“พระสนมเพคะ กลับเข้าตำหนักเถอะเพคะ ลืมคำที่นายท่านกำชับแล้วเหรอ ว่าห้ามก่อเื่ทำผิดระเบียบ” เมื่อได้ยินดังนั้น อี้หนิงจึงค่อย ๆ ปล่อยยิ้มทำราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น เดิมทีก็ไม่ใช่คนยอมแพ้อะไรง่าย ๆ แต่เพราะตอนนี้ตนอยู่ในยุคโบราณ ควรทำตัวให้กลมกลืนจึงจะอยู่รอด จึงยอมเบี่ยงกายเดินกลับเข้าตำหนัก ตามที่บ่าวรับใช้คนสนิทขอร้อง ท่ามกลางสายตาตกตะลึงของหญิงสาวสูงศักดิ์ทั้งสอง
ตำหนักฉางชุน ที่ประทับของจือซินกุ้ยเฟย หญิงสาวที่มีอายุมากกว่าจวิ้นเทียนฮ่องเต้ถึง 5 ปี แต่สามารถกุมหัวใจเขาได้อย่างมั่นคง นับจากตบแต่งกันมาเพื่อพิสูจน์รักแท้ ฮ่องเต้ไม่เคยมีสัมพันธ์กับหญิงใด และจะเสด็จมาหาจือซินกุ้ยเฟยทุกวันไม่เคยขาด ขณะที่หญิงสาวกำลังแบ่งกีบดอกเหมย เพื่อใช้ทำเป็เครื่องหอม รู้สึกตัวว่าถูกจ้องมองจึงเอ่ยขึ้น
“นั่งจ้องหม่อมฉันเช่นนี้นานแล้วนะเพคะ มีอะไรจะตรัสหรือไม่” ทั้งวาจาและน้ำเสียงล้วนอ่อนโยน สมกับเป็สตรีชั้นสูงที่เติบโตมาในราชสำนัก ก่อนจวิ้นเทียนฮ่องเต้จะค่อย ๆ วางถ้วยชาลงแล้วมองเครื่องหอมที่นางทำ
“ข้าเห็นเ้าชอบทำเครื่องหอม ั้แ่ข้าเป็รัชทายาท และเคยขอเครื่องหอมฝีมือเ้าหลายครั้ง แต่ไม่เคยได้รับ” หญิงสาวยิ้มพลางเด็ดกีบดอกเหมยโดยไม่ตอบคำถาม ก่อนจะทำทีเปลี่ยนเื่
“กุ้ยเหรินคนใหม่ เป็บุตรสาวของใต้เท้าจ้าว ผู้มีตำแหน่งเป็หัวหน้าผู้ตรวจการฝ่ายซ้ายเป็ถึงขุนนางขั้นสอง ฐานะของนางถือว่าเหมาะสมกับพระองค์ รวมถึงหน้าตานางงดงามมากนะเพคะ” ชายหนุ่มนั่งนิ่ง แล้วตอบกลับ
“กับลี่หว่าน และเหมยจู เ้าก็พูดเช่นนี้ เมื่อรู้ว่าผลักไสข้าไม่ได้ เหตุใดจึงยังผลักไสข้าอีก” จือซินยิ้มบาง ๆ ขณะวางดอกเหมยลงด้านข้าง และหันมาสบสายตาของเขาด้วยความนิ่งสงบ “เป็พระองค์เองไม่ใช่เหรอเพคะ ที่ดึงดันจะแต่งตั้งหม่อมฉันเป็กุ้ยเฟย หม่อมฉันเคยบอกแล้ว ว่าหม่อมฉันไม่ได้...” ยังไม่ทันที่หญิงสาวพูดจบ
“แปลงดอกเหมยที่เ้าอยากได้ ข้าสั่งให้คนปลูกเพิ่มอีกสองแปลง เผื่อวันใดเ้าเปลี่ยนใจ อยากมอบเครื่องหอมให้ข้าบ้าง” สายตาสั่นไหวของจวิ้นเทียน คล้ายกำลังเก็บซ่อนความรู้สึก ก่อนจะลุกขึ้นแล้วเดินจากมา ท่ามกลางสายลมอ่อนที่พัดเบา ๆ สองเท้าของชายหนุ่มหยุดเดิน แล้วหันมองกลับไปยังตำหนักฉางชุน ที่ประทับของจือซินกุ้ยเฟย อย่างมีความหมาย
‘ใช่เ้าพูดถูก เป็ข้าเองที่ดึงดันจะแต่งตั้งเ้าเป็พระสนม’ ก่อนจะเบี่ยงตัวเดินกลับตำหนักเฉิงเทียนไปท่ามกลางความเงียบ
ร่างของอี้หนิงเดินมาย่อตัวลงนั่ง แล้วรินชาดื่มเพื่อคลายความหนาว ก่อนจะถอนหายใจแล้วสงบสติอารมณ์ พร้อมร่างของซูหนิงเดินเข้ามาแล้วเอ่ยขึ้น
“หากหม่อมฉันไปไม่ทัน พระสนมจะเป็เช่นไรเพคะ ย้ำแล้วย้ำอีก ว่าห้ามเอาแต่ใจเหมือนตอนอยู่ที่จวนสกุลจ้าว ในเมื่อมีใจปฏิพัทธ์ต่อฮ่องเต้ ก็ต้องยิ่งสำรวมให้มาก ลืมไปแล้วเหรอเพคะ ว่าพระสนมรอวันนี้มานานแค่ไหน ถึงขนาดให้หม่อมฉันหาภาพวาดของฮ่องเต้มาติดผนังห้อง ทำทุกอย่างเพื่อได้เข้าเฝ้า ตอนนี้ได้มาเป็พระสนม ที่ทุกเจ็ดวันจะต้องปรนนิบัติฮ่องเต้ โอกาสเช่นนี้หากทำหลุดมือเท่ากับที่ผ่านมาสูญเปล่านะเพคะ”
