใครรู้ว่าบันไดสีเืนี้สร้างมาจากอะไร ทว่ามันก็ได้สร้างความตกตะลึงให้แก่ผู้ที่พบเห็น ส่วนพื้นเวทีนั้นจะเป็สีขาวราวกับหิมะ
บนเวทีมีเสาหินรูปไม้กางเขนที่ถูกพันด้วยโซ่โลหะ โดยส่วนปลายของไม้กางเขนทั้งสองข้างจะมีเปลวไฟกลุ่มหนึ่งลุกโชนอยู่ นอกจากนี้ตรงไม้กางเขนทั้งสองข้างก็มีตะขอเหล็กที่แหลมอยู่ด้านละข้าง ซึ่งมีไว้สำหรับเกี่ยวแขนคนโดยเฉพาะ
เวทีแห่งนี้ถูกเรียกว่า ‘เวทีปะา’ ซึ่งจุดสังเกตของเวทีแห่งนี้ก็คือ มันมีไว้ปะาเฉพาะคนที่เคยมีสถานะสูงส่งหรือโดดเด่นในเสวี่ยเยว่ ถ้าหากบุคคลเ่าั้ได้สร้างความโกรธแค้นให้กับฮ่องเต้หรือราชวงศ์ พวกเขาทั้งหมดล้วนถูกปะาบนเวทีแห่งนี้
หลังจากปะาเรียบร้อยแล้ว ศพก็จะถูกมัดด้วยโซ่ที่พันรอบเสา จากนั้นก็จับแขนทั้งสองข้างเกี่ยวกับตะขอ และปล่อยทิ้งไว้กลางแดดเช่นนี้อีกหลายวัน เพื่อเป็การเตือนและทำให้ผู้คนรู้สึกหวาดกลัว เพื่อที่จะได้ไม่กล้ากระทำความผิดแบบเดียวกันอีก
บริเวณรอบๆ เวทีปะาตอนนี้มีฝูงชนคลาคล่ำเป็จำนวนมาก นอกจากนี้ยังมีผู้คนกำลังทยอยเข้ามายังลานกว้างแห่งนี้เรื่อยๆ
รอบเวทีปะามีกองทัพของอาณาจักรเสวี่ยเยว่กำลังยืนล้อมรอบเวที เพื่อกันไม่ให้ใครเข้าใกล้
“คิดไม่ถึงจริงๆ ว่าแม่ทัพที่ยิ่งใหญ่และเกรียงไกรของอาณาจักรเสวี่ยเยว่ อย่างเทพลูกศรหลิ่วชั่งหลัน จะมีจุดจบแบบนี้”
ฝูงชนพากันส่งเสียงกระซิบกระซาบ เมื่อเห็นเงาร่างของบุรุษผู้หนึ่งที่กำลังยืนอยู่บนเวทีปะาแห่งนั้น บุรุษผู้นั้นจะเป็ใครไปไม่ได้นอกจากเทพลูกศรหลิ่วชั่งหลัน!!! ร่างของเขาถูกพันธนาการไว้อย่างแ่า ถึงแม้ตอนนี้เขาจะกลายเป็นักโทษปะา ทว่าศีรษะของเขาก็ยังคงตั้งตรงอย่างผ่าเผย ดวงตาคู่นั้นยังคงฉายแววหนักแน่นและเด็ดเดี่ยว
ในเมื่อข้า หลิ่วชั่งหลัน ไม่ได้กระทำความผิดต่อแผ่นดิน แล้วเหตุใดจึงต้องเสียใจด้วยเล่า?!
ด้านหน้าของฝูงชน มีดวงตาอันงดงามคู่หนึ่งกำลังจ้องมองหลิ่วชั่งหลันด้วยสายตาที่แดงก่ำ และเต็มไปด้วยหยาดน้ำตา
“ท่านพ่อ เพื่ออาณาจักรเสวี่ยเยว่แล้ว ท่านถึงกับยอมพลาด่เวลาดีๆ ในวัยหนุ่มของตัวเองและอุทิศชีวิตให้กับเสวี่ยเยว่ ทว่าพวกเขากลับตอบแทนท่านแบบนี้ ฮึก… พวกเขาทำได้ยังไงกัน?!”
