จ้าวจือชิงคิดไม่ถึงว่าท่านหญิงชิงเฉิงที่เกี่ยวพันจะมีต้นกำเนิดใหญ่โตเช่นนี้ โดยเฉพาะเื่ที่นางมีมารดาเป็ถึงองค์หญิงเฉาหยาง นั่นคือลูกของสนมเอกผู้เป็ที่รักของฮ่องเต้ สมัยนั้นสนมเอกเพื่อคุ้มกันให้ฮ่องเต้หลบหนี ถึงขั้นดึงความสนใจจากคนชั่วขณะที่ตั้งครรภ์ได้แปดเดือน ท้ายที่สุดก็ให้กำเนิดองค์หญิงเฉาหยางอย่างยากลำบากระหว่างทาง นับั้แ่นั้นในใจของฮ่องเต้ องค์หญิงเฉาหยางจึงมีสถานะที่ไม่อาจมีผู้ใดทัดเทียมได้อีก
คนที่มีอำนาจใหญ่โตเพียงนี้ ในระยะเวลาอันสั้นพวกเขาคงไม่อาจแตะต้องได้ ดังนั้นแผนการตอนนี้จึงทำได้เพียงหาเป้าหมายอื่นรอบกายเฉินเจ๋อิ
......
ทางด้านเฉินเจ๋อิเหมือนจะรู้สึกว่าตอนที่ตนเมาจะพูดอะไรที่ไม่ควรออกไป แต่ไม่ว่าจะคิดอย่างไรก็คิดไม่ออก จึงแสร้งหยั่งเชิงถามจ้าวจือชิง หากแต่จ้าวจือชิงกลับหัวเราะและบอกเฉินเจ๋อิว่าคออ่อน ทำเอาตนถึงกับโมโหจนลืมจุดประสงค์หลักไปเสียสนิท
“เ้าทึ่มอย่างเ้ายังมีหน้ามาหัวเราะข้า ในเมื่อเ้ายังจัดการลั่วชีเหนียงไม่ได้ เ้าก็ไปทำเื่อื่น หากเื่นี้สำเร็จ ลั่วชีเหนียงจะต้องซาบซึ้งในบุญคุณเ้าแน่”
เฉินเจ๋อิโน้มตัวมาข้างหูเขา ขณะฟังแผนการของเฉินเจ๋อิ ใบหน้าของจ้าวจือชิงก็เผยความดุร้ายออกมา
“ถึงอย่างไร ลั่วจิ่งเฉินก็ขึ้นชื่อว่าเป็ซิ่วฉาย การสอบระดับจังหวัดหนนี้ก็แค่เพื่อทดสอบ ไม่มีผลกระทบร้ายแรง ถึงเวลานั้นข้าจะจัดแจงเื่คนเอง เ้าแค่หาแพะรับบาป พวกเขาต้องซาบซึ้งในบุญคุณเ้า ถึงเวลานั้นเ้าก็ค่อยให้ลั่วชีเหนียงกินสิ่งนี้ นางต้องยอมสยบอยู่ใต้แทบเท้าเ้าเป็แน่”
“เมื่อเวลานั้นมาถึง นางจะกลายเป็ของเ้าโดยสมบูรณ์ หากนางไม่ยินยอม เื่นี้อย่างไรเสียคงเพียงพอให้นางถูกจับถ่วงน้ำในกรงหมู กระทั่งเด็กสกุลลั่วก็ต้องรับผลกระทบจากเื่ที่มีแม่ไม่รักนวลสงวนตัว”
“แผนนี้เป็อย่างไร ทั้งหมดก็ขึ้นอยู่กับเ้าแล้ว”
เฉินเจ๋อิขยิบตาให้จ้าวจือชิง ขวดยาสีขาวในมือดูแล้วสะดุดตานัก
จ้าวจือชิงสะกดกลั้นอารมณ์ร้อนระอุในใจที่อยากต่อยคนชั่วลง จากนั้นจึงยื่นมือไปรับยาขวดนั้น
“สมกับเป็นายน้อยจริงๆ แผนการนี้เยี่ยมยอดนัก!”