“เ้าว่าไงนะ ปรนนิบัติฮ่องเต้ทุกเจ็ดวันงั้นเหรอ?” ซูหนิงพยักหน้าแล้วเอื้อมมาจับแขนเบา ๆ พลางยิ้มเล็กน้อย
“สิ่งนี้เป็สิ่งที่พระสนมรอคอยมาทั้งชีวิตนะเพคะ” ก่อนอี้หนิงจะชี้มาที่ตนเองแล้วเอ่ยขึ้น
“ข้าเหรอรอคอย?” อีกฝ่ายพยักหน้ารับเบา ๆ
‘จ้าวอี้หนิง เธอไม่เบาเลยนะ คิดจับฮ่องเต้ เหมือนกับยุคสมัยของฉันที่คิดจับคนรวย ๆ’
“อย่าให้พระสนมองค์อื่นยั่วยุจนเกิดโทสะอีกเด็ดขาด” สิ้นเสียงกำชับ พระสนมจึงรินชาใส่ถ้วยแล้วดื่ม เสียดายที่ไม่ใช่เหล้าเลิศรส เป็เพียงชาจืด ๆ แต่ก็พอให้ชุ่มคอใจเย็นขึ้นมาบ้าง ก่อนนางจะนึกบางอย่างได้จึงเอ่ยถาม
“จริงสิ หากครบหนดเจ็ดวัน แล้วไม่อยากปรนนิบัติฮ่องเต้ ต้องทำยังไง”
“หน้าที่ปรนนิบัติฮ่องเต้เป็หน้าที่ของพระสนมทุกคน ปฏิเสธไม่ได้เด็ดขาดเพคะ”
“ป่วยได้หรือไม่?” นางหรี่ตาแล้วหันไปถามอีกครั้ง ก่อนซูหนิงจะเอียงศีรษะ
“ต้องดูระดับความเจ็บป่วยด้วยเพคะ”
“ป่วยแบบตัวร้อนลุกไม่ขึ้นล่ะ” ซูหนิงย่นคิ้วเข้าหากันแล้วขบคิด
“แบบนั้นอาจจะปรนนิบัติไม่ได้ ต้องรักษาตัวให้หายก่อน แต่จะเป็โอกาสให้กับพระสนมองค์อื่น แบบนี้พระสนมต้องดูแลตัวเองห้ามป่วยเด็ดขาดเพคะ” อี้หนิงได้ยินดังนั้นจึงยิ้มกว้างอย่างเ้าเล่ห์
“เข้าใจแล้วล่ะ” ก่อนจะเอื้อมไปหยิบผลไม้เข้าปากแล้วเคี้ยวหมุบหมับ ท่ามกลางของโบราณมากมาย ทำให้นางเริ่มคุ้นชิน ไม่ตื่นเต้นเหมือนก่อน
หลังจากฮ่องเต้เสร็จกลับตำหนักไป จือซินกุ้ยเฟยจึงวางมือจากดอกเหมย แล้วหันไปยังถุงเครื่องหอม ที่ส่งกลิ่นโชยออกมาเป็ระยะ ก่อนจะเอ่ยเรียกนางกำนัลที่ยืนอยู่หน้าห้องเข้ามาพบ ทุกกิริยาที่พระนางขยับ ล้วนแล้วแต่งดงามอ้อนช้อย สมกับเป็สตรีชั้นสูงของราชสำนัก
“เซียวหยู เ้าช่วยนำเครื่องหอมนี้ไปให้เขาที” หญิงกลางคนยิ้ม แล้วเอื้อมมารับถุงหอมนั้นอย่างรู้หน้าที่
“เื่ของกุ้ยเหรินคนใหม่ เ้าแน่ใจนะว่ารับข่าวมาไม่ผิด”
“ไม่ผิดเพคะ นางนามว่าจ้าวอี้หนิง เป็บุตรสาวของใต้เท้าจ้าว ขุนนางระดับสอง ที่มีใจมุ่งมั่นต่อฮ่องเต้เป็อย่างมาก” หญิงสาวได้ยินดังนั้นจึงพยักหน้าขึ้นลงเบา ๆ พอรู้เื้ัของนางมาก่อนบ้างแล้ว มือเรียวเล็กเอื้อมไปรินชาใส่ถ้วยพร้อมควันลอยขึ้นจาง ๆ เรียวปากเล็กจิบเบา ๆ แล้วเอ่ยขึ้น
“ใต้เท้าจ้าว เป็ขุนนางที่ซื่อสัตย์ ฮ่องเต้ทรงวางพระทัยมอบหน้าที่หลายอย่างให้เขา ที่เ้าว่าจ้าวอี้หนิงผู้นี้ มีใจปฏิพัทธ์ต่อฮ่องเต้ นั่นหมายความว่านางต้องดูแลฮ่องเต้ได้ดี” ก่อนนางกำนัลจะน้อมกายลง
“พระสนมทุกพระองค์ ล้วนแล้วแต่มีใจปฏิพัทธ์ต่อฮ่องเต้เพคะ หม่อมฉันมองดูแล้ว คิดว่าเหมือน ๆ กัน” จือซินกุ้ยเฟยส่ายศีรษะช้า ๆ
“ข้าเห็นแววตานาง นางไม่เหมือนกุ้ยเหรินคนอื่น แววตาฉลาดและมุ่งมั่น ต่อไปภายหน้าต้องดูแลฮ่องเต้ได้ดีแน่ ๆ”
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้