สาวงามคนนี้คือหลิ่วเฟยนั่นเอง เมื่อเทียบกับสมัยที่นางยังอยู่ในนิกายหยุนไห่แล้ว ตอนนี้นางมีเสน่ห์แบบผู้ใหญ่มากขึ้น แต่ตอนนี้นางกลับดูทุกข์ตรม เ็ป สิ้นหวังและโดดเดี่ยวอย่างน่าสงสาร
“เฟยเฟยจำคำพูดของบิดาเ้าไว้ จงมีชีวิตต่อไปเพื่อแก้แค้นให้กับเขา”
ข้างๆ หลิ่วเฟยมีชายวัยกลางคนผู้หนึ่งยืนอยู่ด้วยท่าทางสงบนิ่ง แต่ในใจของเขากลับเต็มไปด้วยเปลวไฟแห่งความแค้น และมันยิ่งลุกโชนมากขึ้นเมื่อมองไปทางต้วนเทียนหลาง เขาอยากจะเข้าไปฉีกร่างเพื่อดื่มเืและกินเนื้อของมัน!!!
ทุกสิ่งล้วนเป็ฝีมือของต้วนเทียนหลาง!!! ทั้งๆ ที่มันเป็ต้นเหตุทำให้ทหารนับแสนนายต้องตาย แต่มันกลับผลักความผิดทั้งหมดไปให้หลิ่วชั่งหลัน นอกจากนี้องค์หญิงได้ถูกลักพาตัวไปจากค่ายของมัน แต่คนที่ได้รับโทษกลับกลายเป็หลิ่วชั่งหลันแทน นี่มันเื่บ้าอะไรกัน?!!
บางครั้งความจริงก็เป็เพียงเื่ไร้สาระ…
“อืม”
หลิ่วเฟยพยักหน้าทั้งหัวใจที่เกลียดชัง นางตั้งใจไว้แล้ว หากหากต้วนเทียนหลางไม่ตาย นางจะไม่ขออยู่เป็คน!!!
“บิดาของเ้าเชื่อมั่นในตัวหลินเฟิงมาโดยตลอด และฝากฝังเ้าไว้กับเขา หลังจากนี้เ้าจะต้องออกเดินทางสู่อาณาจักรโม่เยว่เพื่อตามหาเขา”
ชายวัยกลางคนพูดต่อ หลิ่วเฟยได้ยินดังนั้นท่าทางของนางก็กลายเป็เงียบขรึม หลินเฟิง เ้าไปอยู่ที่ไหนกันนะ?
ไม่รู้ว่าทำไม ในใจของหลิ่วเฟยถึงได้รู้สึกคิดถึงหลินเฟิงมากอย่างที่ไม่เคยเป็มาก่อน
ยามที่ผู้หญิงคนหนึ่งต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยวและไร้ที่พึ่งพา นางมักนึกถึงคนที่ใกล้ชิดกับตัวเองมากที่สุด หลิ่วเฟยในยามนี้ไร้ที่พึ่งพา ทั้งๆ ที่บิดาของนางกำลังจะถูกปะาตรงหน้า แต่นางกลับไม่สามารถช่วยอะไรได้ ทำได้เพียงมองบิดาถูกปะาเท่านั้น
ใบหน้าของต้วนเทียนหลางเต็มไปด้วยรอยยิ้มสดใสและมีความสุข ตลอดหลายปีที่ผ่านมา เขาพยายามกำจัดหลิ่วชั่งหลันมาโดยตลอด และในวันนี้ก้างชิ้นใหญ่ของเขาก็จะถูกกำจัดเสียที! อ่า… การได้ปะาคนโดยชอบธรรมเช่นนี้ จะไม่ให้ต้วนเทียนหลางมีความสุขได้อย่างไร?
“เอาล่ะ ใกล้จะได้เวลาแล้ว เตรียมตัว”
ต้วนเทียนหลางกล่าวออกมาอย่างเฉยชา ทันใดนั้นโซ่ก็เคลื่อนมารัดร่างของหลิ่วชั่งหลันไว้แน่นจนไม่อาจขยับไปไหนได้ จากนั้นร่างของเขาก็ถูกยกขึ้นไปในอากาศ ก่อนที่แขนและขาจะถูกโซ่รัดไว้ ซึ่งโซ่ที่รัดแขนกับขาทั้ง 4 เส้นล้วนถูกดึงไว้โดยชายฉกรรจ์ทั้ง 4 คน
หลิ่วชั่งหลันไม่ขัดขืนแต่อย่างใด เขาปล่อยให้ร่างของตัวเองถูกรัดและดึงขึ้นไปในอากาศ สายตาของเขาเหม่อมองท้องฟ้ากว้างด้วยแววตาสงบนิ่ง เขาเกลียดชีวิตนี้ของตัวเองที่ไม่สามารถย้อนเวลากลับไปแก้ไขได้!