เฉินเจ๋อิถึงขั้นจะให้เขาวางยาลั่วจิ่งเฉิน ยานี้จะทำให้เกิดอาการท้องเสียและวิงเวียนขณะที่เข้าสอบระดับจังหวัด การกระทำนี้เหมือนจะทำเพื่อช่วยเขาและให้เขาตามหาผู้ร้ายที่อยู่เื้ั เพื่อให้เขาสามารถสร้างบุญคุณกับคนสกุลลั่วได้ แต่อันที่จริงก็เพื่อทำลายลั่วจิ่งเฉินต่างหาก
สำหรับลั่วจิ่งเฉินที่เดิมทีไม่ค่อยมีความมั่นใจกับการสอบระดับจังหวัดครั้งนี้มากนัก อันที่จริงทุกคนคอยให้กำลังใจเขาอยู่นาน กว่าเขาจะตัดสินใจลองดูสักตั้ง นี่จึงถือว่าเป็ศึกที่สำคัญอย่างยิ่งสำหรับลั่วจิ่งเฉิน ศึกครั้งนี้เกี่ยวพันถึงความมั่นใจในอนาคตของตน แต่เฉินเจ๋อิกลับคิดจะให้ลั่วจิ่งเฉินได้รับการกระทบกระเทือนจิตใจในเวลานี้ ต่อไปเมื่อต้องร่วมสอบก็ต้องนึกถึงความล้มเหลวในวันนี้อย่างแน่นอน จนหลงเหลือเงามืดในใจ แม้ว่าต่อไปคิดจะสอบอีก เกรงว่าคงไม่ได้อันดับที่ดีเท่าใดนัก หัวใจคนเราหากถูกความคิดชั่วร้ายครอบงำ นานวันเข้าก็ไม่อาจจะสร้างความมั่นใจได้อีก
แล้วยังมีชีเหนียง จากนิสัยของชีเหนียง แม้ว่าจะพลาดท่าแต่ก็ไม่มีทางยอมอ่อนข้อแน่ คำพูดของเฉินเจ๋อิเขาไม่เชื่อแม้แต่คำเดียว ปากบอกว่าจะให้เขาแต่งงานกับชีเหนียง เกรงว่าเมื่อถึงเวลา พวกเขาคงถูกยัดเยียดข้อหาเป็ชู้ร่วมกับชีเหนียง ผลักนางตกสู่หลุมพรางที่ขุดไว้ ส่วนเขา เกรงว่าจะถูกพวกเขากำจัดไปพร้อมกัน เพราะถึงอย่างไรสำหรับคนกลุ่มนี้ คนตายต่างหากคือคนที่ไว้ใจได้ที่สุด
จ้าวจือชิงรับของจากเฉินเจ๋อิและจากไป ระหว่างทางเขาก็สอบถามบ่าวรับใช้
“ก่อนหน้านี้นายน้อยไม่ได้รีบร้อน เหตุใดครั้งนี้จึงรีบร้อนนัก?”
บ่าวรับใช้เห็นเขาซื่อบื้อ “เ้านี่นะ นายน้อยหวังดีช่วยเ้า เ้ายังสงสัยอีก”
“ที่ไหนกัน ข้าก็แค่อยากรู้ นายน้อยดูจะร้อนใจจริงๆ หรือว่าเกิดเื่อะไรขึ้น?”
“ถุย!” บ่าวรับใช้ถ่มน้ำลาย “เ้าซื่อบื้อพูดอะไรกันน่ะ นั่นก็เพราะคนในดวงใจของนายน้อยใกล้จะถึงวันทำพิธีวัยเหมาะแก่การออกเรือน นายน้อยจึงต้องรีบกลับไปมอบของขวัญให้คนในดวงใจ มิเช่นนั้นเ้าคิดว่านายน้อยจะช่วยเ้าคิดแผนการหรือ”
จ้าวจือชิงถึงเพิ่งเข้าใจว่าเหตุใดเฉินเจ๋อิถึงร้อนใจเช่นนี้และอยากลงมือในการสอบระดับจังหวัด ที่แท้ก็เพราะท่านหญิงชิงเฉิงกำลังจะเข้าพิธีวัยเหมาะแก่การออกเรือน จากสถานะของเฉินเจ๋อิ แม้ว่าบิดาของเขาจะเป็ขุนนางเก่าแก่ในราชสำนัก แต่ตัวเขาเองกลับไม่เอาไหน ไม่เพียงแค่ไม่มีผลงาน กระทั่งยศถาบรรดาศักดิ์ก็แย่
แม้ว่าองค์หญิงเฉาหยางจะตอบรับ เกรงว่าฮ่องเต้ก็ไม่มีทางตกลงให้แต่งงานด้วย ดังนั้นเฉินเจ๋อิจึงอยากเอาอกเอาใจโฉมงาม จากนั้นจึงค่อยจัดฉากต้มข้าวสารหุงเป็ข้าวสุก
หลังจากการบอกเล่าของบ่าวรับใช้ เขาก็รับรู้แผนการคร่าวๆ ของเฉินเจ๋อิ
บ่าวรับใช้เห็นเขาเข้าใจ จึงชี้แนะเพิ่มเติม
“นายน้อยของเราเป็คนที่เห็นแก่คนทุ่มเท หากเ้าทำเื่นี้สำเร็จ ไม่แน่ว่านายน้อยอาจจะพาเ้าไปเมืองหลวงด้วยก็เป็ได้ แต่หากทำไม่สำเร็จ เกรงว่าเ้าคงต้องทิ้งชีวิตตัวเองแล้ว”