“นักธนู ประจำที่!”
ต้วนเทียนหลางออกคำสั่งอีกครั้ง ตรงบันไดสีเืมีนักธนูจำนวนหนึ่งวิ่งกรูเข้ามา พวกเขาแต่ละคนต่างง้างคันธนูและเล็งไปที่หลิ่วชั่งหลัน ด้วยธนูทั้ง 81 คันนี้ มั่นใจได้เลยว่าหลิ่วชั่งหลันไม่ทางหลบหนีไปได้
จิตสังหารอันแหลมคมแพร่กระจายไปในอากาศ เทพลูกศรหลิ่วชั่งหลันกลับต้องมาตายเพราะลูกศร? บางทีนี่คงเป็การเยาะเย้ยหลิ่วชั่งหลันอย่างหนึ่ง กระทั่งตอนตายก็ยังไม่วายสร้างความอัปยศให้อีกฝ่าย จิตใจของต้วนเทียนหลางช่างโเี้เสียจริง
ตอนนี้เองที่ฝูงชนต่างรู้สึกได้ถึงแรงสั่นะเืของพื้นดินที่ทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ เื่นี้ทำให้ทุกคนรู้สึกสงสัยขึ้นมา
“กุบกับๆ!!!”
แรงสั่นะเืที่รุนแรงและเสียงเกือกม้ากระทบพื้นดินลอยมาแต่ไกล ทำให้ดวงตาของต้วนเทียนหลางฉายแววสับสนขึ้น เมื่อเขาหันไปมองต้นเสียงก็พบทหารสวมชุดเกราะกำลังควบม้ามาทางนี้อย่างรวดเร็ว ประหนึ่งพายุที่โหมกระหน่ำอย่างบ้าคลั่ง คนเหล่านี้ต่างควบม้ามาข้างหน้าอย่างไม่คิดชีวิต พวกเขาทั้งหมดล้วนเป็กองกำลังทหารม้าโลหิต
“นี่มันเกิดอะไรขึ้น?”
ต้วนเทียนหลางตกตะลึงไปชั่วขณะ ทำไมกองกำลังทหารม้าโลหิตถึงได้ปรากฏตัวขึ้น? พวกเขาควรถูกกีดกันให้อยู่นอกเมืองไม่ใช่เหรอ?
“เป็กองกำลังทหารม้าโลหิต พวกเขาเข้ามาแล้ว!!”
“ท่านอาจิว เป็กองกำลังทหารม้าโลหิตของท่าน!!!”
สีหน้าของหลิ่วเฟยปรากฏร่องรอยความตื่นเต้นขึ้นมา กองกำลังทหารม้าโลหิตในสังกัดของจิวชื่อเซวี่ยกำลังมุ่งหน้ามาทางนี้ เริ่นชิงขวังสามารถนำกองทัพเข้ามาในเมืองหลวงด้วยตัวเองได้! ซึ่งในความเป็จริงแล้ว กองกำลังทหารม้าโลหิตไม่ควรเข้ามาในเมืองหลวงได้
ตอนนี้เอง จิวชื่อเซวี่ยก็เหลือบไปเห็นร่างของชายหนุ่มผู้หล่อเหลาคนหนึ่ง
ทันใดนั้นดวงตาของจิวชื่อเซวี่ยก็ปรากฏรอยยิ้มขึ้นมา
“เฟยเฟย นั่นหลินเฟิงนี่! หึๆ คงไม่มีอะไรที่เ้าหนุ่มนั่นทำไม่ได้ แม้แต่การนำกองกำลังทหารม้าโลหิตเข้ามาในเมืองหลวงก็เช่นกัน”
จิวชื่อเซวี่ยพูดด้วยน้ำเสียงยินดี หลินเฟิงเป็ผู้วางแผนให้จุดไฟเผาเมือง ซึ่งทำให้พวกเขาพลิกสถานการณ์กลับมาได้ นอกจากนี้หลินเฟิงก็บุกเดี่ยวไล่ล่าศัตรูจนถึงค่ายของพวกมันเพื่อช่วยเหลือพวกเขาและยังรอดชีวิตกลับมาได้ คนคนนี้มักสร้างความประหลาดใจให้แก่คนอื่นเสมอ
ดวงตาที่เปียกชุ่มไปด้วยน้ำตาของหลิ่วเฟยพลันเปล่งประกายขึ้นมา หลินเฟิงมาทันเวลา! ด้วยจำนวนและความแข็งแกร่งของกองกำลังทหารม้าโลหิต บิดาของนางจะต้องไม่ตาย
ทว่าพวกเขาประเมินความ้าที่จะสังหารหลิ่วชั่งหลันของต้วนเทียนหลางต่ำเกินไป
“หลินเฟิง! เป็มันอีกแล้ว!!!”