เขาได้ฟังก็แสร้งทำเป็หวาดกลัว “ข้าจะจัดการให้ดีแน่ ทุกอย่างต้องเรียบร้อย”
“เพียงแต่ไม่รู้ว่านายน้อยจะลงมือเมื่อใด ข้าจะพลาดการสร้างผลงานให้นายน้อยเห็นไม่ได้เชียว”
บ่าวรับใช้ได้ยินก็หัวเราะคิกคัก “เ้านี่มันมีไหวพริบนัก นายน้อยจะลงมือวันมะรืน ทว่าข้าจะจับตาดูเ้า เ้าวางใจได้ เ้าคือคนที่ข้าแนะนำ เราร่วมมือกันให้ดี จะต้องได้รับความชอบจากนายน้อยแน่”
บ่าวรับใช้คนนี้ค่อยๆ ล้มลุกคลุกคลานมาในสกุลเฉิน ครั้งนี้ติดตามนายน้อยมาก็เพื่ออยากสร้างผลงาน ฉับพลันก็บอกเล่าความเก่งกาจของตระกูลเฉินให้จ้าวจือชิงได้ฟังและให้เขาทำงานให้ดี
……
ในที่สุดก็เข้าใกล้การสอบระดับจังหวัดขึ้นเรื่อยๆ เฉินเจ๋อิทนรอไม่ไหวและกลับเมืองหลวงไปก่อน ทุกสิ่งจึงมีบ่าวคนนี้คอยจับตาดู
ตอนที่สอบระดับจังหวัด ดั่งที่คาด ผู้เข้าสอบจำนวนหนึ่งมีอาการอาเจียนและท้องเสีย ถึงขั้นหมดสติ
บ่าวรับใช้อยู่ด้านนอกลานสอบ เมื่อได้ยินข่าวก็ยกยิ้มมุมปาก เดิมทียังมีใจคิดจะสืบอีก แต่กลับได้ยินคนเล่าลือกันต่างๆ นานา พร้อมกับได้ยินคำบรรยายเกี่ยวกับผู้เข้าสอบที่เกิดอาการซึ่งเหมือนจะเป็ลั่วจิ่งเฉินจึงวางใจ จ้าวจือชิงลงมือแล้ว เขาก็ไม่มีอะไรต้องห่วงอีก ส่วนแพะรับบาปที่นายน้อยกล่าวถึง แน่นอนว่าไม่มีอยู่จริง สิ่งเหล่านี้ต้องให้จ้าวจือชิงไปจัดการด้วยตนเอง
ตอนนี้เขาเพียงแค่ต้องเร่งให้จ้าวจือชิงจัดการลั่วชีเหนียงโดยเร็ว
“อะไรนะ? นี่ไม่เหมือนกับที่เคยคุยกันไว้นี่นา ไหนบอกว่าให้รอจับคนที่อยู่เื้ัก่อนค่อยลงมือมิใช่หรือ?”
มองดูบ่าวที่เร่งเร้าตนเองตรงหน้า จ้าวจือชิงแอบหัวเราะเ็าในใจ รู้อยู่แล้วว่าพวกเ้าต้องทำอะไรนอกเหนือแผนการ
“ไม่เหมือนที่เคยคุยอะไรกัน ตัดไฟแต่ต้นลม รู้จักหรือไม่? ทางด้านนี้เตรียมการเรียบร้อยแล้ว เ้าแค่ไปทำก็พอ คืนนี้เ้าต้องปรากฏตัวอยู่บนเตียงกับลั่วชีเหนียง” บ่าวรับใช้มองเขาอย่างเหี้ยมโหด “หากเ้าทำไม่ได้ เกรงว่าคงยากจะรายงานต่อนายน้อย นายน้อยเป็คนเช่นไร เ้าก็รู้ดี หากเ้าไม่กลัวตาย วันนี้ก็ไม่ต้องทำอะไรทั้งสิ้น”
บ่าวรับใช้มองจ้าวจือชิงด้วยแววตาข่มขู่ เมื่อเห็นจ้าวจือชิงพยักหน้ารับ ถึงเก็บสีหน้าโเี้เมื่อครู่ไป
ฮึ่ม คืนนี้เขาจะพาคนไปจับลั่วชีเหนียงมีชู้ ถึงเวลานั้นลั่วชีเหนียงจะต้องถูกจับถ่วงน้ำ งานของตนก็เป็อันจบสิ้นเสียที เมื่อถึงเวลานั้นกลับไปเมืองหลวง เขาจะต้องได้เลื่อนขั้นในตระกูลเฉินแน่
ตกดึกคืนนั้น บ่าวรับใช้ก็พาคนไปเฝ้าด้านนอกประตูสกุลลั่ว รอจนไฟในห้องดับลง ก็เริ่มส่งเสียงโหวกเหวก
“ไฟไหม้แล้ว ไฟไหม้! รีบมาช่วยดับไฟเร็ว!”
เสียงอึกทึกครึกโครมทำให้ชาวบ้านในหมู่บ้านอันชิ่งที่กำลังฝันสะดุ้งตื่นกันหมด เมื่อชาวบ้านได้ยินว่ามีไฟไหม้ก็รีบไปช่วยกันเพื่อที่จะดับไฟ หากแต่ได้กลิ่นมาจากสกุลลั่ว ดังนั้นทุกคนจึงช่วยกันพังประตูเข้าไปเพื่อเตรียมดับไฟ
-----