ดวงตาของต้วนเทียนหลางฉายแววชั่วร้าย ก่อนะโออกไปว่า “เตรียมปะาหลิ่วชั่งหลัน!”
“รับทราบ!”
เมื่อเสียงะโของต้วนเทียนหลางดังขึ้น คันธนูทั้งหมดก็ถูกง้างออกจนตึง และเสียงะโนั่น ยิ่งทำให้สีหน้าของหลิ่วเฟยและจิวชื่อเซวี่ยเปลี่ยนไป
“ต้วนเทียนหลาง นี่เ้ากล้า?!” จิวชื่อเซวี่ยตวาดออกไปอย่างโกรธเกรี้ยว ร่างของเขาพลันทะยานออกมาจากฝูงชน
“ตูม!”
จิวชื่อเซวี่ยปล่อยหมัดอันทรงพลังโจมตีนักธนูที่ขวางทางอยู่ด้านหน้าจนตายคาที่
“ยิง!!!”
ต้วนเทียนหลางแสยะยิ้มอย่างเ็า เมื่อเห็นลูกศรพุ่งออกไปสังหารหลิ่วชั่งหลัน วินาทีนั้นสีหน้าของจิวชื่อเซวี่ยพลันขาวซีด ก่อนจะทะยานร่างไปด้านหน้าหลิ่วชั่งหลันอย่างรวดเร็ว และเข้าไปกอดร่างของหลิ่วชั่งหลันไว้แน่น ขณะเดียวกันก็ปลดปล่อยหยวนชี่ภายในร่างออกมา ทำให้ร่างของเขาถูกปกคลุมไปด้วยประกายแสงจากหยวนชี่
“ถอยไป!!!”
หลิ่วชั่งหลันส่งเสียงะโด้วยสีหน้าที่บิดเบี้ยวจากความตื่นตระหนก ตอนนี้ร่างของเขาถูกพันธนาการไว้อย่างแ่า ทำให้ไม่สามารถขยับร่างกายได้ดั่งใจ มิหนำซ้ำ พลังบ่มเพาะก็ถูกปิดกั้นไว้ จึงทำได้แค่มองจิวชื่อเซวี่ยกอดร่างของตัวเองไว้เพื่อรับลูกศรแทนเขาเช่นนั้น
“ท่านอาจิว!!!”
สิ้นเสียงหลิ่วเฟยกรีดร้องออกมาอย่างตื่นตระหนก พลันเกิดเสียงลูกศรบางส่วนที่พุ่งทะลุหยวนชี่เข้ามาเสียบคาร่างของจิวชื่อเซวี่ย แต่ไม่มีลูกศรดอกไหนที่ยิงผ่านร่างของเขาไปถึงหลิ่วชั่งหลันได้
“น้องข้า!!!”
หลิ่วชั่งหลันคำรามเสียงดังด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความทุกข์ทรมาน และในขณะนั้นเหนือหัวของเขาก็ปรากฏประตูบานหนึ่งขึ้น มันเป็ประตูสีดำที่ถูกปิดผนึกเอาไว้ ซึ่งบานประตูนี้ได้เปล่งแสงสว่างออกมาไม่หยุด ทำให้หลิ่วชั่งหลันไม่สามารถเค้นพลังของตัวเองออกมาได้
“งั้นก็ตายไปด้วยกันซะเถอะ”
ต้วนเทียนหลางหัวเราะในลำคออย่างโเี้ ทันใดนั้นไอเย็นสายหนึ่งก็พุ่งมาที่เขา ทำให้ร่างของเขาพลันสั่นสะท้านอย่างอดไม่ได้
“หัวใจน้ำแข็ง”
เสียงใสที่ดังกังวานขึ้นมากะทันหัน ทำให้ต้วนเทียนหลางหน้าซีดเผือดและหันไปทางต้นเสียง ก่อนจะปลดปล่อยเจินหยวนเพื่อรับการโจมตีจากปราณน้ำแข็งที่พุ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว ต้วนเทียนหลางรู้สึกสั่นสะท้านไปทั่วร่างขณะที่กำลังดีดตัวถอยหลัง ตอนนี้เขาไม่มีเวลาสนใจหลิ่วชั่งหลันอีกต่อไป
“ตาย!”
หลินเฟิงะโก้องด้วยน้ำเสียงอันดุเดือด พลางกวัดแกว่งดาบในมือจนเกิดลำแสงดาบที่เจิดจ้าขึ้นมา คลื่นดาบที่ทรงพลังพุ่งไปตัดหัวของนักธนูจนกระเด็นลอยขึ้นไปในอากาศนับไม่ถ้วน ขณะเดียวกันหลินเฟิงก็ปลดปล่อยจิตสังหารออกมารอบกาย
ส่วนเริ่นชิงขวังก็สังหารชายฉกรรจ์ทั้งสี่คนที่เป็คนดึงโซ่อย่างเหี้ยมโหด
ที่มุมปากของจิวชื่อเซวี่ยมีเืไหลออกมาไม่หยุด ทว่าบนใบหน้าของเขากลับปรากฏรอยยิ้มยินดีขึ้นมา
“ท่านแม่ทัพ หากชีวิตของข้าสามารถแลกกับชีวิตท่านได้ มันก็คุ้มค่าที่สุดแล้ว นอกจากนี้หลังจากที่ข้าตายไปแล้ว ตำแหน่งผู้บัญชาการของกองกำลังทหารม้าโลหิตในสังกัดข้า ก็มอบให้หลินเฟิงเถอะ”
“อ๊าก...” หลิ่วชั่งหลันะโออกมาสุดเสียง ดวงตาของเขาพร่ามัวไปด้วยหยาดน้ำตา การที่ลูกผู้ชายคนหนึ่งจะร้องไห้ออกมาเช่นนี้ได้ มันต้องเป็เื่ที่เ็ปและโศกเศร้าจนไม่อาจแบกรับมันได้ เขากับจิวชื่อเซวี่ยรู้จักกันมาหลายสิบปี ถึงแม้พวกเขาจะไม่ได้มีสายเืเดียวกัน แต่ต่างฝ่ายต่างก็นับถือกันเป็พี่น้องและครอบครัว พวกเขาร่วมต่อสู้และผ่านความเป็ตายมาด้วยกันนับครั้งไม่ถ้วน
และตอนนี้... จิวชื่อเซวี่ยก็ยอมตายแทนเขา!
“ท่านแม่ทัพ ข้ามีบางอย่างอยากจะบอกท่าน” จิวชื่อเซวี่ยตัวสั่นเล็กน้อย เขาใช้ร่างของหลิ่วชั่งหลันเป็หลักในการยืน ก่อนจะขยับปากไปใกล้ข้างหูเพื่อกระซิบอะไรบางอย่าง ทันทีที่เขาพูดจบก็เงยหน้ามองหลิ่วชั่งหลันและส่งยิ้มให้เป็ครั้งสุดท้าย
“ท่านแม่ทัพ… เป็เวลาหลายสิบปีแล้วที่ข้าได้ติดตามท่าน แต่ไหนแต่ไรมา… ข้าไม่เคยเรียกท่านด้วยคำอื่นนอกจากท่านแม่ทัพเลย แต่ในวันนี้โปรดยกโทษให้กับความเอาแต่ใจของข้า... พี่ชายของข้า!”
คำว่าพี่ชายสองคำนี้ จิวชื่อเซวี่ยเค้นเสียงพูดออกมาสุดกำลังที่มี ก่อนที่แสงแห่งชีวิตของเขาจะมอดดับไปและดวงตาของเขาก็ค่อยๆ ปิดลง ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังกอดร่างของหลิ่วชั่งหลันไว้แน่น เพื่อปกป้องพี่ชายของเขา
เมื่อเห็นดวงตาของจิวชื่อเซวี่ยปิดลง หลิ่วชั่งหลันก็เงยหน้ามองท้องฟ้า ก่อนจะหลั่งน้ำตาออกมาไม่หยุด เสียงสะอื้นดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง
พี่น้อง สองคำที่ฟังดูเรียบง่าย ซึ่งสามารถอธิบายความสัมพันธ์ของพวกเขาที่ผ่านมามากกว่าสิบปี จนพวกเขาสามารถตายแทนกันได้!
บุรุษผู้กล้าหาญคนนี้นอนแน่นิ่งอยู่บนหน้าอกของหลิ่วชั่งหลัน นับจากวันนี้เป็ต้นไป เขาจะไม่มีวันตื่นขึ้นมาอีกเลย...